บทที่ 7 อ้าว..มันมิใช่ฝันหรอกหรือ

1922 คำ
พอรู้ว่าจะได้เข้าเมืองหว่าหวาก็ไปขออนุญาตท่านพ่อและท่านย่าตามที่พี่ชายบอกแล้วก็เดินออกไปสมทบกับท่านอาและพี่ใหญ่ด้านหน้าประตูจวน.. “หว่าหวาไม่เห็นน้องเล็กเลยเจ้าค่ะ” นางอยากให้น้องเล็กไปด้วยจริงๆ นะ “วันนี้อาฮั่นจะอยู่ช่วยพ่อของพวกเจ้าทำโคลงหลังคาให้แปลงผักน่ะ” ท่านอาเป็นผู้ตอบและอย่าหวังเลยว่าจะได้ยินเสียงของพี่ใหญ่หากว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย “ถ้าเช่นนั้นอาาหวาขออยู่ช่วยท่านพ่อกับน้องเล็กดีกว่าเจ้าค่ะ” น้องเล็กก็ยังเด็กอยู่ท่านพ่อก็ขาไม่ดีจะทำกันไหวหรือนั่นนางเป็นห่วงจริงๆ “อย่ากังวลไปเลยอาหวาหลังจากที่เจ้าหายป่วยพี่ใหญ่ก็อยากให้เจ้าได้ไปเปิดหูเปิดตาบ้างตอนนี้ก็นับว่าแข็งแรงขึ้นมากแล้วไม่ใช่หรือ เจ้าคงจะลืมไปแล้วว่าเคยเข้าเมืองครั้งสุดท้ายเมื่อใดคงจะเจ็ดถึงแปดปีได้กระมัง เมืองเถียนก็นับว่าเป็นเมืองใหญ่รองลงมาจากเมืองหลวงเชียวนะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่น่าดูอยู่ไม่น้อย” “นี่อาหวาไม่ได้เข้าเมืองนานขนาดนั้นเลยหรือเจ้าคะ ข้าไม่เห็นจะจำได้เลย..คงจะเปลี่ยนแปลงไปมากเลยนะเจ้าคะท่านอา” เมื่อทั้งหมดเริ่มจะออกเดินทาง… “อาหวาเจ้าเข้าไปนั่งด้านในรถม้าเถอะจะมานั่งเบียดอากับเจ้าใหญ่ทำไมเจ้าไม่อึดอัดบ้างหรือ” หึๆ ทำไมนางถึงทำตัวน่ารักเช่นนี้นะช่างเป็นเด็กน้อยเสียจริง “ท่านอากับพี่ใหญ่อึดอัดหรือเจ้าคะ อาหวาไม่เห็นจะอึดอัดเลยเจ้าค่ะ” อบอุุ่นดีจะตาย “อีกอย่างอาหวาอยากจะเห็นถนนหนทางให้ชัดเจนเจ้าค่ะ” “อยู่ด้านในก็เห็นได้ หยุดรถม้าก่อนเจ้าใหญ่” ไท่หยุนบอกหลานสาวทั้งยังสั่งให้หลานชายหยุดรถม้า “ดูนี่นะอาจะทำให้ดู” พอรถม้าจอดสนิทท่านอาก็จัดการเปิดด้านข้างรอบๆ รถม้าขึ้นครึ่งหนึ่งส่วนด้านหน้าก็เปิดโล่งทั้งหมด อื้อหือ..อย่างกับรถเปิดประทุนแน่ะ เริ่ดสุดๆ สิ่งที่หว่าหวาชื่นชอบที่สุดของยุคนี้หรือที่นี่ก็คือเราไม่ต้องกลัวมลพิษใดๆ ทั้งสิ้น “เป็นอย่างไรเจ้าชอบแบบนี้หรือไม่ นี่เป็นฝีมือของพ่อเจ้าทั้งนั้นเลยนะ” “ชอบมากเจ้าค่ะ ถ้าเช่นนั้นอาหวาไม่นั่งเบียดพวกท่านแล้ว เดินทางต่อได้เลยเจ้าค่ะพี่ใหญ่” พอเดินทางได้ประมาณสองเค่อ หว่าหวาที่นั่งๆ นอนๆ อยู่บนรถม้ากำลังเคลิ้มหลับอยู่พอดีรถม้าก็ชะลอและหยุดลง “เอ๋..