SHUT DOWN :: CHAPTER 2 [100%]

1140 คำ
“...” “อย่ามองว่าม่านเด็กจนไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำคืออะไร ม่านรู้ เพราะม่านรู้ไงม่านถึงได้ทำ!” ม่านฟ้ามองค้อนผมก่อนจะคว้ากระเป๋ามาสะพายแล้วเดินสวนผมออกไปจากห้อง แต่ไม่วายก็หันมามองผมอีก “ม่านจะพังกำแพงบ้าๆ ของพี่ลงให้ได้เลย คอยดูสิ!” “อย่าฝันนักเลย” พูดขัดออกไปจนเธอหยุดชะงัก “มันไม่มีวันนั้น ที่ฉันจะรู้สึกอะไรกับเธอ” “...” “ไม่ว่าเธอหรือใคร ก็ไม่มีวันได้มันไปจากฉัน ต่อให้เธอพยายาม... เพราะงั้นไม่อยากเสียใจ หยุดซะม่านฟ้า ฉันถือว่าฉันเตือนเธอแล้วนะ” ผมขู่เธอด้วยน้ำเสียงที่แข็งกระด้าง แต่ม่านฟ้าดื้อและหัวรั้นที่สุด ไม่รู้ว่าไปเอานิสัยแบบนี้มาจากไหน หรือเพราะนิสัยเธอคล้ายกับผมกัน นิสัยอยากเอาชนะ และผลสุดท้ายพอแพ้ มันเจ็บจนแทบจะปิดตัวเองเลยนะ “งั้นม่านก็เตือนพี่สงครามบ้าง” เธอมองผมตาขวาง เหมือนมองเห็นตัวเองเลยนิสัยเด็กๆ ที่ชอบการเอาชนะ “ระวังตัวเองไว้ก็ดี ถ้าเผลอไผลกับการกระทำของม่านเมื่อไหร่ ตอนนั้นพี่สงครามต่างหากที่จะแพ้ไม่ใช่ม่าน” “...” จิตใจของผู้ชายกับผู้หญิง มันต่างกันนะ เธอคงไม่รู้ “ม่านไม่ปล่อยพี่แน่นอน ม่านเลือกแล้ว ยังไงก็คือพี่สงคราม” “แต่ฉันไม่ได้เลือกเธอ” กอดอกตอบออกไปตามความจริง เธอคือคนที่ผมพูดได้เต็มปากเลยว่า ‘ต้องห้าม’ ทุกอย่างที่เธอกระทำ ต่อให้ผมหวั่นไหวก็แค่นั้น มันไม่ใช่การผูกมัดหรือความชอบพอ ผมเป็นผู้ชายนะ เข้าใกล้ผมมากเท่าไหร่ ถ้าผมทนไม่ได้จนเกิดทำพลาด... คนที่เสียใจคือเธอ ผมบอกแล้ว “ทำไม? เพราะอะไร เราเรียนรู้กันและกันไม่ได้เหรอคะ” น้ำเสียงเล็กแผ่วเบา แต่ผมกลับนิ่งเงียบ ตอนนั้นบอกกับทิศเหนือไว้ หมอนั่นมันคงรู้ดีว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น คงจะเห็นท่าทางของน้องสาวตัวเองถึงได้มาพูดกับผมให้ตระหนัก “ไม่ได้ เพราะฉันไม่คิดจริงจังกับใคร” “...” “สำคัญคือฉันไม่ได้ชอบเธอ” พอผมพูดออกไป ม่านฟ้าก็นิ่งเงียบ แต่ผมรู้ดีเด็กอย่างม่านฟ้าไม่มีทางยอมแพ้อะไรง่ายๆ และผมเองก็ต้องตั้งรับให้ดี กำแพงที่สร้างตอนนี้ต้องสร้างให้หนาแน่นขึ้นไปอีก แววตากลมโตที่มองผม มันคือแววตาของการเอาชนะ ยังไงเธอก็ต้องไม่ยอมแพ้จนกว่าจะได้ทำมันเต็มที่ “สักวันพี่สงครามต้องรู้สึกกับม่านแบบนั้น” เธอยังคงไม่ยอม “ม่านจะไม่ยอมเสียพี่ไป พี่อยู่ในกำมือม่านแล้ว” “ม่านฟ้า” ผมเรียกรั้งเธอไว้เพราะเดินหนีผมไปทันที โดยไม่รอด้วยซ้ำ ให้ตายเหอะ! กูผิดอะไรวะเนี่ย คว้ากุญแจรถและวิ่งตรงออกจากห้องไป ลิฟต์เคลื่อนตัวลงไปอย่างรวดเร็วจนผมอดทนรอไม่ได้จำต้องวิ่งลงบันไดฉุกเฉินไป เพราะว่าเธออยู่ในอารมณ์ท้าทายและนี่มันดึกมากแล้วด้วย ผมไม่ได้เลวถึงขนาดปล่อยเด็กผู้หญิงคนหนึ่งให้กลับบ้านคนเดียวหรอกนะ อันนั้นก็เหี้ยเกิน! เมื่อออกมาจากคอนโดก็เห็นร่างเล็กเดินกึ่งวิ่งออกไปไกลมาก ผมถอนหายใจปลดล็อกรถตัวเองและขับตามเลียบไปทางฟุตบาท และหักเลี้ยวดักม่านฟ้าไว้จนเธอหยุดชะงัก พอรู้ว่าเป็นผมเธอก็เดินหนีจนผมลงจากรถตรงไปคว้าต้นแขนเธอไว้จนเซซบอก “ปล่อยม่านนะ!” “ขึ้นรถ” ม่านฟ้าเบือนหน้าหนีผมและพยายามผลักมือผมออกจากต้นแขน “ไม่สนใจม่านไม่ใช่เหรอ แล้วจะให้ม่านไปด้วยทำไม ปล่อยม่านไปสิ” “คิดว่าประชดฉันแล้วมันจะมีอะไรดีขึ้นมาหรือไง?” ผมถามออกไปอย่างหงุดหงิด ใช่ ผมไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ด้วยซ้ำ แต่เพราะอะไรล่ะ... เธอเป็นใคร น้องสาวเพื่อนผม ถึงได้บอกไงต่อให้ตัวเองเลวแค่ไหนก็คงไม่เหี้ยถึงขนาดปล่อยให้เธอกลับบ้านคนเดียวทั้งที่มันดึกมากขนาดนี้ “พูดก่อนสิว่าเป็นห่วงม่าน” “ตลกหรือไง” “บอกก่อนสิว่าเป็นห่วงม่าน ถ้าบอกม่านจะยอมทำตามที่พี่สงครามพูด” ให้ตายเหอะ! ไม่เคยเป็นต่อใครมาก่อนเลยในชีวิต นี่มันอะไรกันวะเนี่ย รอยยิ้มและแววตาที่ชนะผมอยู่กลายๆ นี่มันอะไร “ไม่พูด งั้นปล่อยม่าน...” “เป็นห่วง ขึ้นรถ” พูดรัวๆ และขอไปที จนเห็นใบหน้าสวยหวานยิ้มกว้างเปลี่ยนเป็นจับมือผมพลางแนบใบหน้าซบกับท่อนแขน “ขอบคุณนะคะที่เป็นห่วงม่าน น่ารักจัง” ประสาทจริง! ให้กูพูดเอง ยังจะทำตื่นเต้น ม่านฟ้าขึ้นรถผมอย่างง่ายดายโดยไม่เถียงกับผมสักคำ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังโกรธเคืองผมอยู่เลยเรื่องที่ผลักไส ม่านฟ้าบอกทางไปบ้านของเธอ กระทั่งผมมาจอดรถที่หน้าบ้านหลังใหญ่ในซอยที่ค่อนข้างมืด แต่ทว่าป้ายชื่อที่ติดหน้าบ้าน ทำให้ผมเลิกกังวลเกี่ยวกับซอยบ้านของเธอไปเลย ‘บ้าน พ.ต.ท ทัศนัย วรรักษ์เมธีนนท์’ “เข้าบ้านได้แล้ว” เมื่อละสายตาจากป้ายหน้าบ้านก็มองร่างเล็กที่พยักหน้าอย่างยิ้มแย้ม “พี่สงครามขับรถกลับดีๆ นะคะ” พยักหน้าก่อนจะเข้าไปนั่งในรถ แต่ทว่าม่านฟ้ากลับเคาะกระจกรถทำให้ผมขมวดคิ้วอย่างมึนงง ลดกระจกลงกำลังจะถามออกไปว่าเธอต้องการอะไร แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น! ริมฝีปากแดงนูนกดจูบมายังริมฝีปากของผม แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ริมฝีปากที่แตะกันเบาๆ แต่กลับสร้างความตกใจให้ผมอย่างมากจนดันไหล่บอบบางออกและมองเธอด้วยสีหน้าพอใจ “พอค่ะ ม่านรู้ว่าพี่สงครามจะต่อว่าม่าน” “เธอมัน...” “ฝันดีนะคะ ฝันถึงม่านด้วยนะ” พูดรัวเร็วก็วิ่งอ้อมรถผมไปเปิดประตูเหล็กบานเล็ก ไม่วายหันมาโบกมือให้อย่างร่าเริง คำพูดที่จะต่อว่าเธอถูกกลืนหายไปทันทีเมื่อยกมือแตะริมฝีปากตัวเอง ก่อนจะทุบมือลงกับพวงมาลัยรถ ตุ้บ “ให้ตายเหอะ เธอนี่มันเหลือเกินจริงๆ นะม่านฟ้า!” โกรธ... แต่ทำไมมุมปากถึงได้ยกขึ้นไม่ยอมลงแบบนี้ล่ะ ไอ้คราม :: SONG-KRAAM TALK END ::
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม