เช้าวันต่อมา
ฉันรอพี่เจโทรหา แต่ก็ไร้วี่แวว จึงเป็นฝ่ายต่อสายหาเขาเอง โทรเป็นร้อยสายเขาก็ไม่รับ เห็นว่าจะสายเอาได้จึงเดินลงมาข้างล่างก็ไร้เงาของอีกฝ่าย
ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ฉันโทรหาพี่เจเป็นร้อยสายเห็นจะได้ ซึ่งทุกสายที่ต่อออกไปไม่ได้รับการตอบรับจากอีกฝ่ายเลย
ฉันทำอะไรผิด? ทำไมพี่เจถึงหายไปแบบนี้
รถสองแถวเคลื่อนตัวช้า ๆ มาจอดที่หน้ามหา’ลัย เงยขึ้นมาเห็นว่าคนทยอยลงจนบางตาแล้ว จึงลุกจากที่นั่งแล้วเดินมาที่บันไดเพื่อที่จะก้าวลง ระหว่างนั้นในมือยังคงมีโทรศัพท์ที่กำลังโทรออกไปหา ‘สุดหล่อของแอล’
“ว้ายยย” ฉันร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ
มัวแต่พะว้าพะวังกับการโทรหาแฟน ไม่มองทางทำให้ก้าวพลาด โชคดีที่นักศึกษาชายที่ลงต่อจากฉันช่วยประคองไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นคงต้องล้มไปกองอยู่กับพื้น
“โอ๊ยย” ถึงจะไม่กองอยู่ที่พื้นแต่เมื่อทรงตัวยืนความปวดที่ข้อเท้าก็แล่นเข้ามา มันปวดมากจนเดินไม่ไหว ชายคนเดิมจึงประคองไว้
“อะไรกันวะ” เสียงเข้มของอีกคนดังขึ้นมา
“ผู้หญิงคนนี้ก้าวตกรถ มัวแต่เล่นโทรศัพท์” คนที่ประคองฉันเป็นคนตอบ น้ำเสียงของเขาคล้ายกับพยายามกลั้นขำเอาไว้ เลยเงยหน้าขึ้นมอง
นั่นไง! เขากลั้นขำอยู่จริง ๆ ด้วย
“เดี๋ยวจ่ายให้เอง พายายซุ่มซ่ามนี่ไปนั่งก่อน”
“ขออนุญาตนะครับ” เขาเอ่ยออกมาเสียงเรียบก่อนที่จะโอบเอวฉันไว้หลวม ๆ แล้วมืออีกข้างก็ประคองแขนฉันไว้ พาเดินไปที่รั้วมหา’ลัยให้ฉันได้เอาก้นพิงที่ขอบรั้ว
ฉันก้มมองข้อเท้าของตัวเองที่โคตรปวด และในใจก็นึกชื่นชมหนุ่มคนนี้ที่ทั้งใจดีและโคตรสุภาพ ขออนุญาตโอบเสียด้วย
“พี่พาไปนั่งดิ ผมขี้เกียจประคองอะ เดี๋ยวผมไปหาน้ำแข็งมาประคบให้” อ้าว ทิ้งเฉย เพิ่งชมเมื่อกี้เอง
ผู้ชายที่อายุเยอะกว่าจึงเป็นคนเข้ามาประคอง แต่เขาไม่เหมือนน้องชายสักนิด น้องชายขอก่อนจะโอบ แต่คนนี้ไม่…เขาโอบเลยแถมยังออกอาการเหมือนรำคาญฉันอีกด้วย ฉันจะโวยวายอะไรก็ไม่ได้ เขามาช่วยก็ดีแค่ไหนแล้ว
“ภาระสุด ๆ” คนตัวสูงเอ่ยออกมา ได้ฟังแล้วหน้าฉันเซียวลง แถมคอนี่หดเลย รู้ตัวน่าว่าเป็นภาระ
“พวกที่เล่นมือถือตลอดเวลาไม่สนใจรถ ไม่สนใจถนน ไม่สนใจอะไรเลยนี่แย่จริง ๆ ไม่เล่นสักพักน่ะไม่ตายหรอก แต่ถ้าเกิดอุบัติเหตุที่หนักกว่านี้ อาจจะได้ตายของจริง” เขาดุยาว ซึ่งฉันก็ไม่กล้าปริปากเถียงอะไร ได้แต่เม้มปากแล้วก้มหน้างุดด้วยความรู้สึกผิด
“โต ๆ กันแล้วไม่มีความคิด” ยัง ยังดุไม่จบ ยิ่งเขาดุฉันยิ่งรู้สึกผิด น้ำตาจึงหยดแหมะลงมา
“ร้องไห้เหรอ” คนที่อายุน้อยกว่าเดินกลับมาพร้อมถุงน้ำแข็งในมือ ฉันเงยหน้ามองเขาแล้วเบะปากคว่ำ ชี้นิ้วไปหาอีกคนที่เพิ่งดุฉัน
“พี่ของนายดุเราอะ ฮึก”
“มีฟ้องด้วยว่ะ” เสียงเข้มของคนอายุเยอะกว่าอ่อนลง ค่อนไปทางหยอกล้อ “พูดแค่นี้ก็ร้องไห้ ขี้แยจังวะ”
“ฮึก ก็รู้สึกผิดนี่” ฉันไม่ได้ร้องไห้งอแงขนาดนั้น น้ำตาร่วงลงแค่ไม่กี่หยดหรอก