หยุดทำไมหรือเจ้าคะหรือว่าเราถึงเมืองแล้ว” “ยังไม่ถึงเมืองหรอกนะอาหวา อาแค่หยุดดูที่ดินเท่านั้น” “ที่อะไรเจ้าคะที่ดินตรงนี้นะหรือ ท่านอาจะซื้อที่หรือเจ้าคะ” “ไม่ใช่หรอก ที่ผืนนี้เป็นของเราแต่มันขายไม่ออกเอาไปฝากขายกับทางการก็ขายไม่ได้ ทุกคนบอกว่าที่มันไม่ดีทั้งแห้งแล้งและมีแต่หินใช้เพาะปลูกอะไรก็ไม่ได้เลยขายไม่ออกสักที เฮ้อ..ถ้าขายได้ก็คงจะดีไม่น้อย” ไท่หลางมองดูผืนดินที่ครอบครัวได้ครอบครองอยู่อย่างสุดแสนเสียดาย หากว่าขายที่ดินผืนนี้ได้ ครอบครัวของเขาก็คงจะได้หายใจหายคอโล่งขึ้นอีกเยอะ “ทั้งหมดนี่เลยหรือเจ้าคะท่านอา” ที่หว่าหวาประมาณดูคงเกือบจะร้อยหมู่เห็นจะได้ มันไม่น้อยเลยแต่ก็เป็นหินอย่างที่ท่านอาว่ามา หากคิดจะขายผืนดินนอกเมืองถ้าเอามาทำการเกษตรไม่ได้ก็คงจะขายยากสักหน่อย “อืม ทั้งหมดนี่แหละเป็นที่ดินของลูกค้าที่เอามาใช้จ่ายแทนเงินให้เราตอนทำงานคุ้มกันสินค้าน่ะ” “มิน่าล่ะเขาถึงกล้าให้เยอะขนาดนี้ที่แท้ที่ดินผืนนี้มันขายไม่ออกนี่เอง แล้วทางแยกเหล่านี้ไปไหนบ้างเจ้าคะท่านอา” ทางแยกที่นางถามท่านอามันเป็นสี่แยกใหญ่ ที่ดินของอาหวาอยู่หัวมุมถ้ามาจากจวนของเรามันจะอยู่หัวมุมฝั่งซ้ายมือพอดี นับว่าเป็นทำเลที่ดีที่หนึ่งเลยทีเดียวตามความคิดของนางนะ… “ถนนฝั่งซ้ายไปยังเมืองหลวงถัวหลงฝั่งขวาไปยังเมืองลั่ว และตรงไปก็คือเมืองเถียนของเราอย่างไรเล่า ผู้คนจากหลายๆ หมู่ บ้านจะไปค้าขายหรือจับจ่ายหาซื้อของใช้ก็ผ่านเส้นทางนี้ทั้งนั้น เจ้าเห็นผู้คนที่ผ่านไปมานั่นหรือไม่ พวกเขาก็มาจากหมู่บ้านอื่นที่อยู่ไกลกว่าเรามากนัก กว่าจะถึงเมืองก็คงจะเป็นยามซื่อเข้าไปแล้วถ้าเราทำสิ่งใดกับผืนดินผืนนี้ได้ก็คงจะดีไม่น้อย” ฮึม..ท่านอาเจ้าขาไม่ต้องกังวลไปอาหวาคิดออกแล้วล่ะว่าจะเอาที่ดินผืนนี้ไปทำอะไร ตลาดนัดของอาหวาอยู่แค่เอื้อมแล้ว หึๆ [ยามซื่อ 09.00-10.59 น.] “เจ้าคิดสิ่งใดอยู่หรืออาหวาช่างทำหน้าตาประหลาดนัก” ไท่หลางทักน้องสาวเมื่อเห็นนางทำหน้าตาบิดเบี้ยวไปมาอยู่อย่างนั้นช่างประหลาดนัก ก็ตั้งแต่นางฟื้นขึ้นมานางก็เป็นแบบนี้ตลอดหาความเป็นสตรีที่เรียบร้อยไม่มีเลยสักนิด ‘ชะอุ้ย! อาหวาตกใจหมด’ “อ้าวพี่ใหญ่นี่ท่านก็มาด้วยหรือเนี่ยข้าแค่คิดอะไรบางอย่างเท่านั้นเราเข้าเมืองกันเถอะเจ้าค่ะเมื่อเช้าอาหวารีบเลยหยิบเอาซาลาเปาแค่ลูกเดียวเองเริ่มจะหิวแล้วนะเจ้าคะ พี่ใหญ่ไวๆ เลยเจ้าค่ะ” หว่าหวาแซวพี่ชายแก้เขินแล้วก็เร่งพี่ชายให้รีบพาเข้าเมืองไวๆ “อืม..