‘ถือซะว่ามันคือการผจญภัยแบบหนึ่งก็แล้วกันนะ’ จูเลี่ยงรุ่ยที่ทำใจยอมรับเรื่องเหลือเชื่อนี้ไม่ได้สักทีพยายามปลอบใจตนเอง ชีวิตในชาติภพก่อนเธอเป็นสาวลุย ไม่ห่วงสวย ชอบแอดเวนเจอร์หรือว่าการผจญภัย
‘แต่การมาผจญภัยในนิยายโดยสวมบทนางร้ายนี่มันก็ไม่น่าพิสมัยเท่าไหร่นะ ไม่รู้ต้องเจอกับอะไรบ้าง แต่จะเป็นไรไปล่ะในเมื่อเราอ่านนิยายเล่มนี้เกือบจบแล้ว คิดซะว่าเป็นเกมส์ละกันวะ ที่ต้องผ่านด่านต่างๆ ไปให้ได้ เฮ้อ!’ หญิงสาวพยายามปลุกปลอบใจตน ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เรื่องเหลือเชื่อมันย่อมเกิดขึ้นได้เสมอไม่ว่ากับใครคนใดคนหนึ่ง
หลังจากรักษาตัวในโรงพยาบาลได้หนึ่งอาทิตย์หมอก็อนุญาตให้จูเลี่ยงรุ่ยกลับมาพักฟื้นที่บ้านได้ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่อยู่โรงพยาบาลนั้นมีเพียงแม่และตาของเจ้าของร่างเท่านั้นที่ไปคอยดูแลและเยี่ยมเยียน
“คุณหนูคะ คุณหนูกลับมาแล้ว” หญิงร่างท้วมวัยกลางคนวิ่งกระหืดกระหอบมาต้อนรับทันทีที่รถยนต์คันหรูจอดสนิท จูเลี่ยงรุ่ยค่อยๆ ก้าวลงมาจากรถ เธอกวาดสายตามองไปรอบๆ บริเวณก็พบว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้าน 2 ชั้นขนาดใหญ่โตและดูโอ่อ่า มีบริเวณกว้างขวาง ด้านหนึ่งเป็นสนามหญ้าเขียวขจี ส่วนอีกด้านเป็นสวนดอกไม้นานาพรรณ
‘นี่สินะ คฤหาสน์สมัยก่อน’ จูเลี่ยงรุ่ยอดนึกถึงบ้านของนางร้ายที่ผู้เขียนได้พรรณนาเอาไว้ในนิยายไม่ได้ว่าเป็นเพียงคฤหาสน์ไม่กี่หลังในเมืองนี้
‘หากเดาไม่ผิด คนนี้คงจะเป็นป้าเซี่ย ป้าแม่บ้านที่จงรักภักดีของแม่นางร้ายสินะ’
“คุณหนู เป็นอย่างไรบ้างคะ คุณหนูของป้า โถ แม่คุณ หายดีแล้วใช่ไหมคะ ได้กลับบ้านซะที กลับมาอยู่กับคุณแม่ คุณ เพาะ…เอ่อ” ป้าเซี่ยถึงกับหน้าสลดลงเมื่อรู้ตัวว่าเผลอพูดถึงใครบางคน
“เอ่อ พ่อ พ่อ…อยู่ที่ไหนเหรอคะแม่?” จูเลี่ยงรุ่ยเอ่ยถาม แววตาของเด็กสาวมีประกายบางอย่าง
‘หากจำไม่ผิด เหตุการณ์ต่อไปหลังจากนางร้ายรุ่นเล็กออกจากโรงพยาบาลแล้วก็คือพระเอกพ่อพานางเอกแม่และนางเอกลูกสาวมาที่บ้านหลังนี้เพื่อเย้ย เอ๊ย เพื่อขอหย่าแต่โดยดีสินะ แล้วอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปล่ะ?’ จูเลี่ยงรุ่ยครุ่นคิดพลางจ้องเขม็งไปที่ประตูใหญ่ของรั้วบ้าน
หวงเลี่ยงหลิงหน้าซีดเผือด ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอพยายามบ่ายเบี่ยงโดยบอกกับลูกสาวว่าผู้เป็นพ่อนั้นติดงานที่มณฑลอื่น จึงมาเยี่ยมตอนที่เธอนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลไม่ได้ ทั้งนี้ก็เพื่อรักษาความรู้สึกของลูกสาวคนเดียวที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ ทั้งๆ ที่เธอเองก็รู้ทั้งรู้ว่าจูลู่จื้อมักจะอ้างเรื่องงานมาบังหน้าแต่กลับแอบไปอยู่กับบ้านเล็กตลอด
“อะ…เอ่อ พ่อ พ่อเขาติดงานน่ะลูก เจ้านายเรียกใช้ ช่วงนี้พ่อต้องทำคะแนนให้มาก เพื่อว่าจะได้เลื่อนขึ้นพันโท” หวงเลี่ยงหลิงตอบอ้อมๆ แอ้มๆ
“จริงหรือคะแม่?” จูเลี่ยงรุ่ยถามออกไปอีกครั้ง จู่ๆ เธอก็รู้สึกเห็นใจเมียหลวงที่นอนกอดแต่ทะเบียนสมรสแต่ไม่ได้นอนกอดสามีขึ้นมา หวงเลี่ยงหลิงพยายามหลบสายตาเธอเพราะกลัวว่าจะปกปิดลูกเอาไว้ไม่มิด
“อะ เอ่อ จริงสิ แต่คุณพ่อก็โทรศัพท์มาถามอาการของลูกทุกวันนะ ยังไงคุณพ่อก็เป็นห่วงลูกนะ” เรื่องนี้เป็นความจริง จูลู่จื้อนั้นแม้จะไม่ได้ไปเยี่ยมจูเลี่ยงรุ่ยที่โรงพยาบาลเลยตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่เขาก็โทรมาที่บ้านทุกวัน โดยป้าเซี่ยเป็นคนรับสายทุกครั้ง
จูเลี่ยงรุ่ยยักไหล่
“หึ!ช่างพ่อเขาเถอะแม่ ยังไงเสียหนูมีแค่แม่กับคุณตาก็พอแล้ว แค่นี้หนูก็รู้สึกว่าหนูช่างเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลกแล้ว” ก็จะไม่ให้จูเลี่ยงรุ่ยรู้สึกอย่างนั้นอย่างไรไหว ยุคสมัยที่เธอทะลุมิติมาในนิยายนี้มันคือยุค 80s ของจีน พูดง่ายๆ ก็คือเธอย้อนเวลาจากโลกแห่งความเป็นจริงในปี 2023 เข้ามาในโลกนิยายซึ่งเป็นเหตุการณ์ในช่วงปี 1980-1989 นั่นเอง และเป็นที่รู้กันดีว่ายุคสมัยนี้เป็นยุคสมัยหลังการปฏิวัติทางวัฒนธรรมไม่กี่ปี ผู้คนยังอดอยากยากแค้น คนยากจนมีเป็นจำนวนมาก ระบบคูปองยังมีใช้อยู่บ้าง แต่ผู้คนเริ่มหันมาใช้เงินกันมากขึ้น มีการส่งเสริมเรื่องการค้าขายและทุนนิยมมากขึ้น รวมทั้งการเข้ามาของต่างชาติ
“เอ๋ นี่ลูกหมายความว่ายังไง?” หวงเลี่ยงหลิงเลิกคิ้วสูงพร้อมๆ กับทำหน้างง แต่ไหนแต่ไรมาลูกสาวคนนี้ร่ำร้องหาผู้เป็นพ่อใจจะขาด จูเลี่ยงรุ่ยเป็นลูกที่รักและหวงพ่อมาก ยิ่งตอนหลังที่เธอได้รู้มาจากผู้เป็นแม่ว่าพ่อนั้นแอบมีบ้านเล็กและมีลูกสาวอีกหนึ่งคน ตอนนั้นเธอคลั่งและอาละวาดจนบ้านแทบแตก มิหนำซ้ำยังกินยาฆ่าตัวตายเพื่อประชดผู้เป็นพ่อ
