เมื่อหลี่รั่วหานจากไปแล้ว ฮูหยินหลิวอิ๋งจึงหันมาเอ่ยกับองค์หญิงหงลี่ทันที
"องค์หญิงอย่าได้ทรงเป็นกังวล เดิมทีนี่ก็เป็นความผิดของไป๋ไป๋เช่นกัน อย่างไรข้าคงมิอาจฝืนใจซื่อจื่อให้เขาต้องลำบากมาแต่งงานกับไป๋ไป๋เป็นแน่ หากนางมิสามารถแต่งออกจวนได้อีก ตระกูลจ้าวย่อมต้องส่งนางออกบวชเพื่อลบล้างความผิดในครานี้"
จ้าวไป๋ลู่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง นางมุ่ยหน้าลงราวกับเด็กน้อย ในใจครุ่นคิดไปต่างๆนาๆ
ไปอยู่อารามหรือ ออกบวช หรือ!!ข้าไม่อยากถือศีลกินเจนะ ข้าชอบกินเนื้อที่สุดเลย ฮือออ!!!
แต่จะว่าไปอาหารเจก็รสชาติดีมิใช่หรือ?
แถมไม่ต้องเสียเงินสักอีแปะด้วย!
องค์หญิงหงลี่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบเอ่ยห้ามปรามสหายสนิทของตนทันที
"ไม่ได้เด็ดขาด!!นางอายุเพียงเท่านี้จะให้ออกบวชได้อย่างไร ข้าน่ะเอ็นดูนางยิ่งนัก นางน่ารักและไร้เดียงสาถึงเพียงนี้ข้าคงทำใจให้เจ้าพานางออกบวชมิได้ อิ๋งเอ๋อร์ หากเจ้าจะส่งนางออกบวช มิสู้ให้นางแต่งเข้ามาเป็นลูกสะใภ้มิดีกว่าหรือ"
ฮูหยินหลิวอิ๋งที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง เมื่อได้เห็นสายตาที่องค์หญิงหงลี่มองจ้าวไป๋ลู่ด้วยความเอ็นดู นางก็เริ่มใจอ่อนลง
"อย่างไรข้าคงต้องขอกลับไปปรึกษาหารือกับสามีของข้าเสียก่อน"
"ได้ เช่นนั้นอีกสามวันข้าจะส่งแม่สื่อไปที่จวนตระกูลจ้าว"
"เหตุใดจึงรวดเร็วเช่นนี้เล่า"
"นี่ยังถือว่าช้าไปเสียด้วยซ้ำ"
เมื่อหมดหนทางจะทัดทานวาจาขององค์หญิงหงลี่ ฮูหยินหลิวอิ๋งจึงทำได้เพียงถอนหายใจออกมาอย่างปลงมิตก ในใจนึกเป็นห่วงบุตรสาวยิ่งนัก การได้พบหน้าว่าที่สามีและยังเกิดเรื่องราวเช่นนี้ ย่อมไม่ส่งผลดีต่อจ้าวไป๋ลู่เป็นแน่
ด้านหลี่รั่วหานนั้น เมื่อออกมาจากเรือนใหญ่ เขาก็มุ่งหน้าไปหาหนิงเสวี่ยทันที เพื่อเดินทางกลับจวนตระกูลหนิง เขาจึงรีบยื่นมือไปคว้าแขนของนางเอาไว้
หนิงเสวี่ยเสแสร้งทำทีเป็นปัดมือเขาออก ทั้งที่ในใจของนางนึกด่าทอเขาเป็นพันครั้ง
นางรอเขา รอแล้วรอเล่า แต่เขาก็ไม่ยอมออกมาพบนาง!!