ถึงโน่นคงได้ทานมื้อกลางวันพอดี” หนึ่งชั่วยามต่อมา ที่หน้าประตูเมือง… “คนเยอะเหมือนกันนะเจ้าคะ แล้วเราต้องจ่ายค่าผ่านทางหรือไม่” “ต้องจ่ายสิเพียงคนละสามอีแปะก็เข้าได้แล้วล่ะ เข้าเมืองแล้วให้ระวังถุงเงินของเจ้าด้วยเข้าใจหรือไม่อาหวา” “อาหวาได้ยินและเข้าใจแล้วเจ้าค่ะท่านอา” ถุงเงินก็ผูกติดกับเอวขนาดนี้จะต้องระวังอะไรอีกเล่าท่านอาก็ “เราเอารถม้าไปฝากไว้ก่อนแล้วค่อยไปร้านขายสมุนไพร จากนั้นอาจะพาไปกินของอร่อย ไม่นานหรอก” ไท่หยุนบอกกับหลานสาว “เจ้าค่ะ อาหวาทนได้ไม่หิวสักนิด” โครก ครากๆ “..........” ทุกคน “ฮ่าฮ่าฮ่า ไหนเจ้าบอกไม่หิวยังไงเล่า อาหลางเจ้าเอารถม้าไปฝากไว้ก่อนอากับอาหวาจะไปรอที่ร้านบะหมี่ของเถ้าแก่ฟู่ ไปกันเถอะอาหวาอารับรองว่าเจ้าต้องชอบ” “มีสิ่งใดบ้างที่อาหวาไม่ชอบกินบ้างล่ะเจ้าคะท่านอา แต่อาหวาขอเส้นเยอะๆ เลยนะเจ้าคะ” นี่เด็กเส้นนะกินได้หมดถ้าสดชื่น คิคิ เมื่อท่านอาสั่งบะหมี่เสร็จพี่ใหญ่ก็เดินมาถึงพอดี หว่าหวาอยากจะบอกว่าบะหมี่เถ้าแก่ฟู่อร่อยสุดๆ “ท่านอา อาหวาขออีกชามเจ้าค่ะ” “เจ้าแน่ใจนะว่ากินได้อีก กินเยอะไปเจ้าจะปวดท้องเอาได้” เห็นหลานสาวกินได้เยอะมันก็ดีอยู่หรอกแต่ไท่หยุนเป็นห่วงว่านางจะไม่สบายท้องเอาน่ะสิ ปกติแล้วนางกินข้าวอย่างกับแมวดม พอหายป่วยนางก็จะกลายเป็นแมวอ้วนเสียแล้ว ดูจากที่นางกินแต่ละครั้งสิอย่างกับว่าไม่เคยกินอย่างนั้นแหละ “กินได้เจ้าค่ะและกินหมดแน่นอนก็มันอร่อยนี่นะ อาหวายังอยากจะซื้อกลับไปฝากท่านย่า ท่านพ่อและน้องเล็กด้วยเลยแต่ไม่รู้จะเอาใส่อะไรไป” “ถ้าคุณหนูอยากห่อกลับบ้านข้าก็ห่อให้ได้นะขอรับ” “หืมม..ท่านห่อให้ข้าได้จริงๆ หรือเจ้าคะ ถ้าอย่างนั้นห่อให้ข้าทั้งหมดสี่ห่อเลยเอาแบบพิเศษๆ เจ้าค่ะ” “ตั้งสี่ห่อนะ ท่านย่า ท่านพ่อและน้องเล็กจะกินหมดหรือน้องรอง” หึๆ ช่างน่าขำนักนางคิดว่าไม่มีใครรู้เท่าทันนางหรือยังไงกัน “ถ้าไม่หมดอาหวาจะช่วยกินเองเจ้าค่ะพี่ใหญ่ไม่ต้อกังวล” หว่าหวาตอบอย่างหน้าตาเฉย ที่มุมหนึ่งของร้านบะหมี่… หว่าหวาหาได้รู้ไม่ว่าคำสนทนาและท่าทางต่างๆ ของนางอยู่ในสายตาของคนผู้หนึ่ง ไม่สิสองคนต่างหาก “นางช่างสดใสและงามแบบแปลกๆ นะหรือเป็นเพราะว่านางตัดผมสั้นกัน เจ้าคิดเหมือนข้าหรือไม่สหาย อา..หยุดเลยเจ้าจะมองนางให้ทะลุเลยหรืออย่างไร เจ้าได้ยินที่ข้าพูดหรือไม่ฟงอวี้” “อืม..ข้าได้ยินแล้าน่าเจ้าพูดมากเกินไปแล้ว” เมื่อมีคนขัดขึ้นเถียนฟงอวี้ได้แต่ลอบถอนหายหายใจออกมาเบาๆ “ข้าก็เป็นของข้าเช่นนี้เจ้ายังไม่คุ้นชินอีกรึ จะให้ข้าทำตัวเช่นเจ้าข้าคงจะอกแตกตายกันพอดี ฮึ” หลังจากกินมื้อกลางวันจนอิ่มหนำสามอาหลานก็ได้กล่าวลาเถ้าแก่ฟู่ “ขอบคุณเจ้าค่ะเถ้าแก่วันหน้าข้าจะมาอุดหนุนท่านอีก” “เช่นกันคุณหนูวันหน้าข้าก็จะแถมให้คุณหนูเยอะๆ เลย” เถ้าแก่ฟู่พูดคุยด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม ลูกค้ามีความสุขคนขายก็รู้สึกอิ่มเอมใจค้าขายก็เป็นเช่นนี้ “ท่านอาเจ้าคะ อาหวาคิดว่าจะซื้อบะหมี่ไปฝากทุกคนไม่ได้เสียแล้ว ดูนี่สิกระบอกไม้ไผ่นำมาใส่น้ำบะหมี่อาหวาลืมไปได้ยังไงว่ากระบอกไม้ไผ่มีประโยชย์เช่นนี้” แต่หิ้วหลายอันเช่นนี้มันก็เกะกะนะเนี่ยถ้ามีมิติเก็บของแบบในฝันก็คงจะดีไม่น้อย พรึ่บ!! “เฮ้ย/อาหวา/หว่าหวา” สามเสียงร้องเสียงหลงออกมาพร้อมกันเพราะตกใจกับสิ่งที่เห็นเมื่อครู่นี้ ควับๆ ต่างก็พากันมองซ้าย มองขวา “ฮู้วว..โชคดีจริงๆ ที่ไม่มีคนอยู่แถวนี้ ท่านอา พี่ใหญ่ อย่าเพิ่งเอ่ยสิ่งใดออกมานะเจ้าคะพาอาหวาไปที่รถม้าก่อนเถิดเจ้าค่ะ” ไม่ถึงครึ่งก้านธูปไหม้สามอาหลานก็มาอยู่ที่รถม้าแล้ว “เจ้าลืมเล่าสิ่งใดให้พวกเราฟังใช่หรือไม่อาหวา” แล้วมันเกิดสิ่งใดขึ้นกับนางกันแน่นะเพราะสิ่งที่เขาเห็นเมื่อครู่ เขาไม่ได้ตาฝาดแน่ๆ เพราะเห็นด้วยกันทุกคน “อาหวาไม่ได้ลืมเจ้าค่ะ แต่อาหวาไม่คิดว่ามันคือเรื่องจริง อาหวาขอตรวจสอบบางอย่างก่อนนะเจ้าคะ” แล้วหว่าหวาก็ตั้งจิตเพื่อตรวจสอบกำไลข้อมือของตนเอง โอ้วว..มีจริงๆ ด้วยขวดยานั่นก็อยู่ในนี้ “มันไม่ใช่ฝันจริงๆ ด้วย” หว่าหวายังอึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองไม่หายมันไม่ใช่ความฝันอย่างที่นางคิด มิติเก็บของหรือมันไม่มีแค่ในนิยายแล้วสินะตอนนี้นางเป็นเจ้าของมิติที่ไม่ว่าจะมีเงินมากมายก่ายกองแค่ไหนก็ไม่อาจจะซื้อหาได้
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม