ตอนที่ 7

1454 คำ
อวิ๋นหยาง มองสตรีไม่คุ้นหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะหันไปมองผู้ติดตามคนสนิทเป็นเชิงถามว่านางเป็นใคร จางเชี่ยนหยุนถึงกับเหงื่อตก ไม่คิดว่าเจ้านายตนจะอาการหนักจนกระทั่งจำคุณหนูสือไม่ได้ เห็นทีกลับจวนคงต้องให้ท่านหมอมาตรวจท่านชายอีกสักรอบ... “คุณหนูสือซูหนี่ว์ ข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว” จางเชี่ยนหยุนทำทีเป็นหัวเราะแห้งๆ แล้วถอยหลังออกไปสองก้าว ท่าทีที่แปลกไปของทั้งเจ้านายและบ่าวทำให้สือซูหนี่ว์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าที่ฉายแววสงสัยทำให้นางดูเหมือนสตรีใสซื่อบริสุทธิ์ราวเทพธิดา เพียงแค่ริมฝีปากบางแดงระรื่นคลี่ยิ้ม ผู้ที่พบเห็นก็เหมือนกับรู้สึกสดใสขึ้นมาทันตา นามเรียกขานนางที่แม้แต่เหล่าบัณฑิตยังยกย่องว่านางคือ ‘บุปผางามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง’ ไม่ได้ไกลเกินความจริง นางไม่ใช่เพียงแค่รูปงามเท่านั้นแต่วิชาหมากล้อม ดีดพิณ พู่กัน และวาดภาพก็ไม่เป็นสองรองใครเช่นกัน “คุณหนูสือ...” อวิ๋นหยางคารวะตอบรับ สือซูหนี่ว์ชะงักไปสักพัก แม้นางจะแปลกใจไปบ้างแต่ก็ยังคงสงวนท่าทีรักษารอยยิ้มบนใบหน้าเอาไว้ “ข้าได้ข่าวมาว่าท่านชายขึ้นเขาแล้วประสบอุบัติเหตุ ไม่ทราบว่าอาการของท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” “ทำให้คุณหนูสือต้องเป็นห่วงแล้ว ข้าไม่เป็นอะไร” นางหลุดสายตาลงต่ำ ยิ้มรับบางๆ ความรู้สึกอึดอัดนี้ทำให้นางไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นไปสบตาเขาอีก ดวงหน้าของนางเป็นสีแดงระรื่นเล็กน้อย คล้ายอยากจะเอ่ยถามแต่ก็ไม่กล้าเอ่ย “หากไม่มีเรื่องอันใดแล้วข้าคงต้องขอตัว” เขาเอ่ยขึ้น แม้นางจะอยากสนทนากับเขาเพิ่มเติม แต่เมื่อเขาตัดบทเช่นนี้นางก็ต้องรักษามารยาทด้วยการล่าถอยไป... “เจ้าค่ะ รักษาตัวด้วยนะเจ้าคะ” “อืม รักษาตัว” เมื่อร่างสูงโปร่งเดินจากไปแล้ว สือซูหนี่ว์ก็กลับขึ้นไปบนรถม้าโดยมีสาวใช้ส่วนตัวคอยช่วยประคองอย่างระมัดระวัง “คุณหนู...” บ่าวรับใช้นางทำท่าจะกล่าว สีหน้ามีความกล้ำกลืน “ข้าไม่เป็นไรลี่จือ เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล” รถม้าเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ แม้จะผ่านร่างของบุรุษผู้นั้นเขาก็ไม่หันมามองรถม้าของนางแม้แต่น้อย มือขาวเนียนดุจหิมะลดผ้าม่านลง ที่นางลงไปทักทายเขาในครั้งนี้ก็เพราะข่าวลือที่ออกมาว่าฮ่องเต้คิดจะพระราชทานสมรสให้เขาแต่งกับนาง