“พี่ชายเราดุไปงั้นแหละ ใจดีจะตาย เธออย่าร้อง” นักศึกษาวิศวะอมยิ้มน้อย ๆ เขาส่งถุงน้ำแข็งในมือให้พี่ชายของเขา “อะน้ำแข็ง”
“มึงก็ให้ยายซุ่มซ่ามขี้แยดิ ให้ไรกูอะ”
หนุ่มวิศวะคนนั้นจึงส่งมาให้ฉันแล้วคลี่ยิ้มออกมาบาง ๆ ก่อนจะบอก “เรารีบไปตึกก่อนนะ พวกเพื่อนมันรอคุยอยู่”
“อื้อ ขอบคุณมากนะที่ช่วย ขอโทษที่ทำตัวเป็นภาระ”
“เฮ้ย ไม่ภาระเลย เรื่องแค่นี้เอง” เขาส่งยิ้มให้ฉันแล้วย้ายสายตาไปที่อีกคน “ผมไปละนะ พวกไอ้ฟองมันรออยู่”
“เออ รถมึงอะกูจอดไว้ที่ลานรวม อยู่คู่กับไอ้ภีม”
“เค ขอบคุณค้าบ” ว่าแล้วก็เดินจากไป
“น้องเวรเอ๊ย รถพังก็ให้กูมาเอาไปซ่อม พอซ่อมเสร็จก็ต้องเอามาประเคนให้ถึงที่”
ฉันช้อนตาขึ้นมองคนที่ยืนเท้าเอวมองตามหลังน้องชายแล้วขยับปากบ่นงุบงิบอย่างกับคนแก่ พยายามจ้องมองใบหน้าแต่เขาก็ไม่ค่อยให้เห็น หมวกแก๊ปที่เขาสวมก็บดบังใบหน้าไปพอควร
“ดีขึ้นยัง”
เขาถามใครวะ ฉันไม่กล้าตอบจึงได้แต่เงียบ
“ซุ่มซ่าม เท้าดีขึ้นยัง”
อ้อ! ถามฉัน
เขานี่แปลกคนแฮะ ถามฉันแต่หันหลังให้ฉัน เหมือนไม่อยากให้เห็นหน้า อยากมองตายแหละ!
“ยังค่ะ”
หลังจากที่ตอบก็ได้ยินเขาส่งเสียงเหมือนรำคาญ แต่เขากลับทรุดตัวลงคุกเข่าอยู่ตรงหน้า
“บ้าป้ะเนี่ย ไม่ถอดรองเท้าก่อนล่ะ” เขาส่ายศีรษะน้อย ๆ เอือมระอาที่ฉันไม่ได้ถอดรองเท้าออก ถึงว่าสิ ไม่รู้สึกถึงความเย็นเลยสักนิด
“เอาถุงน้ำแข็งมา” เขาแบมือมาตรงหน้าฉัน
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวทำเอง”
“ส่งมา” น้ำเสียงดุดันมากขึ้น ฉันจึงต้องยอมส่งถุงน้ำแข็งให้เขาแต่โดยดี
ผู้ชายตรงหน้าถอดรองเท้าผ้าใบให้ฉันพร้อมทั้งรูดถุงเท้าออกให้ด้วย ค่อย ๆ ประคบน้ำแข็งเข้าที่ข้อเท้าอย่างเบามือ อ่อนโยนผิดกับน้ำเสียงเลย
“พี่เจ!” ฉันกวาดตามองไปรอบ ๆ พบกับคนที่ฉันพยายามต่อสายหา ส่งเสียงตะโกนเรียกเขา แต่เขาก็ไม่หันมาทั้งที่เขาชะงักไปเมื่อฉันตะโกนเรียก จะบอกว่าไม่ได้ยินก็คงเชื่อไม่ได้
“พี่เจ พี่เจ” พยายามตะโกนเรียกต่อแต่ก็ไร้การเหลียวมอง ฉันเอาเท้าตัวเองลงจากหน้าขาของชายตรงหน้าเพื่อหยัดกายขึ้นยืน
“พี่เจ!!!” ลากขาของตัวเองที่ยังคงปวดอีกทั้งไม่ได้ใส่รองเท้าข้างหนึ่งไปตามทาง แต่เจ้าของชื่อที่ฉันเรียกกลับเดินห่างออกไปไกลมากขึ้นทุกที
“ขาก็เจ็บ แต่ก็ยังอยากจะวิ่งตามผู้ชาย เจ็บก็รักษาไม่ใช่ทำให้ตัวเองเจ็บเพิ่ม คิดหน่อยโว้ย”
ฉันไม่รู้จะเจ็บกับสิ่งไหนก่อนเลยแฮะ…
แต่คำพูดของคนข้างหลังก็ให้ข้อคิดดี ๆ กับฉัน…จะทำให้ตัวเองเจ็บเพิ่มไปทำไมกัน
ฉันหันมามองคนตัวสูงที่ถือรองเท้าถุงเท้าและถุงน้ำแข็งตามมา เขาหันหน้าหนีไม่ให้ฉันเห็นหน้าเขาชัด ๆ เหมือนเดิม
“เดินตามผู้ชายได้แล้ว ก็คงเดินไปเรียนได้ใช่ไหม”
“ค่ะ” ฉันตอบเสียงแผ่ว เพราะในใจมันกำลังหน่วง ๆ เรื่องพี่เจอยู่ การกระทำของเขามันทำให้ฉันอดคิดไม่ได้ว่าเขากำลังจะเทฉันอีกรอบ
ฉันสะกิดลำแขนของคนข้างกายเพื่อที่จะให้เขาหันหน้ามา แต่อีกฝ่ายก็ยังคงไม่หัน และเขาคงเดาออกว่าฉันต้องการรองเท้าถุงเท้าคืน พ่อเจ้าประคุณถึงได้ส่งคืนมาซะถุงเท้าเกือบทิ่มหน้า!
“ขอบคุณพี่มาก ๆ นะคะ” ถึงเขาจะดุไปหน่อย แต่ก็ช่วยฉันไว้ ฉันจึงกล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงและถ้อยคำที่สุภาพ
เดินกะเผลกไปที่ม้านั่งใต้ต้นไม้ใกล้ ๆ เพื่อที่จะสวมกลับเข้าที่เดิม ทว่าคนตัวโตกลับเดินตามมาแล้วแย่งคืนไป
“ไม่ต้องค่ะพี่” ร้องห้ามไม่ให้เขาสวม แต่อีกฝ่ายก็ยังคงดึงดันที่จะสวมให้ทั้งรองเท้าและถุงเท้า
“เรียนคณะอะไร” เขาถามฉันด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
“มนุษยศาสตร์ค่ะ”
ได้คำตอบจากฉันแล้ว เขายืนขึ้นอีกทั้งยังฉุดแขนฉันให้ลุกตาม
“พี่จะไปส่งเหรอ”
“อือ”
ก็อยากจะห้ามอยู่หรอกนะ แต่รู้อยู่แก่ใจว่าเปล่าประโยชน์ พูดไปก็เปลืองน้ำลาย จึงเดินไปที่ตึกโดยที่มีเขาคอยจับแขนประคองไว้
“อีแอล มาซะสายโด่งเลยมึง อีกห้านาทีจารย์ก็เข้าแล้วนะ” ลูกหมีเอ่ยทัก แต่เพื่อนอีกสองคนกลับมองไปที่คนข้าง ๆ สลับกับมองที่ขาฉัน
“ขามึงเป็นอะไรอะ” โยเกิร์ตถาม
“ตกรถ ก้าวพลาด ทั้งเจ็บทั้งอาย” ฉันตอบแล้วหันไปหาพี่ผู้ชายที่ช่วยไว้ “ขอบคุณอีกครั้งนะคะ”
“อือ” เขาตอบสั้น ๆ แล้วหมุนตัวหันหลังให้ เดินกลับไปทางเดิมที่เดินมา
“ใครอะ หล่อมาก” ลูกหมีถาม
“พี่คนนี้เขามาช่วยกูไว้ ที่จริงน้องชายเขาช่วยก่อน แล้วเขาก็มาช่วยประคบให้ แล้วก็พากูเดินมาตึกนี่แหละ” ฉันตอบลูกหมีกลับไป แต่เพียงแวบหนึ่งก็เบิกตาโต “นี่มึงเห็นหน้าเขาด้วยเหรอ”
“เห็นดิ พวกมึงเห็นป้ะ” ลูกหมีตอบฉันแล้วหันไปถามใบบัวและโยเกิร์ต
“เห็นดิ ทำไมถึงต้องไม่เห็นอะ” สีหน้าของโยเกิร์ตงุนงงอย่างชัดเจน
“หล่อมากเลยแอล” ใบบัวตอบยิ้ม ๆ แล้วผุดขึ้นยืน “ไปเรียนกันเถอะ เดี๋ยวไม่ทัน”
ฉันเดินขึ้นชั้นสองโดยที่ลูกหมีคอยช่วยประคอง กระเป๋าของฉันโยเกิร์ตก็ช่วยถือให้ แอบเสียดายที่ไม่ได้เห็นหน้าเขาคนนั้น ไม่ใช่ว่าตื่นเต้นกับความหล่อที่เพื่อนพูด แต่แค่อยากเห็นคนที่ช่วยไว้ เผื่อว่าเราจะได้เจอกันอีกครั้งแล้วฉันจะมีโอกาสตอบแทนเขาบ้าง