มหาวิทยาลัย
“ทำไมไม่รับสายพี่เลย”
ทันทีที่เท้าเหยียบพื้นภายในรั้วมหา’ลัย อดีตแฟนก็เข้ามาฉุดแขนแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ติดไปทางไม่พอใจ
“เราเลิกกันแล้ว”
“คุยกับแอลแล้วพี่เหนื่อยว่ะ พี่บอกว่าห่าง เข้าใจบ้างไหมเนี่ย”
ตวัดสายตาไปทางคนที่ฉันรักกำลังยืนเท้าเอว หน้าตาบ่งบอกว่าทั้งหงุดหงิดและรำคาญ เห็นท่าทางของพี่เจแล้วน้ำตาพานจะไหล ฉันจึงต้องรีบย้ายสายตาไปทางอื่นแล้วไล่ความเสียใจให้กลับลงไป อย่าแสดงอาการอ่อนแอในตอนนี้เด็ดขาด
“เข้าใจไรยากจังวะแอล พี่บอกว่าห่าง แต่แอลไม่รับสายพี่เลยนี่คือ? จะเอาไงวะ”
ห่างแล้วโทรมาหาพ่อง! นึกอยากจะย้อนแรง ๆ แบบนี้ แต่ต้องคีปลุคไว้บ้าง เลือกที่จะเดินผ่านตัวเขาเพื่อไปที่ตึกคณะ ทว่าเรียวแขนกลับถูกเขาคว้าเอาไว้
“คุยให้รู้เรื่อง”
“คุยอะไรอีก ประสาทป้ะถามจริง นี่แอลอดทนมากเลยนะที่จะไม่ด่าพี่ ตัวเองพูดเองว่าห่าง จดใส่สมองกลวง ๆ ไว้สิว่าห่าง!”
“ได้! แอลพูดเองนะ”
อ้าว ฉันผิดเฉย…
เกาหัวตัวเองแรก ๆ ด้วยความงุนงง พลางมองอีกคนเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม
“ไม่มีไรแล้วใช่ไหม” ฉันถาม หากได้คำตอบว่าใช่จะได้ไปที่คณะเสียที
“เออ เอางี้เองนะ” เขาชี้หน้าราวกับคาดโทษหรือขู่อะไรเทือก ๆ นั้น ก่อนที่จะหลีกทางให้ฉันได้เดินออกไป
เมื่อมาถึงโต๊ะม้าหินที่เพื่อนมาถึงกันครบกลุ่มแล้วฉันจึงฟุบหน้าลงด้วยท่าทางไร้เรี่ยวแรงราวกับไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไร
“ชีบัวบอกพวกกูแล้วเรื่องแฟนมึง”
“มันไม่ใช่แฟนแล้ว” ฉันรีบแย้งโยเกิร์ต
“เออ ๆ มึงเป็นไงบ้าง” โยเกิร์ตรับคำฉันแบบส่ง ๆ แล้วส่งน้ำเสียงห่วงใยออกมา
“เฮิร์ตดิมึง คบกันมาเป็นปี อยู่ ๆ ก็ถูกเทแบบไม่มีสัญญาณเตือน ฮึก ถ้ามีอะไรสักนิดบ่งบอกให้รู้กูจะทำใจเผื่อไว้แต่แรก แต่นี่มันไม่มีเลย แง” ฉันเบะปากแล้วร้องไห้เสียงดังลั่น ทำเหมือนกับว่าตึกแห่งนี้พ่อฉันซื้อไว้งั้นแหละ
ปล่อยน้ำตาให้ไหลอาบแก้ม ดีที่ว่าเมื่อเช้าไม่ได้แต่งหน้า ไม่อย่างนั้นคงเละยิ่งกว่านี้
“กูเข้าใจนะว่ามึงเสียใจ แต่ช่วยเบาเสียงหน่อย อายเขา” ลูกหมีส่งยิ้มแห้งให้ผู้คนรอบ ๆ
ฉันปาดน้ำตาลวก ๆ แล้วแย่งทิชชูที่ใบบัวกำลังจะเช็ดคราบน้ำจากขวดบนโต๊ะมาเช็ดแก้มตัวเอง
“มันบอกกูว่าขอห่าง ห่างเหี้ยไรอีดอก ห่างเท่ากับเลิกจ้า จะขุดคำพูดอะไรมามันก็คือเลิกมะ แล้วไหนจะบอกว่าไม่มั่นใจกับความรู้สึก แบบนั้นคือมั่นใจว่าไม่ได้รักกูจ้ะ ฮึก กูเสียใจ กูเสียใจ” ฉันเอากำปั้นทุบอกตัวเองดังปึก ๆ ซ้ำลงให้มันเจ็บปวดหนักกว่าเดิม
