“เอ๊ะ ก็เขามีงานมีการที่ต้องทำ”
พริมพริสาอ้าปากค้างเมื่อเห็นว่าแม่ของเธอเข้าข้างว่าที่ลูกเขยจนออกนอกหน้าเสียแล้วทำเอาเธอหมดคำพูดไปโดยปริยาย
“ค่า ๆ”
สุดท้ายชุดที่เลือกได้คือชุดเจ้าสาวตามแบบนิยม พริมพริสาไม่ชอบเกาะอกเพราะหน้าอกอันน้อยนิดของตนอาจจะทำให้ชุดหลุดลงกลางทาง หญิงสาวจึงเลือกชุดที่ค่อนข้างจะมิดชิดแทน ช่วงบนปาดไหล่พร้อมปักลูกไม้ยาวไปถึงข้อมือ เข้ากระโปรงฟูฟ่องเลยเข่าลงมานิดหน่อย และปักระบายดอกไม้สีครีม เรียกได้ว่าเป็นชุดที่เหมาะกับเจ้าสาววัยสิบแปดเสียเหลือเกิน (ประชด) แต่จะเหมาะสมกับเจ้าบ่าวหรือไม่นั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งคนอย่างพริมพริสาก็หาได้สนใจแต่อย่างใด ในเมื่อวันนี้เขาไม่ได้มาเลือกเอง ชุดจะเข้ากันไหมก็ช่าง สุดท้ายก็คงใส่แค่ทักซิโด้อยู่ดี เกิดเป็นผู้ชายจับใส่อะไรง่ายไปหมด น่าอิจฉาชะมัด
“คุณวรันยาคะ มีแขกมาขอพบค่ะ” พนักงานสาวเอ่ยเรียกหลังม่านห้องลองชุด
“เดี๋ยวฉันออกไปจ้ะ” วรันยาเหลียวหลังตอบ ก่อนหันมามองลูกสาวที่กำลังเปลี่ยนชุดกลับ “เสร็จแล้วตามแม่ออกไปนะ”
ใบหน้าหวานพยักรับ “ค่ะแม่”
“เป็นเพราะความประสงค์ของพวกท่านที่จะแต่งงาน ให้ประสานมือขวา และประกาศความยินยอมของพวกท่านต่อหน้าพระองค์ และศาสนิกชนของพระองค์” น้ำเสียงนุ่มทุ้มอ่อนโยนของบาทหลวงผู้ประกอบพิธีเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบและความศักดิ์สิทธิ์ของพิธีตรงหน้า
คู่บ่าวสาวปฏิบัติตามที่บาทหลวงกล่าว ก่อนจะประสานสายตากัน อีกคนนิ่งเรียบสนิทไม่ต่างจากรูปปั้นหินไร้ชีวิต ในขณะที่อีกคนค่อนข้างปลงกับชีวิตที่ต้องโบกมือลาช่วงชีวิตในฝัน
“ผม จักรภัทร ขอรับคุณพริมพริสา เป็นภรรยาของผม ผมสัญญาว่าจะซื่อสัตย์ต่อคุณทั้งในยามสุขและยามยาก ในยามไข้และสบายดี ผมจะรักคุณและให้เกียรติคุณตลอดชั่วชีวิต” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเรียบพอเป็นพิธี เหมือนกับใบหน้าที่ไม่ได้ดำดิ่งหรือหวานซึ้งในคำสาบานเลยแม้แต่น้อย
“ฉัน พริมพริสา ขอรับคุณจักรภัทรเป็นสามี ฉันสัญญาว่าจะซื่อสัตย์ต่อคุณทั้งในยามสุขและยามยาก ในยามไข้และสบายดี ฉันจะรักคุณและให้เกียรติคุณตลอด...ชั่วชีวิต...” เสียงใสเอ่ยคำสาบานตาม เธอรู้สึกราวกับอยู่ในมนต์สะกดของพิธีศักดิ์สิทธิ์นี้ แต่คนตรงหน้ากลับทำลายบรรยากาศของเธอจนหมดสิ้นด้วยสีหน้านิ่งเฉยจนน่าหมั่นไส้ ก็อย่างว่าคนแก่แล้วจะไปเข้าใจอะไรกับวัยรุ่นอย่างเธอที่ต้องสละชีวิตโสดตั้งแต่อายุสิบแปด ถึงแม้ว่าเจ้าบ่าวจะเป็นถึงผู้บริหารระดับสูง แต่เขาก็แก่ว่าเธอตั้งหนึ่งเท่า ช่องว่างระหว่างอายุมีมากขนาดนี้ ทำอย่างไรก็คงเข้ากันไม่ได้อยู่ดี เสมือนน้ำกับน้ำมันมากกว่ากิ่งทองกับใบหยกอย่างที่ผู้ใหญ่เขาว่าเสียอีก
พริมพริสาเผลอใจลอยคิดนู่นคิดนี่ไปเรื่อยระหว่างทำพิธี ก่อนที่ร่างน้อยจะสะดุ้งสุดตัวเมื่ออยู่ ๆ มือเรียวยาวก็โอบรัดเอวเธอเข้าประชิดอย่างไม่บอกไม่กล่าว เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่าใบหน้าหล่อเหลาของเขาอยู่ใกล้แค่คืบ!