“ก็เกิดมาเป็นลูกของแม่ เป็นหลานของตานี่คือที่สุดแห่งความโชคดีแล้วค่ะ” จูเลี่ยงรุ่ยพูดจบก็เข้าไปโอบกอดผู้เป็นแม่ น่าแปลกที่เธอสัมผัสได้ถึงสายใยแม่ลูกระหว่างตัวเองกับนางร้ายแม่ผู้นี้ อาจจะเป็นเพราะจิตวิญญาณของเธอได้เข้ามาอยู่ในร่างของจูเลี่ยงรุ่ยวัย 20 ปีผู้เป็นลูกสาวก็เป็นได้
‘ก็จะไม่ให้โชคดีได้อย่างไรล่ะคะคุณแม่ ถ้าหากว่าชั้นต้องไปอยู่ในร่างของสาวชาวนาตามชนบทมิต้องลำบากลำบนใช้ชีวิตอย่างอดๆ อยากๆ ยากจนข้นแค้นหรอกหรือ เฮ้อ!ไอ้เรามันก็ติดสบายเสียด้วยสิ ก็คนมันเคยลำบากมาก่อน พอได้ใช้ชีวิตอย่างสบายแล้วเลยไม่อยากกลับไปลำบากอีกน่ะสิ โชคดีจริงๆ ทะลุมิติเข้ามาในนิยายทั้งทีก็ได้มาเป็นคุณหนูที่ทั้งสวยและรวยมาก ส่วนเรื่องที่ว่าเป็นนางร้ายค่อยว่ากัน ถ้าเราไม่เล่นตามบทซะอย่าง มันก็จะกลายเป็นนางร้ายไม่ตรงปก อยากรู้จังว่ามันจะเป็นยังไง ฮิฮิ’ จูเลี่ยงรุ่ยโอบกอดผู้เป็นแม่แน่นขึ้น เพราะรู้ว่าเหตุการณ์ต่อไปที่จะเกิดขึ้นต้องดุเดือดแน่ๆ
สองแม่ลูกนั่งโอบกอดกันราวกับต้องการปลอบประโลมจิตใจให้แก่กันและกันได้ไม่ถึง 5 นาทีก็มีเสียงรถยนต์แล่นเข้ามาจอดภายในบริเวณบ้าน ตามด้วยเสียงวิ่งกระหืดกระหอบมาของป้าเซี่ย
“คุ…คุณ คุณผู้หญิงคะ เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ” ป้าเซี่ยพูดตะกุกตะกัก ตัวหอบโยน
“ป้าเซี่ยคะ ใจเย็นๆ ค่ะ คุณพ่อมาใช่ไหมคะ?” จูเลี่ยงรุ่ยเอ่ยถามยิ้มๆ ป้าเซี่ยพยักหน้าหงึกๆ ให้นึกแปลกใจว่าคุณหนูของนางรู้ได้อย่างไร
จูเลี่ยงรุ่ยหันไปส่งยิ้มอบอุ่นให้กับผู้เป็นแม่พร้อมๆ กับบีบมือเบาๆ
“แม่คะ แม่ใจเย็นๆ ตั้งสติ อย่าใจร้อน อย่าวู่วาม แม่เชื่อหนูนะคะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นปล่อยให้หนูจัดการเอง แม่เชื่อหนูนะคะ”
หวงเลี่ยงหลิงทำสีหน้างงงวย งงที่ 1 สามีสุดที่รักอย่างจูลู่จื้อที่อ้างว่าเจ้านายใช้ให้ไปทำงานในวันนี้ใยจึงกลับมาบ้านได้ เธอรู้มาตลอดนั่นแหละว่าเขาไม่ได้ไปทำงานที่มณฑลอื่นตามคำสั่งของนายจริง แต่แอบไปกกอยู่กับนังเมียน้อยนั่น ที่เธอรู้ก็เพราะเธอให้คนของพ่อเธอที่เป็นนายพลตามสืบ งงอย่างที่ 2 เหตุใดลูกสาวของเธอจึงพูดออกมาอย่างนั้น มันจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ และงงอย่างที่ 3 ก็คือ งงกับพฤติกรรมของจูเลี่ยงรุ่ย ตั้งแต่หลังจากฟื้นขึ้นมาลูกสาวของเธอก็มีท่าทีที่แปลกและแตกต่างจากเดิม จากที่เป็นคนหุนหันพลันแล่น เมื่อไม่ได้อะไรดั่งใจก็มักจะโวยวายไม่ยอมท่าเดียว และยิ่งพอรู้ว่าผู้เป็นพ่อมาที่บ้านเธอมักจะวิ่งออกไปหาไปกอดเขา แต่ครั้งนี้จูเลี่ยงรุ่ยกลับนิ่งเฉยเสียอย่างนั้น
จูเลี่ยงรุ่ยจ้องเขม็งไปยังประตูบานใหญ่ซึ่งเป็นทางเข้าตัวตึก บุรุษวัยกลางคนประคองสตรีวัยกลางคนผู้งดงามและดูบอบบางอ่อนแอเดินเข้ามาในตัวตึก ผู้หญิงคนนั้นมีท่าทางตื่นกลัวอยู่บ้างชายข้างกายที่ความทรงจำเดิมของเจ้าของร่างบอกว่านี่แหละคือพ่อของเธอจึงได้โอบกอดคล้ายๆ ปลอบประโลม ส่วนที่เดินตามหลังมาติดๆ ก็คือชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งที่ดูอย่างไรก็ต้องบอกว่าเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก ผู้ชายนั้นหน้าตาหล่อเหลาคมคาย ท่าทางมีสง่าราศีเหมือนพวกนายทหาร ส่วนหญิงสาวนั้นหากจะเรียกว่างดงามดั่งจันทราก็คงจะไม่ผิดไปนัก เธอทั้งบอบบาง อ่อนหวาน แววตาดูตื่นตระหนกราวกับลูกกวางน้อย จึงเป็นหน้าที่ของพระเอกหนุ่มที่ต้องคอยดูแลปกป้องรวมทั้งประคบประหงมหญิงสาวข้างกายเขาราวกับไข่ในหิน
…ดูแล้วน่าหมั่นไส้ ทำราวกับว่าแม่สองคนนั่นเดินไม่เป็นหรือว่าง่อยเปลี้ยเสียขาไปได้
“นะ นี่ นี่คุณ คุณลู่จื้อ ทำอย่างนี้มันเกินไปแล้ว คุณกล้าพามันมาหยามฉันถึงที่นี่เลยหรือ กริ…” หวงเลี่ยงหลิงทำท่าจะกรีดร้องออกมา ดีที่ว่าจูเลี่ยงรุ่ยที่โอบกอดแม่เอาไว้กระชับกอดแน่นขึ้น ก่อนจะกระซิบข้างหูนางร้ายแม่เบาๆ
“แม่คะ ใจเย็นๆ นะคะ อย่าโวยวายไป เดี๋ยวเราจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แม่อยู่เฉยๆ ให้หนูจัดการเอง รับรองว่าเด็ดค่ะ” หญิงสาวไม่ได้มีท่าทางตระหนกตกใจเฉกเช่นผู้เป็นแม่แต่อย่างใด กลับมีท่าทางสบายๆ ผิดแปลกไปยิ่งนัก
“อะ…เอ่อ เลี่ยงรุ่ย เป็นอย่างไรบ้างลูก พ่อดีใจที่ลูกออกจากโรงพยาบาลแล้วและเห็นลูกดูแข็งแรงดี พ่อต้องขอโทษที่พ่อ เอ่อ ไม่ได้ไปเยี่ยม” จูลู่จื้อพูดติดๆ ขัดๆ ดวงตามีแววละอาย
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูชินแล้ว พ่อว่าธุระของพ่อมาเลยดีกว่า พอดีหนูเพิ่งกลับมาจากโรงพยาบาล อยากพักผ่อนเต็มที”
คำพูดของหญิงสาวทำให้คนทั้ง 4 ซึ่งรั้งตำแหน่งพระเอกนางเอกรุ่นพ่อรุ่นแม่ และพระเอกนางเอกรุ่นลูกเกิดความละอายใจผ่านแววตา เฮ้อ!บทของพระเอกนางเอกก็ต้องอย่างนี้แหละนะ ต้องเป็นคนดี๊ดี
“เอ่อ คือว่า…” จูลู่จื้ออึกอัก ในที่สุดเขาก็สูดลมหายใจเข้าลึก ตัดสินใจพูดออกมาในที่สุด
“พูดมาเถอะค่ะ หนูรับได้ทุกอย่าง” จูเลี่ยงรุ่ยพูดยิ้มๆ พลางส่งสายตาท้าทายออกไป ในขณะเดียวกันก็โอบกอดผู้เป็นแม่กระชับแน่นขึ้นเพื่อที่จะควบคุมไม่ให้หวงเลี่ยงหลิงไปก่อเรื่องทำร้ายร่างกายพวกนางเอก เดี๋ยวแผนจะเสียหมด นั่นไง… ช่างถ่ายรูปของนายพระเอกเดินมานั่นแล้ว
จูเลี่ยงรุ่ยปรายตามองถังหงเซ่อซึ่งเป็นเพื่อนของนายพระเอกโหวเจียวซือตาเขม็ง ชายหนุ่มสะพายกระเป๋าใบขนาดย่อมมาด้วย เธอมองปราดเดียวก็รู้ว่ามันคือกระเป๋าบรรจุกล้องถ่ายรูป
“อะ…เอ่อ คือว่า คือ เลี่ยงหลิง เห็นใจเราเถอะนะ ยังไงผมกับคุณก็ไม่เคยรักกัน เราอยู่กันอย่างไม่มีความสุขมาร่วม 20 ปีแล้ว หย่าให้ผมดีๆ เถอะนะ” จูลู่จื้ออ้อนวอนพลางกระชับกอดสตรีงดงามข้างกายแน่นขึ้น
หวงเลี่ยงหลิงแทบคลั่ง คำว่า ‘หย่า’ ทำให้ร่างเธอแข็งทื่อเป็นหิน
“ฉะ….ฉัน ฉันรักคุณมาตลอด รักคุณมาก มากที่สุด คุณมันคนใจร้าย แก แกมันนังชาเขียว แก นังเตียวหนิงเหมย แสร้งทำเป็นแม่ดอกบัวขาว ทำตัวให้น่าสงสาร แท้จริงแล้วแกก็มาแย่งสามีชาวบ้าน แก…”
“แต่ผมกับหนิงเหมยรักกันมาก่อนที่ผมจะแต่งงานกับคุณเสียอีก เรารักกันมานาน เรามีลูกด้วยกันหนึ่งคน คุณเองก็รู้” จูลู่จื้อเสียงอ่อยๆ เขาเองก็รู้สึกผิดกับทั้งสองฝ่าย เพราะภรรยาทั้งสองต่างก็มีลูกกับเขา เขาจึงไม่สามารถทำหน้าที่พ่อและสามีที่ดีได้อย่างเต็มที่
“เห็นใจครอบครัวจนๆ ของเราด้วยเถอะนะคะ คุณหวงเลี่ยงหลิง คุณจูเลี่ยงรุ่ย” นางเอกสาวอย่างเตียวหนิงฮวา หญิงสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับจูเลี่ยงรุ่ยถึงกับยอมลงทุนคุกเข่าลงต่อหน้าสองแม่ลูกนางร้าย
จูเลี่ยงรุ่ยเบิกตาเล็กน้อย
‘ยัยนี่เล่นใหญ่ไปไหม’
“เอ่อ ลุกขึ้นเถอะค่ะคุณเตียวหนิงฮวา เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องคุกเข่าเลย” เธอพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะหันไปทางผู้เป็นพ่อ
“พ่ออยากจะหย่ากับแม่ใช่ไหมคะ ถ้าอย่างนั้นหนูจะตอบแทนแม่เลย ตกลงค่ะ พ่ออยากหย่าวันไหนนัดวันมาได้เลย”