ท่าทีหวงเนื้อหวงตัว ใบหน้าสวยหวานที่มีหยดน้ำตาเอ่อคลอ ชวนให้น่าถนุถนอม ทำให้หลี่รั่วหานใจอ่อนยวบ
"เสวี่ยเอ๋อร์ข้าทำผิดต่อเจ้ายิ่งนัก"
"ท่านไม่ผิดเจ้าค่ะ เป็นข้าเองที่ไม่ดีพอ"
"ไม่จริง!! เจ้าดีทุกอย่าง เจ้าดีทุกอย่างในสายตาของข้า"
หนิงเสวี่ยยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาอย่างน่าสงสาร ก่อนจะเอ่ยกับหลี่รั่วหานด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ
"พี่รั่ว ท่านจะต้องแต่งกับนางจริงๆหรือเจ้าคะ"
"ไม่มีทาง ข้าจะแต่งกับเจ้าเพียงเท่านั้น แต่งเพียงแค่เจ้า"
"พี่รั่ว ขอเพียงได้อยู่ข้างกายท่าน ต่อให้ลำยากข้าก็ยอมเจ้าค่ะ"
"เสวี่ยเอ๋อร์ของข้าดีที่สุด"
หลี่รั่วหานยื่นมือไปลูบไล้แก้มสวยของนาง ก่อนจะประคองนางขึ้นรถม้า เขามองส่งนางจนรถม้าจวนตระกูลหนิงลับสายตา เมื่อเขาหันกายกลับมาก็พบกับจ้าวไป๋ลู่ที่เดินออกมาจากจวนพอดี ท่านแม่ให้นางออกมารอที่รถม้าก่อน เพราะมีเรื่องอยากเอ่ยกับองค์หญิงหงลี่อีกสักสองสามประโยค
แววตาที่มองเด็กสาวตรงหน้าแฝงแววดูแคลนอย่างไม่ปิดบัง
"หน้าตาเจ้าก็ดูเรียบร้อยดี ไม่น่าเชื่อว่าจะเจ้าแผนการณ์ถึงเพียงนี้"
จ้าวไป๋ลู่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะหันไปมองสุนัขตัวหนึ่งที่กำลังหยุดจ้องมองมาที่พวกนาง ก่อนจะสลับมองไปที่หลี่รั่วหานอีกครา
หลี่รั่วหานที่ได้เห็นเช่นนั้นโทสะในใจก็ประทุทันที
"ถูกด่าแล้วยังหน้าด้านหน้าทนอีก!!"
"ซื่อจื่อพูดกับข้าหรือเจ้าคะ?"
จ้าวไป๋ลู่เอียงคอมองหลี่รั่วหานด้วยใบหน้าที่ไร้เดียงสา
"ใช่สิ!!พูดกับเจ้า จะให้ข้าพูดกับสุนัขหรือ!!!"
"อ้อออ ข้าก็คิดว่าท่านพูดกับสุนัขเสียอีก ข้าเห็นมันมองหน้าท่าน"
"นี่เจ้า!!!!"
โฮ่งๆๆ!!!
"ฮ่าๆๆๆ ดูสิ เจ้าคะ มันตอบรับท่านด้วย ไหนเจ้าส่ายหางสิ โอววว!!"
"เด็กผี!!!"
เขาเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะสะบัดชายเสื้อเดินกลับเข้าไปในจวนอย่างหัวเสีย จ้าวไป๋ลู่เบ้ปากคราหนึ่งก่อนจะส่งเสียงหัวเราะออกมา
ท่านสิผี!!
เมื่อเดินทางกลับมายังจวนตระกูลจ้าว ฮูหยินหลิวอิ๋งก็ลงโทษจ้าวไป๋ลู่ทันที
เพียะ เพียะ
เสียงไม้เรียวฟาดกระทบกับเรียวขางามของนางอย่างต่อเนื่อง ฮูหยินหลิวอิ๋งเป็นคนใช้ไม้ตีสั่งสอนบุตรสาวเองกับมือ
"อ๊า ท่านแม่!!"
"หยุดร้องนะ!!เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าเจ้าทำให้ตระกูลจ้าวต้องอับอาย ทำให้ข้าเสียหน้า อีกทั้งยังทำให้ผู้อื่นดูแคลนตระกูลเราเช่นไร!!"
"ฮือ ข้าไม่ได้ตั้งใจนี่ท่านแม่ อ๊า แสบๆๆ!!"
จ้าวไป๋ลู่ส่งเสียงโอดครวญด้วยความเจ็บปวด จ้าวเยียนผู้เป็นบิดาและจ้าวเฉียนผู้เป็นพี่ชายที่เพิ่งกลับมาจากวังหลวง เมื่อได้ยินเสียงร้องโวยวายของจ้าวไป๋ลู่จึงรีบเร่งมาที่เรือนใหญ่ทันที
"ฮูหยินยั้งมือเถิด เกิดสิ่งใดขึ้น!!"
"ปล่อยข้านะ ข้าจะสั่งสอนนางให้หลาบจำ!!"
จ้าวเยียนรีบรั้งมือของภรรยาตนเอาไว้ ก่อนจะส่งสายตาให้จ้าวเฉียนพาจ้าวไป๋ลู่กลับเรือนนอนไปก่อน
"ฮูหยิน เจ้าสงบสติอารมณ์ก่อนเถิด ไป๋ไป๋ตัวเล็กบอบบางเพียงนั้น เจ้ามิสงสารนางบ้างเลยหรือ!!"
"ก็เพราะสงสารอย่างไรเล่าเจ้าคะ ข้าจึงต้องสั่งสอนนาง!!!"
"เอาเถิด ไหนเจ้าลองเล่าให้ข้าฟังเถิดว่าเกิดสิ่งใดขึ้น มิใช่ว่าวันนี้พวกเจ้าสองแม่ลูกไปชมดอกเหมยที่จวนโหวมาหรอกหรือ"
ฮูหยินหลิวอิ๋งโยนไม้เรียวในมือลงพื้น ก่อนจะสั่งให้เหล่าสาวใช้ออกไปให้หมด แล้วจึงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ผู้เป็นสามีฟัง
จ้าวเยียนเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจคราหนึ่ง
"ในเมื่อข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกไปเสียแล้ว เราคงต้องตอบรับการแต่งงานนี้แล้วล่ะฮูหยิน"
"แต่ท่านพี่ ไป๋ไป๋มิใช่คนฉลาด ข้าเกรงว่าความใสซื่อของนางจะทำให้ถูกรังแกเอาได้นะเจ้าคะ"
"ใครว่าไป๋ไป๋ของข้าโง่ แท้จริงนางฉลาดยิ่งนัก ฮูหยินหากนางแต่งเข้าจวนโหวย่อมดีกว่าแต่งกับตระกูลอื่น ยิ่งมีข่าวลือว่านางตกน้ำไปพร้อมซื่อจื่อเช่นนี้ ยังจะมีบุรุษตระกูลใดอยากจะแต่งนางเข้าไปเป็นภรรยากัน เจ้าวางใจเถิด ข้าเชื่อว่าเจ้าจะสามารถอบรมสั่งสอนไป๋ไป๋ให้เป็นภรรยาได้"
ฮูหยินหลิวอิ๋งหมดวาจาจะเอื้อนเอ่ย นางทำได้เพียงสั่งให้สาวรับใช้ไปตามหมอมาตรวจดูบาดแผลของจ้าวไป๋ลู่
เมื่อเห็นว่าภรรยาเริ่มใจเย็นลงแล้ว จ้าวเยียนจึงยื่นมือไปสะกิดแขนนาง ฮูหยินหลิวอิ๋งที่เห็นเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น
"ท่านจะทำสิ่งใด?"
"ฮูหยิน นานแล้วนะ ที่พวกเราไม่ได้..."
"ข้าจะไปดูไป๋ไป๋!!"
"ฮึ่ม อย่าเลย นางมีท่านหมอดูแลอยู่แล้ว มิสู้เรามาทำลูกกันดีกว่า เผื่อจะได้บุุตรสาวที่แสนน่ารักเพิ่มมาอีกสักคน เจ้าว่าดีหรือไม่? วะฮ่าๆๆๆ"
"นี่ ท่าน!!!"
จ้าวเยียนจับภรรยากดลงบนเตียงก่อนจะส่งเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี นานแล้วที่เขาต้องใช้มือมาตลอด ยามนี้จะได้พุ่งเข้าสู่ถ้ำสวรรค์เสียที