10. สถานการณ์น่าอึดอัด
หมอผ้าเช็ดหน้า...เจ้าของผ้าเช็ดหน้าที่ฉันกำลังกำอยู่ในมือตอนนี้! เป็นเขาอีกแล้วเหรอ ลิฟต์มีตั้งหลายช่อง หมอพยาบาลมีตั้งหลายคนทำไมฉันต้องได้มาร่วมโดยสารลิฟต์เดียวกับเขาสองคนในเวลาแบบนี้ แม้จะมั่นใจว่าเขาไม่รู้จักฉันแต่เพราะฉันรู้จักเขาดีเต็มเปามันจึงทำให้ฉันชอบทำตัวหลุดบ่อยๆ ตอนที่เจอกัน
ฉันไม่ชอบตัวเองตอนทำตัวหลุดทั้งที่พยายามจะทำตัวให้เป็นปกติที่สุดตอนเจอกับเขา
"มีอะไรอยากถามผมเรื่องผ่าตัดแม่คุณหรือเปล่า..."
"เปล่าค่ะ เปล่า ฉันมั่นใจในตัวคุณหมอ ฉันเข้าใจที่คุณหมออธิบายมาทุกอย่างแล้ว ไม่สงสัยอะไรเลยค่ะ ไม่มีอะไรจะถามด้วย"
นี่ไง ฉันตอบยาวมาก ยาวเกินกว่าเหตุ ไม่ได้อยากพูดมากแบบนี้แต่ฉันเหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้ ลิ้นมันพันกันไปหมด ฉันไม่เคยเป็นแบบนี้กับคนอื่นและฉันคิดว่าหมอเขาอาจจะคิดว่าฉันป่วย สีหน้าหมอเวลามองฉันมันเหมือนกำลังจับผิดว่าฉันป่วยหรือเปล่า
"ถ้าไม่มีอะไรจะถามคราวหน้าอย่ามองผมแบบนั้นอีกนะครับ"
"ทำไมคะ..."
แล้วทำไมฉันต้องถามเขาว่าทำไม ฉันแค่ตอบว่า "ค่ะ" แค่ตอบสั้นๆ แค่นี้แล้วยืนเงียบไปสิวะยายขิม!
"ผมไม่ชอบโดนมองครับ อึดอัด"
"อ๋อ งั้นเหรอคะ จริงๆ ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจจะมองคุณหมอนะคะ แต่สายตาฉันมันชอบไปของมันเอง ถ้าทำให้คุณหมออึดอัดก็ขอโทษด้วยนะคะ"
ฉันขอโทษแล้วหันกลับไปมองหมายเลขด้านหน้าซึ่งกำลังขึ้นมาได้ถึงชั้นห้า ถึงชั้นห้าไม่พอยังจะหยุดรับคนจากชั้นห้าอีก ฉันอึดอัดจะตายอยู่แล้วที่ต้องมายืนกับเขาตรงนี้ เขาจะรู้ตัวไหมว่าที่เขาตำหนิคนอื่นเมื่อกี้มันทำให้คนอื่นอึดอัดกว่าเขาโดนฉันมองมากขนาดไหน
"อาจารย์ สวัสดีครับ"
หมอแว่นที่ชื่อพิพัฒน์คนเมื่อวานเดินเข้ามาในลิฟต์พร้อมกับพยาบาลอีกสามคน ทุกคนต่างยกมือไหว้คนที่ยืนด้านหลังของฉัน จากนั้นภายในลิฟต์ก็เงียบ เงียบจนแทบไม่ได้ยินเสียงหายใจของพยาบาลกับคุณหมอแว่นซึ่งตอนลิฟต์เปิด ตอนพวกเขายังไม่เข้ามายืนตรงนี้ก็ยังเห็นคุยและหัวเราะกันอยู่ดีๆ ...หรือพวกเขาก็รู้สึกอึดอัดที่ต้องมาอยู่ต่อหน้าตาหมอผ้าเช็ดหน้าคนนี้เหมือนกันกับฉัน
ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาก็คงเป็นหมอที่เก่งเรื่องการสร้างความอึดอัดใจให้คนอื่นมากเป็นพิเศษแล้วแหละ
ตอนเอาผ้าเช็ดหน้าให้ฉันเมื่อหลายปีก่อน เขาดูเป็นคนอบอุ่นมากเลยนะ อบอุ่นจนฉันหลงเก็บคำพูดกับการกระทำมาคิดถึงจนถึงเมื่อวาน ตัดมาที่ตอนนี้...
"วันนี้ลูกชายไม่มาด้วยเหรอครับ"หมอแว่นที่อยู่ข้างฉันก้มหน้าถามฉัน
"พยาบาลไม่อนุญาตให้พาเด็กเข้าในห้องพักฟื้นก็เลยต้องพาไปฝากเข้าโรงเรียนค่ะ"ฉันตอบหมอแว่นแล้วยิ้มให้เขา
จริงๆ หมอแว่นก็หล่อดีนะ แกน่ารักเหมือนดาราคนที่เป็นสัตวแพทย์ซึ่งฉันแอบเป็นแม่ยกเขาอยู่ห่างๆ ตาตี๋ๆ รอยยิ้มอะไรคือคล้ายกันเลย อายุก็เหมือนจะรุ่นราวคราวเดียวกับฉันนี่แหละมั้ง ยังดูเด็กๆ อยู่เลย หรืออาจจะเป็นเพราะพวกหมอเขาดูแลตัวเองดีก็ไม่รู้นะ ที่แน่ๆ เวลายืนอยู่ใกล้เขาหรือคุยกับเขาฉันไม่รู้สึกอึดอัดหรือไม่เป็นตัวของตัวเหมือนตอนอยู่ใกล้ตาหมอที่เขาเรียกว่าอาจารย์คนที่หน้าตาเหมือนชินจังของฉันราวกับถอดแบบกันมาทุกอย่าง
เมื่อขึ้นมาถึงชั้นสิบ พวกหมอและพยาบาลก็เข้าไปในห้องคนไข้ตามปกติ ส่วนฉันที่เป็นญาติก็ต้องรอไปอีกหลายชั่วโมงเลย กว่าจะถึงสิบเอ็ดโมงคงจะนั่งนับแกะได้เป็นหมื่นๆ ตัวเลยละมั้งนะ แต่จริงๆ ก็มีงานที่พอจะทำได้ในระหว่างที่รออยู่บ้างก็คืองานพิสูจน์อักษรงานใหม่ซึ่งนักเขียนขาประจำของฉันเพิ่งส่งไฟล์มาให้ในเมื่อเช้านี้
ตอนนี้ฉันทำงานอิสระ นอกจากอยู่ดูแลร้านให้บัวงานที่ฉันทำก็จะมีเขียนนิยายเองบ้าง แต่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงมากนัก เงินจากงานเขียนก็ได้เดือนละหมื่นนิดๆ มีถึงสองสามหมื่นบ้างในบางครั้ง แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้เลย นอกจากงานเขียนก็รับงานพิสูจน์อักษรแค่เดือนละสี่ถึงห้าคิวเพราะไม่อยากกดดันตัวเองมากจนเกินไป แต่ละคิวใช้เวลาตรวจพิสูจน์เร็วสุดสามวัน นานสุดก็คือเจ็ดวัน ได้รายได้จากงานพิสูจน์อักษรรวมๆ เดือนละเจ็ดถึงแปดพัน และที่ผ่านมาถ้าวันไหนฉันว่างจากงานฉันก็จะให้เวลากับลูกเต็มที่ แม้ปกติจะอยู่กับลูกตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่ถ้าวันไหนเคลียร์งานเสร็จและเป็นวันว่างก็จะพาลูกไปเที่ยวเล่นบ้าง ไปหาอะไรอร่อยๆ ทานกันบ้างเพื่อกระชับความสัมพันธ์ไม่ให้ลูกรู้สึกเหมือนอยู่กับแม่แต่แม่สนใจทำแต่งานมากจนเกินไป
พูดแล้วก็คิดถึงลูกขึ้นมาอีกแล้ว ป่านนี้ชินของฉันได้เพื่อนเล่นใหม่หรือยังนะ ทันทีที่คิดถึงและกำลังควักโทรศัพท์ขึ้นมาจากกระเป๋าสะพายเพื่อจะแชทถามกับเมยเมยก็เหมือนจะรู้ใจฉันถึงได้ส่งรูปในไลน์มาให้พอดี
"โห ลูกชายฉันได้เพื่อนเล่นแล้วเหรอเนี่ย"ฉันยิ้มคนเดียวเมื่อเห็นภาพที่ตาชินคิ้วดกกำลังนั่งปั้นดินน้ำมันอยู่กับเพื่อนๆ นางยิ้มร่าดูมีความสุขมากเลยทีเดียว
เมย : สุดหล่อของแกมาแป๊บเดียวก็มีสาวๆ มาติดแล้วนร้า ไฟแรงมาก
ฉัน : ไม่คิดถึงแม่ขิมแล้วเหรอนั่น แม่ขิมแอบน้อยใจแล้ว
เมย : อย่าแอบไปร้องไห้เพราะคิดถึงลูกนะแก
ฉัน : ฉันน้ำตาไหลหลายครั้งแล้ว ยังไงก็ฝากแกด้วยนะ
เมย : หายห่วง
พอบทสนทนาในแชทจบลงฉันก็นั่งง่วงซึมอยู่อีกสักพัก ตอนนี้เพิ่งจะแปดโมงครึ่ง ฉันว่าจะเปิดโน้ตบุ๊กทำงานรอเวลาห้องเปิดแต่อาจจะต้องลงไปซื้อเครื่องดื่มกับขนมแก้ง่วงขึ้นมาไว้ด้วย
เพราะตอนขึ้นมามัวแต่เหม่อลอยจึงลืมไปว่าต้องไปซื้อพวกขนมเครื่องดื่มเอาไว้มาทานในระหว่างรออยู่ที่หน้าห้อง เพราะฉะนั้นฉันจึงต้องกลับลงไปอีกครั้งด้วยลิฟต์ตัวเดิม เพิ่มเติมคือครั้งนี้ลงไปคนเดียวชิลๆ ไม่ต้องอึดอัดเหมือนตอนขึ้นมาอีกแล้ว
"สวัสดีค่า เชิญค่า..."