นางอยากรู้ว่าเขานั้นคิดเช่นไร แต่เมื่อเห็นท่าทีในวันนี้ของเขาแล้วสือซูหนี่ว์ก็รู้สึกราวถูกหัวใจถูกบีบรัด... “ท่านชาย” จางเชี่ยนหยุนถึงกับอยากร่ำไห้ออกมา “เหตุใดท่านชายถึงทำท่าทีเฉยชากับคุณหนูสือเช่นนั้นเล่าขอรับ” “แล้วเหตุใดข้าจะทำไม่ได้” เขาตอบกลับอย่างไม่ทุกข์ร้อน น้ำเสียงไม่มีแววที่จะสำนึกผิดหรือคิดว่าตนเองผิดแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่เข้าใจ ก็ในเมื่อไม่มีเรื่องคุย แล้วจะฝืนยืนอยู่ทำไมให้อึดอัดทั้งสองฝ่าย? จางเชี่ยนหยุนอยากเปลี่ยนจากร่ำไห้ไปเป็นเอาศีรษะโขกเสาสักต้น “เอาแบบนี้ท่านชาย ท่านจำนางได้หรือไม่” อวิ๋นหยางยกถ้วยน้ำชาอุ่นขึ้นมาจิบ เขานั่งอยู่บนโต๊ะที่มีฉากกั้นส่วนตัวขนานข้าง เบื้องล่างมีเวทีที่มีคนกำลังเตรียมการแสดงอย่างขยันขันแข็ง เขาละสายตาจากเวทีหันกลับมามองบ่าวรับใช้คนสนิทข้างกาย “คุณหนูสือซูหนี่ว์” “แล้วท่านรู้หรือไม่ว่านางเป็นใคร” “บุตรสาวคนกลางของสกุลสือ” อวิ๋นหยางตอบตามบันทึกวงศ์ตระกูลที่อ่านมา และเพราะเขาได้ยินชื่อของนางจากคนอื่นบ่อยจึงพอจำได้ “แล้วท่านรู้หรือไม่ขอรับว่าฮ่องเต้ทรงคิดที่จะ...” อวิ๋นหยางหันกลับไปมองที่เวทีตามเดิมเมื่อนักเล่านิทานเดินขึ้นมาบนเวทีแล้วเริ่มเล่าอย่างออกรสชาติ “จางเชี่ยนหยุน เรื่องของอิสตรีหากยังไม่มีรับสั่งโดยตรงจากองค์ฮ่องเต้เจ้าจะเอามากล่าวให้นางเสื่อมเสียมิได้ ยามนี้ข้ากับนางเป็นเพียงคนรู้จักผิวเผินเท่านั้น” คำตอบกลับของผู้เป็นนายทำให้จางเชี่ยนหยุนต้องเงียบปากลง ในความคิดของเขา เขาอยากจะสนับสนุนให้ท่านชายแต่งกับคุณหนูสือใจจะขาด เพราะไม่ว่าอย่างไรคุณหนูสือก็เป็นถึงบุตรสาวของเสนาบดีซ้าย เมื่อแต่งกับนางแล้วก็เท่ากับว่าท่านชายของเขาจะพอมีอำนาจในมือขึ้นมาบ้าง ทั้งคุณหนูสือยังเป็นสตรีที่ได้ขึ้นชื่อว่าบุปผางามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงที่มีความสามารถของกุลสตรีครบทุกด้าน หากได้แต่งกับนางไม่ว่าบุรุษใดก็ต้องอิจฉาตาร้อน คิดอย่างไรก็ไม่มีเสีย ยามนี้โอกาสมาทั้งที ท่านชายอวิ๋นหยางควรทำตัวเป็นบุรุษที่รักหยกถนอมบุปผาเพื่อเอาชนะใจคุณหนูสือถึงจะถูก ทั้งที่เมื่อก่อนท่านชายยังมีท่าทีสนใจคุณหนูสือมากกว่าตอนนี้? ยิ่งคิด จางเชี่ยนหยุนก็เริ่มไม่เข้าใจผู้เป็นนายมากขึ้น หมั่นโถวรูปร่างสวยงามดึงดูดผู้คนให้สนใจกันมากขึ้น เพียงออกไปขายได้ไม่นานป๋ายเลี่ยงรุ่ยก็สามารถกลับเรือนได้อย่างสบายใจ ใบหน้าของเขาจึงยิ้มบานเกือบตลอด แน่นอนว่าเมื่อขายดีย่อมมีคนลอกเลียนแบบ แต่หมั่นโถวของเขาขึ้นชื่อเรื่องรสชาติอยู่แล้ว ลูกค้าขาประจำก็มีมาก เรื่องขายไม่หมดจึงไม่ต้องกังวลใจ เพราะอย่างไรสกุลป๋ายก็ทำเท่าที่พวกเขาทำไหว “พี่หญิง หมั่นโถวของพี่หญิงมีคนชอบด้วย และยังดูออกอีกว่าเป็นหมี” เพียงแค่ก้าวเท้าเข้ามาในเรือนเฉาหลัวก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าไปหาฮุ่ยชิว ฮุ่ยชิวหัวเราะ “เห็นไหมเล่า บอกแล้วว่าของข้าก็ขายได้” อันที่จริงแล้วนางไม่คิดว่าจะมีคนซื้อเจ้าหมีหน้าตาแปลกๆ นั่นด้วย แต่เมื่อมีคนชอบ นางก็รู้สึกอารมณ์ดีไม่น้อย มือของนางเปื้อนไปด้วยถ่านหินนางจึงไม่อาจจะเอามือไปขยี้หัวน้องชายเล่นอย่างเอ็นดูไม่ได้ “พี่หญิงทำอะไรหรือ” เฉาหลัวมองถ่านหินที่ถูกเหลาจนปลายแหลมอย่างงวยงง เมื่อเขาลองจับมาดูก็ทำให้มือติดเถ้าถ่านดำไปด้วยอีกคน ฮุ่ยชิวเอ่ยตอบยิ้มๆ “ข้ากำลังจะทำดินสอ” คำว่าดินสอ ไม่มีในยุคนี้ ทำให้ทั้งน้องชายและบิดามองอย่างสงสัย นางจึงต้องขยายความขึ้น “ก็...เอาไว้เขียนคล้ายๆ กับพู่กันนั่นแหละเจ้าค่ะ แต่เห็นทีน่าจะใช้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่” ว่าแล้วนางก็หัวเราะแห้ง จะดีได้อย่างไร เพียงลองขีดกับไม้ถ่านหินที่ถูกเหลาจนแหลมก็หักเสียแล้ว พอไม่เหลาก็ขีดออกมาได้ตัวใหญ่แลดูน่าเกลียดยิ่งนัก ในยุคโบราณเช่นนี้ แท่นฝนหมึกกับกระดาษมีราคาแพงพอสมควร เพราะส่วนใหญ่คนที่ใช้มีแต่พวกคนมีฐานะ หรือบัณฑิตผู้มีความรู้เท่านั้น นางอยากได้เพื่อที่จะมาลองเขียนนิทานหรือนิยายไปขายให้คนเล่านิทาน ไม่ก็ให้คนคัดลอกวางขายตามร้านตำราในเมืองดู ก็แน่ล่ะ อดีตนางคือนักเขียน สิ่งที่ถนัดก็คงมีแต่การเขียน ยุคนี้สตรีที่คิดทำมาหากินโดยมีเงินใช้ด้วยตนเองอย่างสบายๆ โดยไม่พึ่งพาบุรุษนั้นยากนัก รู้แบบนี้นางคิดว่าน่าจะลองเขียนนิยายโบราณที่ให้สตรีเป็นใหญ่ดู ถ้าเป็นเช่นนั้นหากทะลุมิติเข้าไปคงจะดำเนินชีวิตได้สบายง่ายขึ้น เพียงแค่ได้คิด ฮุ่ยชิวก็หลุดเข้าไปในจินตนาการที่โลดแล่นอยู่ในหัว “ท่านพ่อ พี่หญิงทำหน้าตาแปลกๆ นาง...” เฉาหลัวมองใบหน้าเคลิ้มฝันของพี่สาวแล้วก็ไม่กล้าจะเอ่ยต่อ ฮุ่ยชิวที่ได้ยินหันมาแยกเขี้ยวใส่เฉาหลัวซึ่งบังอาจมาขัดจังหวะจินตนาการของนางทำเอาเฉาหลัวแลบลิ้นใส่หนีไปหลบหลังบิดา ป๋ายเลี่ยงรุ่ยส่ายศีรษะยิ้มๆ “ไป ช่วยกันไปเตรียมอาหารเย็นได้แล้ว” เมื่อบิดาเอ่ยสั่ง บุตรทั้งสองก็เลิกเล่นก่อนที่จะแยกย้ายไปจัดการตามหน้าที่ของตนเองทันที การใช้ชีวิตในฐานะของฮุ่ยชิวก็ยังคงสงบสุขไปอีกวันหนึ่ง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม