“นี่ท่านกำลังรอสิ่งใดอยู่หรือขอรับ?”
เมื่อเห็นว่าอาจารย์ใหญ่หวังยืนนิ่งเงียบกวาดสายตาไปทางซ้ายและทางขวาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าทำแบบนี้อยู่สองสามรอบ ไต้เส้าจวินจึงคิดว่าหวังต้าจิ้งกำลังรอคอยบางอย่าง
“อืม....เดี๋ยวก็รู้ว่าถ้าเราเข้าไปแล้วจะออกมาได้อย่างปลอดภัยไหม?”
“หวี้ด....................!” เสียงแหลมยาวก้องมา
“เอาล่ะ! หาทางออกได้แล้ว พวกเรารีบเข้าไปกันเถอะ” อาจารย์ใหญ่หวังเดินเข้าไปในทางเข้าป่าที่สาม “ค่ายกลนี้ปรับเปลี่ยนไปตามช่วงวันและสภาพอากาศ การเข้าไปนั้นง่ายแต่การออกมานั้นยาก ช่วงเวลาที่ออกมาง่ายที่สุดคือช่วงที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน”
“เส้าจวิน เจ้าว่าป่านี้แปลกหรือไม่?” จงกว้านซีเริ่มสังเกตสิ่งรอบข้าง เขาเคยเข้าป่าไข่มังกรนี้เมื่อตอนจบการศึกษาเพียงครั้งเดียว แต่ก็พอจะจำได้ว่าข้างในมีสภาพเป็นอย่างไรบ้าง?
ไต้เส้าจวินพยักหน้า “ต้นไม้ที่มีขนาดเท่ากันจะหน้าตาเหมือนกันกระทั่งขนาดและจำนวนกิ่งก้าน”
“เจ้ารู้ด้วย!”
“ต่างจากตอนที่เราเคยเข้ามาตอนจบการศึกษานะ ครั้งนั้นป่ายังมีสภาพเป็นป่าปกติเพียงแต่มีจะมีทางแยกเพิ่มมากขึ้น”
ฝีเท้าของหวังต้าจิ้งทั้งเบาและว่องไว เป็นครั้งแรกที่ไต้เส้าจวินได้ติดตามเขาเข้ามาในสถานที่อันตรายในฐานะจอมยุทธ์ เขารู้สึกว่าอาจารย์ใหญ่หวังสมแล้วที่เป็นจอมยุทธ์ในตำนาน แม้จะไม่ค่อยมีผู้ได้เห็นเขาแสดงฝีมือนักแต่ ไต้เส้าจวินรู้สึกว่าคนผู้นี้ฝีมือร้ายกาจมิใช่น้อย เหยี่ยวตัวเมื่อครู่บินต่ำลงมาและฉวัดเฉวียนไปเกาะรอด้านหน้าทุกระยะ ไต้เส้าจวินคาดว่ามันคงจะนำทางไปหาเด็กทั้งสี่ที่หลงทางอยู่ในนี้
“เรามีเวลาเพียงครึ่งชั่วยามที่จะตามหาพวกเขาให้เจอแล้วออกไปจากที่นี่ ไม่เช่นนั้นต้องค้างคืนอยู่ในนี้และจะยิ่งทำให้ทางแยกพวกนั้นมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ”
หวังต้าจิ้งมองซ้ายมองขวาเขาไม่ได้อธิบายวิธีการเลือกเส้นทางในค่ายกลแห่งนี้ให้กับชายหนุ่มทั้งสองได้รู้เพราะความลับยิ่งรู้น้อยก็ยิ่งดี หากว่าปล่อยให้มีผู้รู้วิธีเข้าล่ะก็ วันข้างหน้าอาจจะมีนักศึกษาที่ได้เปรียบในการเข้าค่ายกลนี้ก็เป็นได้
ไต้เส้าจวินลอบสังเกตกิริยาท่าทางของหวังต้าจิ้งโดยละเอียด เขาใคร่รู้ว่าวิธีการออกจากค่ายกลแห่งนี้จะทำเช่นใด? ในเมื่ออาจารย์ใหญ่หวังไม่ยอม ปริปากชายหนุ่มก็อาศัยแอบจดจำโดยไม่เอ่ยถามเช่นกัน
“เหยี่ยวตัวนั้นนำทางพวกเราไปหาเด็กๆ หรือขอรับ?”
“ใช่! มันเข้ามาสำรวจในนี้แล้วรอบหนึ่ง”
จงกว้านซีมัวแต่สนใจมองเหยี่ยวจึงไม่รู้ว่าเส้นทางที่ตนเองเดินตามหลังอาจารย์ใหญ่หวังนั้นไม่ได้เป็นทางแยกที่เป็นทางเลือกที่มองเห็นกันทั่วไป หวังต้าจิ้งสามารถสร้างทางเดินตรงไปยังจุดที่เด็กทั้งสี่กำลังเดินอยู่
ชิงเว่ยเว่ยมองดูทางแยกทั้งหกข้างหน้าแล้วก็สังเกตเห็นว่า หนึ่งในนั้นปรากฏรอยบากสองขีดที่ซิวอี้เซิงทำไว้
“นั่นๆ ทางแยกที่หกปรากฏสัญลักษณ์แล้ว”
“ฮ้า! วิธีนี้ก็นับว่าได้ผลอยู่นะ” ซิวอี้เซิงเอ่ยอย่างตื่นเต้น รู้สึกดีใจที่วิธีของตนเริ่มเห็นผล
“หัวหน้าซิว เจ้าเก่งจริงๆ สมแล้วที่เป็นหัวหน้าฉีหลินของพวกเรา” ฉีเหยียนเอ่ยชื่นชมทั้งยกเริ่มยกมือขึ้นปาดเหงื่อ “นี่พวกเราใกล้จะได้ออกไปจากป่าหรือยัง? เหงื่อข้าเริ่มออกแล้ว เกรงว่าอีกไม่นานผื่นแดงจะขึ้นทั่วตัวแล้วข้าจะคันจนแทบทนไม่ไหว”
“เจ้าไม่พกยาแก้ไว้กับตัวบ้างเลยหรือ?”
“ยาแก้อยู่กับจิงหานน่ะสิ! โดยปกติข้าก็ไม่ค่อยมีอาการนี้”
“ตกลงจิงหานนี่เป็นสาวใช้ประจำตัวหรือพี่สาวเจ้ากันแน่? เหตุใดนางจึงจัดการทุกเรื่องเกี่ยวกับเจ้าได้ดีนัก”
“อืม....หากไม่มีจิงหานล่ะก็ เห็นทีชีวิตข้าคงลำบากไม่น้อย” ฉีเหยียนรู้สึกวางใจในตัวสาวใช้ประจำตัวยิ่งนัก
ซิวลู่ฉิงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “จวนจะมืดค่ำแล้ว ป่านนี้คนของพวกเราคงจะเริ่มขึ้นมาตามหาพวกเราแล้ว ดีนะที่เราห่ออาหารกับน้ำมาด้วย ไม่เช่นนั้นข้าก็คงไม่มีแรงเดินแล้วล่ะ”
“แย่แล้ว! น้ำกำลังจะหมด” ซิวอี้เซิงคลำถุงหนังใส่น้ำแล้วหันมามองสหาย “เราแบ่งกันกินได้อีกคนละอึกเท่านั้น คงต้องเร่งฝีเท้ากันหน่อยแล้ว”
“กับข้าก็เหลือพอได้อีกคนละอึกเหมือนกัน” ฉีเหยียนล้วงเอาถุงหนังใส่น้ำในห่อผ้าของตนออกมาให้ทุกคนดู
“เจ้าว่าในป่านี้จะมีแหล่งน้ำบ้างหรือไม่?” ซิวลู่ฉิงหันไปถามชิงเว่ยเว่ย
ยังไม่ทันทีชิงเว่ยเว่ยจะตอบคำถามนั้น เสียงแหลมปรี๊ดของเหยี่ยวก็ดังขึ้นที่ปลายไม้ พวกเขาหันขวับไปมองพรอมกัน
“เหยี่ยวระวังภัย! มันคงคิดจะช่วยพวกเราแน่ๆ” ซิวลู่ฉิงผู้เชื่อในนิยายที่ตนอ่านรีบชี้ให้สหายดูเหยี่ยวสีเทาดำตัวใหญ่ที่เกาะอยู่ปลายกิ่งไม้สูงลิบ เบื้องหน้า
“มันบินเข้าออกค่ายกลแห่งนี้ได้ หากว่าเรารอให้มันนำทางล่ะก็ น่าจะออกไปชายป่าได้ในไม่ช้า” ชิงเว่ยเว่ยมองเหยี่ยวตัวนั้นอย่างมีความหวัง ทว่ามันกลับเกาะกิ่งไม้นิ่ง
“อ้าว! ทำไมมันไม่บินแล้วล่ะ?” ฉีเหยียนที่ผื่นแดงเริ่มขึ้นตามไรผมเอ่ยขึ้นอย่างท้อแท้ “ข้าเริ่มคันแล้วนะ”
ซิวอี้เซิงเห็นท่าทางของฉีเหยียนกับน้องสาวตนเองดูเหมือนจะเริ่มเดินไม่ไหวจึงได้บอกให้ทุกคนนั่งพักเสียก่อน เหยี่ยวตัวนั้นยังคงอ้าปากร้องอีกสองครั้ง ไม่นานนักบุรุษร่างใหญ่ก็ทะยานมายืนอยู่ตรงหน้า
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
“พวกเจ้าอยู่นี่เอง! เจอตัวเสียที!”
“อาจารย์ใหญ่หวัง!” เด็กทั้งสี่ผุดลุกขึ้นด้วยความตื่นเต้น จึงมิได้มองเห็นว่ายังมีชายหนุ่มอีกสองคนยืนอยู่ข้างหลังชายชรา
“ไม่นึกว่าพวกเจ้าจะขวัญกล้าถึงขนาดเข้ามาในป่าไข่มังกรกันเอง” ไต้เส้าจวินเดินมายืนข้างๆ กวาดตามองเด็กทั้งสี่ทีละคน “นี่หากว่าอาจารย์ใหญ่หวังไม่อยู่ล่ะก็ ข้าเองก็จนปัญญาจะช่วยพวกเจ้าออกไปได้”
เหยี่ยวตัวนั้นร้องออกมาอีกครั้งหนึ่ง เด็กทั้งสี่เงยหน้าขึ้นมอง ซิวลู่ฉิงหัน กลับมามองหน้าอาจารย์ใหญ่หวังอีกครั้งหนึ่ง “อาจารย์ใหญ่หวังเจ้าคะ นั่นคือเหยี่ยวระวังภัยใช่หรือไม่?”
หวังต้าจิ้งที่กำลังคิดจะดุเด็กน้อยทั้งสี่อดจะยิ้มเล็กน้อยไม่ได้ เด็กหญิง ผู้นี้นับว่าฉลาดนัก นางรู้ด้วยว่าเจ้าสายฟ้าตัวนี้คือเหยี่ยวระวังภัยของเขา
“ใช่! เจ้ารู้ด้วยหรือ?”
“เจ้าค่ะ ข้าคิดว่ามันคงไปแจ้งข่าวให้คนอื่นเข้ามาช่วยพวกข้า เมื่อครู่พวกข้ากำลังรอให้มันนำทางออกจากป่านี้”
***********************************