เสียงพนักงานขายในร้านสะดวกซื้อกล่าวต้อนรับพร้อมกับแอร์เย็นๆ ในตอนก้าวขาเข้าไป
ฉันเดินเลือกหาของกินเกือบสิบนาที เป็นคนที่เห็นอะไรก็รู้สึกอยากกินไปหมด กินเหมือนเด็กทั้งที่จริงๆ ก็ไม่เด็กแล้ว...ยายบัวเห็นฉันกินจุบจิบแบบนี้มันบอกว่าฉันอยู่กับลูกและติดนิสัยชอบกินแบบเด็กๆ มาจากลูก ส่วนเรื่องจริงไม่รู้ว่าฉันติดมาจากลูกหรือลูกติดมาจากฉันมากกว่า...
"มัทฉะลาเต้เย็นๆ ได้แล้วค่ะ"
พนักงานขายส่งแก้วมัทฉะลาเต้ให้ฉัน ฉันรับมาถือแล้วเดินออกมาหลังจากจ่ายเงิน...เดินออกมาเกือบถึงตึกฉุกเฉินจึงเริ่มรู้สึกเหมือนตัวเบาๆ พอหยุดเดินแล้วก้มลงดูที่มือตัวเองอีกทีถึงได้รู้ว่า...ฉันลืมหิ้วเอาถุงใส่ของที่ซื้อมาด้วย
ฉันว่าฉันควรไปเช็คสมอง ใช่ ฉันควรไปหาหมอเพื่อตรวจสมอง...
ไอ้บ้า จ่ายเงินไปแล้วแต่ดันลืมของทุกอย่างที่ซื้อมาด้วย ยกเว้นแก้วมัทฉะลาเต้ที่ถือในมือ ซื้อไปเกือบห้าร้อย ได้แค่มัทฉะลาเต้แก้วเดียว พูดไปถึงไหนอายไปถึงนั่น...
เพราะฉะนั้นฉันจึงต้องเดินกลับไปในทางที่มา แต่เดินกลับยังไม่ถึงสิบก้าวฉันดันเห็นตาคุณหมอผ้าเช็ดหน้าคนนั้นเดินมา เขาลงมาจากตึกตั้งแต่ตอนไหนมีใครรู้บ้าง และเพราะคำพูด...
"ถ้าไม่มีอะไรจะถามคราวหน้าอย่ามองผมแบบนั้นอีกนะครับ"
"ผมไม่ชอบโดนมองครับ อึดอัด"
เพราะประโยคพวกนั้นยังสถิตย์สถานอยู่ในสมองที่ขี้ลืมของฉันได้ทุกถ้อยคำ ฉันจึงต้องเดินก้มหน้าเพื่อจะให้เขาเดินผ่านไปแบบเงียบๆ แล้วรีบวิ่งไปที่ร้านสะดวกซื้อเพื่อเอาของที่ซื้อกลับมา
แต่ในระหว่างที่ฉันเดินก้มหน้าก้มตาผ่านเขามาแล้ว อยู่ๆ ฉันกลับรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างดึงฉันกลับไป
ไม่ได้ดึงที่แขน ไม่ได้จับที่ขา แต่เป็นจับที่สายกระเป๋าสะพายด้วยนิ้วๆ เดียว นิ้วเดียวแต่ทำให้ฉันปลิวกลับไปได้!
นิ้วแข็งแรงมาก เทพมาก!
ตอนแรกนึกว่าจะมีคนมาชิงกระเป๋าในโรงพยาบาลเสียอีก กำลังตั้งท่าจะทุบแต่พอเงยหน้าขึ้นมองกลับกลายเป็นว่าคนที่ทำแบบนั้นกับฉันคือพ่อของชิน...ไม่สิ ฉันจะเรียกหรือคิดว่าเขาเป็นพ่อของชินไม่ได้ เขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเรา