7
เบื้องหลังรอยยิ้ม
เมฆฝนก็เริ่มตั้งเค้าปิดบังแสงอาทิตย์เสียจนมืดสลัว กลิ่นชื้นของสายฝนที่กำลังจะโปรยปรายลงมายังเมืองหงเล่อส่งผลให้พ่อค้าแม่ค้าทั้งหลายเริ่มลงมือเก็บร้านแผงลอยของตนอย่างรีบร้อน
แต่บนท้องถนนที่ควรจะร้างผู้คนกลับมาปรากฏคนกลุ่มหนึ่งที่ยังคงเดินไปเดินมาอย่างเอื่อยเฉื่อย จนในที่สุดผู้ที่มีอารมณ์ดุร้ายก็ตะคอกออกมาเสียงดังลั่น
“หยุดเดินเสียที! ”
ผู้ที่เดินนำอยู่ด้านหน้าสุดหยุดฝีเท้าตามเสียงดังกล่าว ก่อนจะหันหน้ากลับมามองคนพูดด้วยอย่างสงสัย
“มีอะไรหรือ” หนิงเทียนเอียงคอถามเสียงใสโดยไม่สังเกตเลยว่าร่างของเฉียงกังกำลังสั่นเทา
ยิ่งพอเขาได้เห็นใบหน้าหนุ่มน้อยแสดงท่าทีไม่รู้เรื่องรู้ราว อารมณ์ขุ่นมัวก็พุ่งสูงขึ้น!
เจ้าของใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีดำสลับกับแดงเอื้อมมือไปกระชากเข้าที่คอเสื้อของคนตัวเตี้ยกว่า ยกร่างของหญิงสาวเสียจนขาลอยขึ้นจากพื้น
“เจ้าพาพวกข้าเดินวนกลับมาทางเดิมตั้งสี่รอบแล้ว! ” เขาตะโกนใส่หน้านางอย่างหยาบคายในขณะที่มืออีกข้างที่ว่างอยู่ชี้ตรงไปยังร้านเครื่องเขียนที่พวกเขาพบกันครั้งแรก “ร้านเครื่องเขียนนั่นเป็นเครื่องยืนยันได้ดี เจ้ากล้าหลอกข้า! คิดว่าข้าโง่หรืออย่างไร! ”
ร่างบางไม่แสดงท่าทีตกใจกับการปฏิบัติอันป่าเถื่อน ครุ่นคิดเงียบๆ อยู่ในใจ
อันที่จริงนางก็คิดๆ อยู่นะว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะฉลาดมาก แต่เฉียงกังก็ถือว่าไม่ได้โง่อย่างที่คิดเสียทีเดียว
“ใจเย็นๆ ก่อนสิ เมืองนี้เป็นเมืองที่ข้าไม่คุ้นเคยเส้นทาง แต่เจ้าเตือนข้าขึ้นมาก็ดี ในที่สุดข้านึกออกเสียทีว่าที่พักของหลี่ชุนต้องไปทางไหน” เสียงดัดห้าวเอ่ยพลางใช้มือของตนตบลงบนมือใหญ่หนาที่กุมคอเสื้อนางอยู่ สีหน้าไร้ซึ่งความหวั่นเกรงส่งผลให้คนที่ขึ้นชื่อว่าน่ากลัวในสายตาผู้อื่นรู้สึกเหมือนถูกดูถูกอย่างรุนแรง!
“หากข้าจับได้ว่าเจ้าโกหกเมื่อไหร่ ข้าจะสังหารเจ้าทันที! ”
กล่าวจบก็ปล่อยมือออก ดวงตาจ้องจับผิดอย่างเปิดเผยเล่นเอาลูกน้องคนอื่นๆ รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ แทนร่างที่เดินนำอยู่ทางด้านหน้าเลยทีเดียว
หนิงเทียนพยักหน้าอย่างเชื่องช้า ผิดกับความคิดที่ทำงานอย่างฉับไวยิ่ง
นางมั่นใจแล้วว่าพวกเขาเป็นคนต่างถิ่น มิเช่นนั้นมีหรือที่กองโจรดักปล้นสังหารภายในแคว้นหยางจะไม่รู้จักเส้นทางในเมืองหงเล่อ...
จุดที่พวกเขาดักขบวนรถพ่อค้าตระกูลหลี่ คาดเดาจากจุดที่พบร่างของหลี่ชุนแล้ว หากเป็นกลุ่มโจรท้องถิ่นจริงก็ควรจะเคยมีโอกาสเข้ามาเดินเหินในเมืองที่เจริญแห่งนี้บ้าง
ดูเหมือนข้อสันนิษฐานที่หญิงสาวคาดเดาเอาตั้งแต่ทีแรกจะถูกต้อง กลุ่มโจรเหล่านี้คงเป็นนักสังหารรับจ้างระดับล่างที่ถูกส่งมาจากแคว้นเกาโดยเฉพาะ!
เช่นนั้นก็ให้สุนัขต่างแดนมาพบปะหมาป่าเจ้าถิ่นหน่อยเป็นอย่างไร...
รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นที่มุมปากคนช่างยิ้ม ขณะที่บอกกล่าวกับคนทั้งหลายด้วยน้ำเสียงที่เจือความจริงจังมากกว่าเดิมอยู่หลายส่วน “คราวนี้ถูกทางแน่นอน ตามข้ามา”
หยาดฝนเม็ดเล็กๆ โปรยปรายลงสู่พื้นดินส่งผลให้อุณหภูมิรอบกายลดลงตามไปด้วย ภายในระยะเวลาเพียงพริบตาเดียว ท้องฟ้าที่เคยเป็นสีครามกลับถูกเมฆฝนแผ่คลุมจนแปรเปลี่ยนเป็นสีเทาหม่น
บรรยากาศโดยรอบเปลี่ยนไปจากทีแรกโดยสิ้นเชิง กลุ่มคนที่เหลือก็เดินตากฝนโดยไม่ปริปากพูดออกมาสักคำจนกระทั่งหญิงสาวพาพวกเขาเดินมายังบริเวณใกล้กำแพงเมืองที่ค่อนข้างทรุดโทรม ทั้งยังมีบ้านมากมายสร้างติดกันอย่างไม่เป็นระเบียบ ดูแล้วเหมือนชุมชนขนาดเล็กที่อยากปลีกวิเวกออกจากตัวเมืองอันแสนวุ่นวาย
เฉียงกังกวาดตามองสำรวจอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่สายตาจะหยุดลงที่แผ่นหลังของหนิงเทียน “ที่นี่หรือ”
นางหันกลับมาพยักหน้า “สั่งการคนของเจ้าให้รอด้านนอกก่อน เดี๋ยวข้าจะพาหลี่ชุนออกมาเอง”
ทว่าการตอบสนองที่นางได้รับกลับเป็นเสียงหัวเราะจากผู้มีใบหน้าเหี้ยมเกรียม สายฝนเริ่มตกลงมาหนักมากขึ้นกลายเป็นห่าฝนชนิดที่เทลงมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน
ประกายแสงสีขาวที่วาดผ่านลงมายังผืนดินก่อให้เกิดเสียงฟ้าผ่าที่น่าสะพรึงกลัว ไหวผ่านใบหน้าของเฉียงกังที่เต็มไปด้วยหนวดเครา ในขณะที่เขาสาวเท้าเข้ามาใกล้หญิงสาวมากยิ่งขึ้น เอ่ยด้วยเสียงกลั้วหัวเราะเจือความเย้ยหยันอยู่ในที
“ข้าเคยรับปากเจ้าด้วยหรือ”
ชายวัยสามสิบต้นๆ กล่าวจบก็หันไปส่งสัญญาณมือให้ลูกน้องบุกค้นไปยังบ้านเรือนทุกหลังอย่างรวดเร็ว!
เสียงฟ้าร้องคำรามลั่นราวกับสรวงสวรรค์กำลังพิโรจน์ ร่างของหนิงเทียนในชุดสีทึมที่เปียกชุ่มทำให้ดูตัวบางมากยิ่งขึ้นไปอีก
เดิมทีเฉียงกังคิดว่าจะได้รับการตอบสนองเป็นความโมโหหรืออาการแตกตื่นจากการโกหกเพื่อให้เขาจับผิด แต่แล้วกลับเป็นเขาเองที่ตกใจเมื่อพบว่าดวงตาของหนุ่มหน้าหวานเรียบสนิท ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความสับสนใจแววตา
“ไม่มีสัจจะในหมู่โจร...สินะ” นางตอบรับในขณะที่ก้มหน้าลง เสียงถอนหายใจอย่างแสนเสียดายถูกเสียงของสายฝนกลบทับจนอีกฝ่ายไม่อาจได้ยิน
แต่แล้วความตกใจก็เป็นฝ่ายเล่นงานเขาอย่างจังจนต้องอ้าปากค้าง เมื่อนางจัดการถอดหน้ากากหนังมนุษย์ออกแล้วเงยหน้าขึ้นสบตาเขา ใบหน้าหวานที่ถูกเรือนผมเปียกน้ำลู่ลงมาปิดทับอยู่บางส่วน แลดูลึกลับ งดงามและน่าหลงใหลอย่างร้ายกาจจนบุรุษสันดานดิบเถื่อนไม่อาจยับยั้งชั่งใจได้อีกต่อไป
ไวเท่าความคิด มือใหญ่หยาบกร้านก็เอื้อมออกไปอย่างรวดเร็ว หมายจะคว้าร่างบางมาเชยชมในระยะใกล้
ทว่าความตั้งใจกลับต้องหยุดชะงักอย่างกะทัน หันเมื่อเย็นเฉียบทาบลงบนลำคอของตนพร้อมกับเงาร่างปริศนาที่มาเข้าประชิดจากทางด้านหลัง
เขาเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนก ตั้งแต่เมื่อใดกัน!
ใบหน้าของเฉียงกังซีดเซียวไร้สีเลือด เสียงฟ้าผ่าพร้อมกับแสงสว่างวาบผ่านส่งผลให้เขาเห็นสภาพรอบๆ กายได้อย่างชัดเจน ลูกน้องของเขาถูกสังหารจนหมดสิ้น ไม่มีใครผู้ใดรอดชีวิต!
สาเหตุที่หนิงเทียนปลดหน้ากากออก ก็เป็นเพราะผู้ที่รับผิดชอบดูแลสถานที่แห่งนี้รู้จักเพียงใบหน้าที่แท้จริงของนางเท่านั้น
เดิมทีนางคิดว่าจะเข้าไปคุยกับเจ้าถิ่นให้เบามือกว่านี้ แต่เป็นเพราะโจรร้ายไร้สัจจะไม่ยอมเชื่อฟังนางเอง จึงต้องมาพบกับจุดจบที่น่าอนาถใจเช่นนี้
เพราะที่นี่คือแคว้นหยาง...
ร่างหนาเข่าอ่อนแทบทรุดลงบนพื้นเมื่อเห็นเงาดำทมิฬจำนวนมากสาวเท้าเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำราวกับลมพายุที่บ้าคลั่งไม่ต่างไปจากบทเพลงแห่งความตาย
เขานึกแล้วว่ามีความเป็นไปได้ที่มันจะเป็นกลลวง แต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าหลี่ชุนจะมีพรรคพวกที่เก่งกาจซ่อนตัวอยู่ในต่างแคว้น!
หนิงเทียนจับจ้องบุรุษเบื้องอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเคลื่อนสายตาไปยังผู้ที่ยืนอยู่หลังร่างหนาก่อนจะหันหลังกลับ
มือที่ถือมีดจ่อลำคอของคนร้ายกระชับแน่นขึ้น เรียกโลหิตแดงสดให้ไหลเปรอะเปื้อนไปกับหยาดฝนที่หยดผ่านลำคอหนา ซึมผ่านเนื้อผ้าสีเข้มจนไม่อาจมองเห็นได้อีก
สถานที่แห่งนี้มิใช่ที่ซ่อนตัวของทายาทตระกูลหลี่ แต่มันคือที่ซ่อนตัวของนักลอบสังหารลับของราชสำนักต่างหากเล่า!
นับว่าเป็นโชคร้ายของบุรุษผู้นี้ยิ่งนักที่โคจรมาพบกับไป๋หนิงเทียน
“จะให้จัดการอย่างไร” เสียงของอิสตรีเอ่ยถามหญิงสาวอีกคนที่ยังคงยืนเงียบ แม้นางจะประหลาดใจอยู่บ้างที่ไป๋หนิงเทียนมาหาพวกนางที่นี่พร้อมกับ ‘แขก’ มิได้รับเชิญจำนวนมากเช่นนี้
ทว่าสัญชาตญาณของผู้ที่ได้รับมาฝึกฝนมาเป็นอย่างดีจึงทำให้พวกนางลงมืออย่างเด็ดขาดโดยไม่จำเป็นต้องให้หนิงเทียนเอื้อนเอ่ยแม้แต่ประโยคเดียว
แต่สำหรับผู้ที่ดูท่าทางแล้วน่าจะเป็นหัวหน้าของผู้บุกรุกผู้นี้ นางจะต้องถามหญิงสาวให้แน่ใจเสียก่อน
“ดะ...ได้โปรด!” ครั้นวินาทีแห่งความเป็นความตายใกล้เข้ามา บุรุษดิบเถื่อนที่ชูคอลำพองตนว่าเหนือกว่ากลับอ้อนวอนอย่างน่าเวทนายิ่ง
เวลานี้ต่อให้ต้องคุกเข่ากราบเท้าอิสตรี เฉียงกังก็พร้อมที่จะทำเพื่อให้ตนเองมีชีวิตอยู่ต่อ!
“แล้วแต่ท่านเห็นสมควรเถิด”
นางไม่มีความเกี่ยวข้องในเรื่องนี้มาตั้งแต่แรกก็จริง แต่ในเมื่อนางถูกดึงเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วก็คงมิอาจปล่อยผ่านไปง่ายๆ
ผู้บงการคงมีฐานะไม่ธรรมดา และที่สำคัญอีกฝ่ายก็ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของนางแล้ว
ตีงูอย่าให้เพียงแค่หลังหัก แต่ต้องตีให้ตาย มิเช่นนั้นมันอาจจะกลับมาแว้งกัดเราจนสร้างความลำบากให้ในภายหลัง...
ที่สำคัญ พวกเขาทำให้นางโกรธ...โดยการสังหารผู้บริสุทธิ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้!
จงยี่หยาทำงานในสายนี้มาอย่างโชกโชน ครั้นได้ฟังหนิงเทียนกล่าวเช่นนี้ก็จัดการปลิดชีพบุรุษร่างหนาโดยที่อีกฝ่ายไม่มีโอกาสแม้แต่จะส่งเสียงร้อง
ร่างที่ไร้ลมหายใจ กลายเป็นศพที่ถูกทิ้งลงบนพื้นอย่างไม่ใยดี กลิ่นคาวโลหิตถูกเม็ดฝนชะล้างไปจนหมดสิ้น กลุ่มคนต่างแดนกว่ายี่สิบชีวิตถูกสังหารอย่างเงียบเชียบท่ามกลางวันที่ฝนตกหนัก
เรื่องนี้จะไม่เป็นที่สะดุดใจของผู้ใดในเมืองหงเล่อ...
มือเรียวที่มือเปื้อนเลือด เพียงครู่เดียวก็เลือนหายไปราวกับไม่เคยแปดเปื้อนในขณะที่ผู้ลงมือกลับมีสีหน้านิ่งเฉยประหนึ่งไม่แยแสว่าตนได้พรากลมหายใจของคนผู้หนึ่ง
หากยังไม่ทันทีหัวหน้าหน่วยลอบสังหารหน่วยที่หกแห่งราชสำนักจะเอ่ยปาก หนิงเทียนก็ชิงพูดขัดขึ้นมาเสียก่อน
“พี่ยี่หยา ไว้ค่อยคุยกันพรุ่งนี้เช้า”
ผู้ฟังพยักหน้ารับแล้วไม่เอ่ยสิ่งใดอีก สัญญาณมือให้กับนักสังหารที่เหลือ เพียงแค่พริบตาเดียวเงาร่างทั้งหมดก็จางหายไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับศพมากมายที่เคยกองอยู่บนพื้น เรียกได้ว่าเก็บกวาดอย่างหมดจดสมเป็นมืออาชีพ
หลังจากเรื่องทั้งหมดถูกจัดการจนเสร็จสิ้นแล้ว หนิงเทียนจึงเริ่มรู้สึกว่าหนาวจนกายสั่นจนจนต้องห่อไหล่
หยาดน้ำฟ้าที่ตกลงมาเริ่มเบาลง ครั้นใบหน้างามแหงนขึ้นมองก็พบว่าเมฆาเริ่มสลายตัว อีกไม่นานท้องฟ้าก็จะเปิดอีกครา...
นึกไม่ถึงว่าหลังจากที่ตัดสินใจจากสถานที่แห่งนั้นมาแล้ว นางก็ยังต้องมาข้องเกี่ยวกับวิถีชีวิตเดิมๆ อย่างไม่อาจหลีกหนี
เห็นทีคงเป็นคำสาปกระมัง...