บทที่ 3 กลุ่มฉีหลิน

1365 คำ
“เจ้าพูดจริงหรือ? ไหนข้าดูหน่อยซิ!” ชิงเว่ยเว่ยหยิบกระดาษที่ได้รับแจกเมื่อเช้าออกมาชี้ให้ซิวอี้เซิงดู “นี่ๆ เจ้าก็ได้รับแจกเหมือนกัน เหตุใดจึงไม่อ่าน?” “จริงด้วย! ถ้าเช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะตั้งใจเรียนเต็มที่” เด็กชายตัวป้อมยิ้มอย่างร่าเริง หมายมั่นปั้นมือว่าพรุ่งนี้ตนจะแสดงฝีมือให้เต็มที่ “เจ้าสนุกแต่ข้าไม่ถนัดน่ะสิ!” ฉีเหยียนผู้เป็นหนอนหนังสือร่างกายบอบบางบ่นอุบ แค่วิชามวยที่ท่านพ่อให้คนมาสอนเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงเขาก็เบื่อหน่ายจะแย่อยู่แล้ว นี่ยังต้องมาฝึกที่เค่อเฉิงอีก “เราต้องเรียนวิชาต่อสู้ด้วยหรือ?” ซิวลู่ฉิงทำตาปริบๆ นางก็เหมือนกับ ฉีเหยียนที่ไม่ชอบการออกกำลัง แต่หากพูดเรื่องกิน ซิวลู่ฉิงคิดว่าตนเองน่าจะทำได้ดีกว่า “ที่นี่ต้องการให้พวกเราเป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถและความคล่องแคล่ว ดังนั้นจึงได้สั่งสอนสรรพวิชา รวมทั้งการฝึกฝนให้รู้จักการต่อสู้ อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็ควรป้องกันตนเองเป็น” “แต่ในห้าแคว้นไม่มีผู้ใดคิดจะทำศึกกันแล้วนี่?” “ก็จริงที่ว่ามีสัญญาสงบศึกระหว่างแคว้น ทว่าเจ้าไม่คิดจะเรียนรู้การป้องกันตนเองเลยหรือ? หากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นในชีวิตเราจะหวังให้ผู้อื่นมาช่วยเราแต่เพียงฝ่ายเดียวไม่ได้” พูดจบชิงเว่ยเว่ยหน้าซีดเผือดเมื่อนึกถึงอุบัติเหตุครั้งใหญ่ในชีวิตที่ทำให้นางต้องเข้ามาอยู่ในร่างของเด็กหญิง ความทรงจำอันแสนน่าหวาดกลัวทั้งของเยว่หยวนจุนและชิงเว่ยเว่ยล้วนถูกฝังอยู่ในตัวนาง ร่างกายที่แข็งทื่อเมื่อนึกถึงความโหดร้ายทั้งสองครั้งทำให้ซิวลู่ฉิงตกใจ “เว่ยเว่ย! เจ้าเป็นอะไรไป?” มือกลมป้อมของเด็กหญิงเขย่าไหล่ของสหายด้วยความเป็นห่วง “ขะ ข้า....” ชิงเว่ยเว่ยหันมามองซิวลู่ฉิงช้าๆ “ข้าไม่เป็นไร” “เจ้าหน้าซีดขนาดนี้ยังจะบอกว่าไม่เป็นไรอีก?” ซิวอี้เซิงเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง “ให้ข้าเรียนท่านอาจารย์ดีหรือไม่?” “มะ ไม่ต้อง เดี๋ยวข้าก็คงดีขึ้น” ฉีเหยียนเปิดกระเป๋าสะพายหลังหยิบเอาตลับยาลมออกมายื่นให้ “เจ้าดมยานี่ก่อนสิ ท่านแม่เตรียมให้ข้าบอกว่าเผื่อรู้สึกวิงเวียนจะทำให้รู้สึกดีขึ้น” “เจ้าวิงเวียนบ่อยหรือ?” “อืม...บางทีข้าก็กินข้าวน้อยเกินไปเพราะมัวแต่อ่านหนังสือ ได้ยาแก้วิงเวียนนี่ล่ะทำให้ไม่เป็นลมไปเสียก่อน” ฉีเหยียนสารภาพหน้าแห้งๆ ซิวลู่ฉิงรับไปให้ชิงเว่ยเว่ยสูดดม เมื่อเห็นสีหน้าของนางดีขึ้นก็ค่อยส่งคืนให้ฉีเหยียน ชิงเว่ยเว่ยกล่าวขอบคุณเด็กชาย ฉีเหยียนยิ้มกว้าง “ไม่เป็นไร พวกเราเป็นสหายกันนี่” ชิงเว่ยเว่ยรู้สึกตื้นตัน นางไม่เคยคิดเลยว่าจะมีสหายทั้งชายและหญิง แม้ว่าพวกเขาจะเป็นแค่เด็กอายุสิบเอ็ดสิบสองก็เถอะ แม้จะยังไม่ค่อยชินกับการอยู่ในร่างนี้นัก แต่นางก็ไม่อาจจะกลับไปที่ร่างเดิมได้แล้ว ชิงเว่ยเว่ยหันไปมองเด็กทั้งสามคนที่รุมล้อมตนเองอยู่ “ข้าดีใจจริงๆ ที่มีพวกเจ้าเป็นสหาย” “ถ้าเช่นนั้น พวกเราควรจะมีชื่อกลุ่มนะ” “เอ๋? ชื่อกลุ่มหรือ?” “เราสี่คนต่อไปต้องเป็นเพื่อนสนิทกัน ต้องมีชื่อกลุ่มเพื่อแสดงถึงมิตรภาพอันแน่นแฟ้นน่ะสิ” ซิวอี้เซิงได้โอกาสรีบไล่ถามวันเดือนปีเกิด “เอาล่ะ! ในฐานะที่ข้าเกิดก่อนทุกคน ข้าจึงสมควรเป็นหัวหน้าและฉีเหยียนเป็นรองหัวหน้า ส่วนพวกเจ้าสองคนก็เป็นสมาชิกธรรมดาก็แล้วกัน” ซิวลู่ฉิงกับชิงเว่ยเว่ยหันไปสบตากัน ทว่าซิวอี้เซิงไม่รอช้ารีบเสนอชื่อกลุ่มในทันที “ต่อไปพวกเราจะใช้ชื่อว่า...ฉีหลิน*” “อืม...นับว่าเป็นสัตว์มงคล ข้าชอบชื่อนี้มีชื่อขึ้นต้นเหมือนข้าเสียด้วย ฉีหลินกับฉีเหยียน” “ในเมื่อข้ากับรองหัวหน้าเห็นพ้องต้องกัน กลุ่มพวกเราก็ชื่อฉีหลินก็แล้วกันนะ” ซิวอี้เซิงกล่าวสรุปโดยไม่ให้เด็กหญิงทั้งสองได้อ้าปากแสดงความคิดเห็น ชิงเว่ยเว่ยกำลังจะเอ่ยปากวิเคราะห์เรื่องชื่อกลุ่ม ทว่าอาจารย์จงกลับตบโต๊ะเรียกให้พวกเขาเข้าสู่บทเรียน “พวกเจ้าทุกคนเริ่มเรียนรู้เรื่องส่วนประกอบของพิณกันได้แล้ว เมื่อรู้จักส่วนประกอบเรียบร้อยจึงได้เริ่มต้นเรียนรู้การดีดพิณให้ถูกวิธี เพื่อให้ทุกคนเรียนรู้ได้เร็วขึ้น ครั้งหน้าจะให้ศิษย์พี่จากฝั่งโน้นมาช่วยฝึกฝนพวกเจ้าด้วย” ชิงเว่ยเว่ยรู้สึกตื่นเต้น นางใคร่จะได้เห็นรุ่นราวคราวเดียวกันบ้าง ฝั่งโน้นที่อาจารย์จงพูดถึงก็คือคนช่วงอายุสิบห้าปีไปขึ้นไปที่ร่ำเรียนอยู่ที่นี่ “อาจารย์ไต้กับข้า ความจริงก็เป็นศิษย์พี่ของพวกเจ้าเช่นกัน พวกเราสองคนก็จบจากที่นี่เพียงแต่แยกย้ายกันไปทำงานที่อื่น ภายหลังจึงกลับมาเป็นอาจารย์” ชิงเว่ยเว่ยมองดูใบหน้าเคร่งขรึมของไต้เส้าจวินแล้วนึกประเมินอายุของชายหนุ่มในใจ จะว่าไปเขาก็น่าจะอายุมากกว่านางไม่กี่ปี แต่เหตุใดจึงทำตัวคล้ายบุรุษวัยกลางคนนัก? ผิดกับจงกว้านซีอาจารย์สอนพิณที่ยิ้มแย้มแจ่มใสร่าเริงอยู่เป็นนิจ เมื่ออาจารย์เริ่มสอนโดยให้ทุกคนดูภาพวาดส่วนประกอบของพิณและอธิบายทีละส่วนอย่างละเอียด เด็กทั้งห้องก็เงียบกริบตั้งใจฟังสิ่งที่อาจารย์สอนเป็นอย่างดี เมื่อคาบเรียนนั้นจบลงก็เป็นยามบ่ายที่ต้องแยกย้ายกันกลับบ้าน รถม้าของแต่ละครอบครัวก็มาจอดออกันหน้าประตูใหญ่ “เพราะเหตุใดฝั่งของเราจึงมีรถม้ามากกว่าฝั่งศิษย์พี่ล่ะ?” ชิงเว่ยเว่ยหันไปมองตามนิ้วของซิวลู่ฉิงก็เห็นจริงอย่างที่นางบอก “พวกเราเป็นเด็กต้องกลับบ้านตรงเวลาตามที่ผู้ใหญ่กำกับ ส่วนศิษย์พี่โตกันหมดแล้ว พวกเขาก็อาจจะไปเดินเที่ยวก่อนกลับได้ตามสบายน่ะสิ พี่สาวของข้าทำงานอยู่ที่สำนักข่าวนกกระจิบ ข้าเคยไปด้วยหลายหน เห็นบัณฑิตจาก เค่อเฉิงนิยมไปนั่งสนทนาพูดคุยเรื่องข่าวและเหตุบ้านการเมืองที่นั่น” “อ๋า! เจ้าพูดจริงหรือ? คราวหน้าพวกเราไปเล่นที่โรงน้ำชานกกระจิบกับพี่สาวเจ้าได้หรือไม่?” ซิวลู่ฉิงที่ชอบอ่านนิยายสืบสวนสอบสวนและอ่านหมายเหตุข่าวของสำนักข่าวนกกระจิบรีบจับแขนสหายไว้ในทันที “ให้ข้ากลับไปแจ้งท่านพี่ของข้าก่อน เดี๋ยวจะบอกเจ้าก็แล้วกัน” ซิวอี้เซิงที่ยืนอยู่ข้างๆ น้องสาวก็รีบเอ่ยฝากฝังชิงเว่ยเว่ยในทันที “เว่ยเว่ย เจ้าทำให้สำเร็จนะ กลุ่มฉีหลินของเราจะต้องเป็นผู้ผดุงคุณธรรมและช่วยเหลือบ้านเมืองในอนาคต” ชิงเว่ยเว่ยขมวดคิ้ว “เกี่ยวอะไรกับการไปโรงน้ำชานกกระจิบหรือ?” “ข้าได้ยินมาว่าที่นั่นคือสำนักข่าวลับที่ทางการมักจะมาขอให้ช่วยสืบข่าวสำคัญ คนที่ทำงานให้กับสำนักข่าวนกกระจิบส่วนใหญ่คือจอมยุทธ์ที่ไม่เปิดเผยตัวตน หากพวกเราไปที่นั่นก็ควรจะไปสมัครเป็นนักสืบของสำนักข่าวนกกระจิบด้วยน่ะสิ” “อี้เซิง ไหนว่าเจ้าอยากเป็นแม่ทัพ? แล้วจะไปสมัครเป็นนักสืบทำไมกัน?” “เจ้าไม่รู้อะไรเสียเลย? ต่อให้ข้าเป็นแม่ทัพ การข่าวก็เป็นเรื่องสำคัญอยู่ดี ในเมื่อยามนี้ยังเป็นทหารไม่ได้ ข้าก็ควรฝึกการหาข่าวในทางลับเสียก่อนน่ะสิ!” ********************************** *ฉีหลิน หรือกิเลน เป็นสัตว์มงคลในตำนานจีนหากปรากฏตัวที่ใดจะเกิดเรื่องดีขึ้น ลักษณะเหมือนกวาง หัวคล้ายกับม้าหรือสิงโต คล่องแคล่วว่องไว อ่อนโยนและขี้อาย มีกำลังมาก
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม