ต่อให้เมาหรือไม่เมาเธอก็ยังคงเป็นคนที่นอนแล้วปลุกยากมาก ถอนหายใจแลมองซ้ายขวาซึ่งผมไม่รู้นะว่าเธอมานอนอยู่ที่หน้าห้องผมตั้งแต่ตอนไหน เพราะพอไดเรกไปหาเธอหลังจากได้รับข้อความผมก็รีบพาตัวเองออกจากคอนโด แต่ใครจะไปคิดว่าเธอจะนั่งรอผม
“ตื่นได้แล้ว” ยังคงปลุกเธออยู่แบบนั้น จนดวงตากลมโตค่อยๆ ลืมขึ้น พอเธอเห็นหน้าผมก็รีบขยับตัวยืนทันที
“มาแล้วเหรอคะ ม่านรอตั้งนาน”
“แล้วใครใช้ให้รอ?”
“ก็ม่านส่งข้อความไปบอกแล้วว่าจะรอ” มองเธอที่ก้มลงหยิบปิ่นโตขึ้นมาชูให้ผมดู “ทานข้าวกัน...”
จ๊อก~
เสียงท้องร้องทำเอาผมถึงกับผุดขำในใจ แต่ก็ตีหน้านิ่งไว้ซะก่อน เมื่อเห็นม่านฟ้าเอามือกุมท้องตัวเอง ผมหยิบคีย์การ์ดขึ้นมาเปิดประตูเข้าไปในห้อง ม่านฟ้าจึงเดินตามเข้ามาติดๆ โดยไม่ต้องบอกเธอรีบตรงเข้าครัว เพราะเธอเคยมาที่ห้องผมครั้งเดียวเท่านั้น แต่จำได้แม่นดีเหลือเกิน
“เธอมันตัวยุ่ง” พูดพลางปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีดำออกจนเหลือเพียงกางกงยีนเท่านั้นที่นุ่งอยู่ “เลิกซะเถอะ ความคิดของเธอในตอนนี้”
ม่านฟ้าไม่สนใจคำพูดของผมสักนิด เธอกลับเบ้ปากและบ่นอะไรพึมพำโดยที่ผมไม่ได้ยิน แต่กลับหยิบมือถือออกมาดู ซึ่งก็ถึงได้รู้ไงว่าม่านฟ้านั่งรอผมตั้งแต่เย็นจนถึงตอนนี้
“พี่สงคราม”
“อะไร?” เงยหน้าจากมือถือ ม่านฟ้าทำหน้าบูดและชูปิ่นโตขึ้น
“มันบูดแล้ว”
“น่าบูดไหมล่ะ มารอตั้งแต่เย็น นี่ก็ค่อนวันค่อนคืนแล้ว” ลุกขึ้นจากโซฟาไปหยิบถ้วยปิ่นโตแต่ละอันมาดมซึ่งส่งกลิ่นเหม็นจนผมเบ้หน้า “ทิ้งเลย กินไม่ได้เดี๋ยวท้องเสีย”
“ม่านอุตส่าห์ทำมาให้เพื่อตอบแทน ก็เพราะพี่สงครามนั่นแหละ หนีม่าน”
“โทษอะไร ฉันไม่ได้ต้องการสักหน่อยเธอจุ้นเอง” เทอาหารในปิ่นโตลงขยะจนหมดและโยนลงซิงค์ล้างจาน ก่อนจะเท้าเอวมองคนตัวเล็กที่ทำหน้าบูดจนแก้มป่อง
“จุ้นตรงไหน แบบม่านเรียกจุ้นหรอ จะมาก็บอกก่อนเสมอ พี่สงครามต่างหากไม่สนใจม่าน”
“ใช่ รู้ไว้ก็ดี จะได้เลิกทำตัวแบบนี้” เถียงเธอจนเหนื่อย ผมจึงหันหน้าเข้าตู้เย็น หยิบเอาของสดออกมาและยืดตัวขึ้นไปหยิบถ้วยบะหมี่มาสองถ้วยจากตู้ชั้นบน
ถึงยังไงก็เป็นห่วงอยู่ดี
“กินได้ไหม รสหมูต้มยำ” ม่านฟ้ายังคงทำหน้างอใส่ผม “ม่านฟ้า”
“ม่านกินได้ค่ะ” น้ำเสียงแผ่วเบา “ให้ม่านช่วยได้ไหม”
พยักหน้ารับจึงบอกให้เธอเอาผักที่มีไปล้าง และเอาไปหั่น ผมจึงหันไปตั้งน้ำและจัดการล้างเห็ด เนื้อหมู แต่พอหันไปมองคนตัวเล็กซึ่งล้างผักเสร็จแต่ดันหั่นผักแบบขอไปทีจนผมขมวดคิ้ว
“ทำเป็นหรือเปล่า?” ม่านฟ้ามองสบตากับผมพร้อมกับยิ้มแห้งๆ ผมจึงผละมือจากหั่นหมูไปยืนซ้อนด้านหลังและหยิบเอาก้านผักบุ้งที่ถูกหั่นยาวกว่าคืบขึ้นมาดู “แน่ใจว่าถ้ากินมันไป จะไม่ติดคอ”
“ม่านขอโทษ ก็ม่านหั่นผักไม่เป็น ทำเป็นแต่ไข่เจียว” เงยหน้าพร้อมกับยิ้มให้ จนผมถอนหายใจรดศีรษะเธอซึ่งมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของแชมพูดอกไม้อะไรสักอย่างที่ผมเดาไม่ออก แต่พอได้กลิ่นมันรู้สึกสดชื่นมาก
“จับมีดแบบนี้แล้วก็ค่อยๆ หั่นให้พอดีกับที่เรากิน...” โน้มตัวลงไปใกล้เธอ จับมือเล็กไว้มั่นและหั่นผักพร้อมคำอธิบาย “เข้าใจหรือเปล่า”
เมื่อหันกลับไปมอง ก็พบเพียงแค่ดวงตากลมโตที่จับจ้องผมอยู่ แก้มนวลแดงระเรื่อผมถึงรับรู้ได้ว่าตัวเองใกล้กับเธอมากเกินไปแล้ว จึงถอยออกห่างทันทีเพราะเสียงน้ำเดือด
“ขอบคุณค่ะ ม่านจะลองทำ”
“กินวันนี้นะ ไม่ใช่พรุ่งนี้” ว่าเสร็จก็หันไปจัดการในส่วนของตัวเอง จนในที่สุดบะหมี่ต้มก็ถูกจัดการด้วยฝีมือของเราสองคน ม่านฟ้ากินจนลืมไปมั้งว่าผมนั่งอยู่ด้วย แต่... ไม่ใช่หรอก ม่านฟ้าเคยมากินข้าวกับผม เธอไม่เคยเก็บความโก๊ะของตัวเองได้เลย ดูภายนอกเธอแข็งกระด้าง ดื้อหัวรั้น แต่เอาจริงเธอก็เป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่งที่เผยมุมมองด้านเด็กๆ ให้ผมได้เห็น
“เอ๋ อะไรเหรอคะ?” ม่านฟ้าเงยหน้าสบตากับผมที่ยื่นกล่องสีเขียวสีสันสดใส หน้ากล่องเขียนไว้ว่า ‘นมรสหวานกลิ่นวนิลา’ ให้เธอกินล้างปาก เพราะผมก็กินเหมือนกันแม้ว่าจะโตแล้วแต่ผมก็ชอบกินนมรสนี่ที่สุดแล้ว
“กินสิ จะได้แก้เผ็ดได้” เพราะดูจากริมฝีปากที่แดงก่ำก็พอจะรู้ว่าม่านฟ้าเผ็ดกับรสบะหมี่ถ้วยที่ผมทำ เห็นดื่มน้ำไปหลายแก้วด้วย ม่านฟ้ารับไปอย่างดีใจก่อนจะดูดนมในกล่องและจับจ้องดูทีวีตรงหน้า โดยที่ผมก็มองนาฬิกาที่ติดอยู่บนผนังไปด้วย “ดึกแล้ว ฉันจะไปส่งที่บ้าน”
“ม่าน...”
“ไม่มีแต่” พอผมพูด ม่านฟ้าก็ทำหน้าบูด “ถ้าไอ้เหนืออยู่ เธอจะไม่ได้มาอยู่ที่นี่แน่”
“พี่สงครามขี้ฟ้อง”
“ใช่ ฉันขี้ฟ้อง เพราะฉันไม่ชอบที่เธอมายุ่งวุ่นวาย...” ลุกขึ้นไปหยิบเสื้อเชิ้ตสีดำตัวเดิมมาสวมพลางจับจ้องร่างเล็กไปด้วย “เธอเองก็เลิกเล่นได้แล้ว ฉันไม่ใช่คนที่เธอจะมาเล่นด้วยนะ”
“ใครว่าม่านเล่น” เธอลุกขึ้นเถียงผม “ม่านไม่ได้เล่น จำไว้ด้วยว่าคนอย่างม่านฟ้าไม่เคยตามใคร และพี่สงครามคือคนแรกนะ”