“มันเจ็บหนักแค่ช่วงแรก ๆ เวลาจะช่วยให้แอลดีขึ้นนะ” ใบบัวเอ่ยออกมาพลางบีบไหล่ฉันเบา ๆ
“กูเจ็บ กูเสียใจ กูไม่เคยเสียใจอะไรเท่านี้มาก่อน เอาจริงกูไม่เคยเสียใจกับเรื่องอะไรเลย”
“ไม่จริง!” เพื่อนทั้งสามประสานเสียงกัน เสียงสะอึกสะอื้นของฉันพลันหายไปในทันที
“ตอนที่มึงรู้ว่าพระเอกซีรีส์คนโปรดกำลังเดทกับศิลปินสาวค่ายดัง มึงร้องไห้สามวันสามคืน ข้าวปลาแทบไม่ยอมกิน” ลูกหมีพูดถึงการเสียใจอย่างหนักของฉันออกมา ครั้งนั้นเหมือนโลกทั้งใบถล่มลงมา
“ตอนที่มึงซื้อบัตรคอนไม่ทันเพราะตื่นสาย มึงกรี๊ดแล้วร้องไห้จนป้าเจ้าของหอต้องโทรมาตามกูให้ไปดูมึง เขาคิดว่ามึงเสียสติ” โยเกิร์ตพูดต่อ
ทำไมนางเพื่อนพวกนี้ถึงความจำดีกันจังวะ ฉันได้แต่แสยะยิ้มด้วยความขัดเขินแล้วเอาทิชชูแผ่นเดิมเช็ดใบหน้าเพื่อหลบสายตาพวกเพื่อน
“มีอีกอย่างหนึ่ง” ใบบัวเอ่ยออกมา ฉันเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม มีเรื่องที่ฉันเสียใจหนักอีกเหรอ น่าจะไม่มีแล้วนี่
“ทิชชูแผ่นนั้นบัวหยิบมาจากใต้โต๊ะ เห็นว่าแค่เช็ดคราบน้ำก็เลยเอามาเช็ด”
“ฮะ!” ดวงตาของฉันเกือบถลนออกมาเมื่อได้ฟังสิ่งที่ใบบัวบอก ทิชชูที่ฉันแย่งมาเช็ดน้ำตา…มาจากใต้โต๊ะ! “กรี๊ดดดดด นี่ถ้าเป็นสิว ผื่นขึ้น ถ้าหน้าแหกขึ้นมา…แงงงง”
ฉันโวยวายเสียงหลง สิ่งแรกที่คิดได้คือห้องน้ำ! ฉันต้องการล้างหน้าแบบด่วน ๆ ก่อนที่เชื้อโรคมากมายจะฝังลึกลงไปตามรูขุมขน หากเกิดระคายเคืองหน้าแหกขึ้นมาจะทำอย่างไร
“ปิดอีก กูจะบ้า” ป้ายเหลืองกางตั้งอยู่หน้าห้องน้ำ ประตูก็ปิดสนิท จะมาทำความสะอาดอะไรในเวลานี้ หรือเรื่องนี้ควรถึงหูอธิการ!?
“ขอโทษนะคะ ขอน้ำมาล้างหน้าหน่อยได้ไหมคะ” ฉันตะโกนเรียกพนักงานที่กำลังทำความสะอาดอยู่ข้างใน ขอแค่น้ำจากสายยางมาล้างหน้าสักหน่อยก็ยังดี
“ฮัลโหล ได้ยินไหมคะ” ฉันตะโกนอีกครั้งพลางสะบัดหลังมือเคาะที่ประตู เสียงน้ำบวกกับเสียงเพลงข้างในดังเล็ดลอดออกมาแต่ไม่มีเสียงใครตอบกลับ “โหล ขอน้ำหน่อยค่า โหล ๆ”
“น้ำจากขวดล้างหน้าได้ไหม”
“ได้ค่ะได้” ฉันตอบด้วยความดีใจ จะน้ำจากไหนแค่มันเป็นน้ำสะอาดฉันก็ล้างได้หมด
ว่าแต่ใคร? ใครใจดีมาให้น้ำฉัน
“หลับตาแล้วแบมือ” เขาเอี้ยวตัวหลบไม่ให้ฉันได้เห็นใบหน้าของเขา รู้แค่ว่าเขาเป็นผู้ชายรูปร่างดีทีเดียว
ฉันทำตามที่เขาบอก ยื่นมือไปทางรางระบายน้ำหลับตารอเขาเทน้ำใส่มือให้ แล้วจึงนำมาล้างหน้า
“ขอบคุณมาก ๆ เลยนะคะ” นอกจากจะได้น้ำจากเขาแล้ว เขายังใจดีส่งกระดาษทิชชูมาให้ซับใบหน้า
“ไม่เป็นไร พอดีกินอิ่มแล้ว”
???
ยังไงนะ กินอิ่มแล้ว?
“นี่คุณ คุณ” ฉันตะโกนเรียกคนที่ก้าวฉับ ๆ หนีออกไปด้วยความรีบร้อน ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเดินตามที่ฉันเรียก
“น้ำที่เอามาล้างหน้า เขากินแล้วงั้นเหรอ ว๊ากกกก สิวจะขึ้นไหมเนี่ย” ฉันกำมือแน่นกระทืบเท้าตัวเองแรง ๆ ด้วยความหงุดหงิดที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย
“ขึ้นเรียนกัน” ใบบัวเดินเข้ามาหาพร้อมเพื่อนอีกสองคน แต่ละคนมองฉันเหมือนอยากขำแต่ก็กลั้นเอาไว้
“เพราะบัวคนเดียวเลย!”
“ก็แค่แกล้งเล่น ทิชชูที่พื้นใครจะไปหยิบมาใช้ต่อ บัวแค่อยากจะให้แอลรู้สึกรักตัวเอง ห่วงตัวเองมากกว่าเขาขึ้นมา แล้วก็ทำได้จริง แอลลืมเรื่องเขาไปทันทีที่ห่วงตัวเอง”
“มึงก็ไม่คิดก่อนเลย โวยวายก่อนตลอด” ลูกหมีพูดเสียงเรียบ ก็อย่างที่ลูกหมีว่าแหละ หากฉันฉุกคิดสักนิดว่าเพื่อนฉันจะหยิบทิชชูที่พื้นมาใช้ต่อเหรอ ก็คงไม่เป็นแบบนี้
ฝ่ามือนุ่มลูบหน้าตัวเองแรง ๆ จนรู้สึกเจ็บ สูดลมหายใจเข้าปอดลึกแล้วเอ่ยออกมา
“นี่กูวิ่งมาเอาเชื้อโรคเข้าหน้าสินะ”
“หมายความว่าไง” โยเกิร์ตถามขึ้น
“ห้องน้ำปิด มีผู้ชายคนหนึ่งเอาน้ำมาให้กูล้าง กูนึกว่าสะอาด เปล่าจ้ะ เขาเอาน้ำที่เขาดูดกินจนอิ่มแล้วมาให้กูล้าง” ฉันเบะปากอยากร้องไห้ แต่มันร้องไม่ออก
“อี๋ อย่างน้อยน้ำลายต้องลงไปในขวดบ้างแหละวะ” คำพูดของโยเกิร์ตยิ่งทำให้ฉันขยะแขยงหนักกว่าเดิม
“ไม่ใช่จ้า พี่คนนั้นเขาแกล้งเล่น น้ำนั่นน่ะเขาซื้อไปให้หนูโดยเฉพาะ มาซื้อร้านป้านี่แหละ” ป้าร่างท้วมที่ยืนอยู่ในซุ้มร้านของตัวเองตะโกนบอก หน้าตาของป้าดูเหมือนจะสงสารฉันถึงได้บอกความจริง
“คุณป้าไม่ได้แกล้งพูดให้หายตกใจใช่ไหมคะ” ใบบัวถาม
“จ้า เขาซื้อทิชชูให้ด้วย” ได้ยินคำยืนยันแบบนี้ฉันก็โล่งใจไปในทันที แปลว่าเขาใจดีอย่างที่ฉันคิดไว้แต่แรก แล้วจะแกล้งพูดให้ฉันขยะแขยงทำไมก็ไม่รู้
“ป้านี่ก็แทนที่จะบอกแต่แรก” ฉันพูดพึมพำเบา ๆ โยเกิร์ตพยักพเยิดไปทางป้าให้ฉันขอบคุณ ฉันจึงค้อมศีรษะแล้วส่งยิ้มหวาน ๆ ให้อีกฝ่าย แม้ในใจจะแอบเคืองที่ไม่บอกแต่แรกก็ตาม…