อย่าบอกนะว่าจะจูบสาบาน!
ไม่ทันที่จะได้อ้าปากปฏิเสธ ริมฝีปากของคนตรงหน้าก็เข้ามาประกบอย่างมาทันที พริมพริสาวางตัวไม่ถูก ทำได้เพียงหลับตาแน่น หัวใจดวงน้อยกระตุกเต้นรัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น แม้ว่าจะเป็นแค่จูบตามพิธี แต่เธอกลับรู้สึกหวิวแปลก ๆ ในใจ ทั้งที่มันไม่ได้เร่าร้อนหรือรุนแรงแบบที่เห็นในหนังฝรั่ง แต่เป็นแค่การทาบทับง่าย ๆ เพียงไม่กี่วินาทีเจ้าของจูบแรกของเธอนั้นก็ถอยออกไป สาบานได้ว่านี่จะเป็นจูบแรกและจูบสุดท้ายที่เธอจะมอบให้เขา มันก็ดีอยู่หรอกนะที่จูบแรกของเธอเป็นคนที่เพิ่งกลายเป็นสามีหมาด ๆ แต่เธอกลับรู้สึกไม่ดีสักเท่าไหร่ตรงที่เขากับเธอ เราไม่ได้รักกันอย่างคำสาบานที่กล่าวเอาไว้
หลังจากเสร็จพิธีทางศาสนาก็ถึงเวลากินเลี้ยงของแขกเหรื่อมากมายที่ถูกเชิญมาทั้งฝ่ายเจ้าบ่าวและฝ่ายเจ้าสาว ซึ่งเธอก็ต้องมาทำหน้าที่ต้อนรับแขกด้วยการฉีกยิ้มจนแทบจะถึงรูหู และการพูดขอบคุณที่มางานแต่งงานของเธอเป็นพัน ๆ ครั้งเห็นจะได้ แต่เธอกลับรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมสักเท่าไหร่ในเมื่อเจ้าบ่าวของเธอกลับไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อยเลยสักนิด เขาสามารถปั้นยิ้มใส่หน้ากากเข้าหาผู้อื่นได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะกับนักธุรกิจชั้นแนวหน้าทั้งหลายที่เธอเคยเห็นในหน้าหนังสือพิมพ์ไฮโซบ่อย ๆ เขาทำหน้าที่ได้ดีจนเธออดทึ่งในความสามารถของเขาไม่ได้ ตลอดชีวิตของเขาหน้าที่การงานคงสำคัญที่สุดในชีวิตแล้วล่ะมั้ง และการแต่งงานของเธอกับเขาก็เป็นแค่ละครฉากหนึ่งที่มีผลประโยชน์ต่อกันในด้านธุรกิจ ถ้าเป็นเจ้าสาวคนอื่นอาจจะกลุ้มใจไม่น้อย เมื่องานแต่งงานของพวกเธอเต็มไปด้วยเงื่อนไขทางธุรกิจ แต่เธอกลับรู้สึกเฉยชากับมันมากจนรู้สึกว่ามันก็แค่หน้าที่หนึ่งเสมือนการเรียนหนังสือ อาจจะเป็นเพราะว่าเธอเพิ่งจะสิบแปด ต่อให้ต้องหย่าในอีกสองปีข้างหน้าเธอก็จะสามารถแต่งงานใหม่ได้กับผู้ชายที่รักเธอจริง ๆ ได้ แต่กว่าจะถึงตอนนั้น คงต้องเอาตัวเองในตอนนี้ให้รอดเสียก่อน