บทที่๑/๒

1712 คำ
บ้านหลังนี้เป็นบ้านไม้เก่าๆ สองชั้น ปลูกบนเนื้อที่กว้างเพราะเป็นที่ดินเดิมของต้นตระกูล พ่อของตีรณาเป็นครูสอนศิลปะที่เกษียณตนเองออกมาทำงานที่ใจรัก สอนเด็กวาดรูปโดยไม่คิดค่าตอบแทน แม่ก็เป็นครูศิลปะที่ลาออกมาเป็นแม่บ้าน ดูแลลูกและทำงานที่ใจรัก ตัวเขาเองนอกจากเป็นเพื่อนกับลูกสาวแล้ว ยังฝากเนื้อฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของพ่อกับแม่เธออีกด้วย เขาชอบการวาดรูปและถ่ายภาพ แต่ครอบครัวบังคับให้เรียนเกี่ยวกับการเงินการบัญชีเพื่อจะได้ช่วยงานของครอบครัว ครอบครัวพ่อค้าของเขาประกอบด้วยพ่อและพี่ชายที่ช่วยกันดูแลร้านค้าวัสดุก่อสร้างแบบครบวงจร ผู้ค้ารายใหญ่ที่สุดในจังหวัดกิจการเจริญรุ่งเรืองมาแต่รุ่นปู่ เมื่อพี่ชายเข้าไปช่วยบริหารก็ยิ่งเจริญรุดหน้า เรียกว่าตระกูลเขาเวลานี้ติดอันดับเศรษฐีใหม่ของเมืองไทยเลยทีเดียว เขาจึงไม่จำเป็นต้องเข้าไปช่วยงาน เขาขอทำในสิ่งที่ใจรัก เรียนวาดรูปกับพ่อของตีรณาที่เขาเรียกว่าพ่อครู เรียนทำอาหารจากแม่ครูหรือแม่ของตีรณา และติดสอยห้อยตามเธอไปถ่ายรูปหากมีงานว่าจ้างเข้ามา แม้ไม่มีค่าตอบแทนแต่เขาก็ยังตามเธอไป จนบางครั้งบางคราก็ได้รับคำแนะนำและให้ลองทำงาน มันเป็นประสบการณ์ที่เขาต้องการสั่งสมและยินดีเป็นอย่างยิ่ง สัภยาแวะล้างมือที่ก๊อกน้ำข้างนอกเรือนไม้ ที่ต่อไว้เพื่อความสะดวกในการรดน้ำต้นไม้ ผักสวนครัว ที่เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมยามว่างของพ่อครูแม่ครู รวมถึงการเลี้ยงเป็ดไก่ ที่ปล่อยไว้ในอาณาเขตอย่างอิสระ เมื่อล้างมือฟอกสบู่จนคิดว่าสะอาดที่สุดแล้ว เขาก็เดินเข้าไปในเรือนครัว ซึ่งเป็นห้องโถงมีหน้าต่างประตูมุ้งลวดกันแมลงอย่างดี “หอมจังครับแม่ครู ให้ผมช่วยทำอะไรแลกข้าวแลกที่ซุกหัวนอนอีกสักคืนไหมครับ” สัภยาสับยอกหญิงวัยกลางคนร่างสมส่วน ใบหน้าแม่ครูแต่งตึงก็จริง แต่ผมบนศีรษะกลับเป็นสีดอกเลาทั้งหัว คงจะเข้ากันดีกับผมขาวโพลนของพ่อครู และเหมือนกันตรงที่ผมยาวๆ ของทั้งคู่จะเกล้ามวยสูงเอาไว้ตลอดเวลา ญาดา หรือแม่ครูของสัภยาหันมายิ้ม ก่อนพยักหน้าเป็นสัญญาณ แล้วบอกว่าจะให้เขาช่วยทำอะไรบ้าง “ล้างมือมาแล้วใช่ไหมพญา งั้นมาเด็ดใบโหระพา หั่นใบมะกรูดเป็นฝอย แล้วหั่นพริกชี้ฟ้า เตรียมไว้ให้แม่ครูทำห่อหมก” “ว้าว! ห่อหมกทะเลหรือเปล่าคะ แม่” เสียงตื่นเต้นของตีรณาดังขึ้น ก่อนที่จะแทรกตัวผ่านประตูเข้ามา แต่ก็ต้องหน้าง้ำเล็กน้อยเมื่อคำตอบผิดไปจากที่ตนคิด “ห่อหมกปลาช่อนนะตี ทำไมลูกอยากกินห่อหมกทะเลหรือจ๊ะ” ญาดาถามกลับ แต่คนหน้างอเล็กน้อยส่ายหน้า “ห่อหมกอะไรตีก็ทานได้ค่ะแม่ แค่แปลกใจปกติแม่ชอบทำห่อหมกทะเล แต่วันนี้ทำไมทำปลาช่อน” “ก็คนไม่ชอบอาหารทะเลยืนอยู่ตรงนี้ยังไงละ” ญาดาบอกแล้วบุ้ยไปทางสัภยาที่กำลังทำงานตามสั่งอย่างขะมักเขม้น เมื่อมีการเอ่ยถึงเขา ชายหนุ่มก็หันไปยิ้มกับตีรณา แต่ให้ดิ้นตาย เธอคิดว่าเห็นแววล้อเลียนในตาเขา จนอดรนทนไม่ได้เดินเข้าไปตบปากจนรอยยิ้มปลิว “อุ้ย! ป้า เล่นแรงอีกแล้ว” “แกยิ้มล้อฉัน ตบให้ปากห้อย” ตีรณายังไม่ยอม พร้อมเงื้อมือขึ้นอีกครั้ง “แม่ครูช่วยผมด้วย ป้าแกวัยทองก่อนเวลาอันควร ดุจริงๆ” สัภยาวิ่งไปหลบหลังญาดา ปากร้องขอความช่วยเหลือ ญาดามองลูกสาวแล้วส่ายหน้า ตนเห็นสองคนนี้หยอกเย้ากันรุนแรงจนชินตา แต่ความรุนแรงนั้นเกิดจากลูกสาวของตนฝ่ายเดียว ถึงพร่ำสอนสั่งอย่างไรตีรณาก็ไม่ปรับเปลี่ยนตนเอง แต่จะว่าไปแล้วลูกสาวจะห้าวและหยอกล้อรุนแรงเฉพาะกับสัภยาเท่านั้น ต่อหน้าคนอื่นก็วางตัวปกติเหมือนสตรีทั่วไป แต่อาจจะไม่เรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้เท่าไหร่ก็แค่นั้น “สองคนนี้ทะเลาะกันเหมือนเด็กๆ ไม่เอาแล้วลูก พญากลับไปทำงาน ตีมาช่วยแม่กลัดกระทงใบตอง” “แม่ครูใช้คนผิดแล้ว ป้าแกทำไม่เป็นหรอก เดี๋ยวผมช่วย” “แสนรู้ ไปทำงานของแกเลย ฉันทำเอง ทำได้ และทำสวยด้วย ขอบอก” ตีรณาเชิดหน้าใส่เมื่อผลักอกสัภยาออกห่าง แล้วลงมือกลัดกระทงใบตองไว้ใส่ห่อหมก คนถูกไล่ถอยกลับไปทำงานของตน แต่เหลือบตามองตีรณาเป็นระยะ จนงานของตนเองเสร็จก็ขยับไปยืนชิดมองหญิงสาวกลัดใบตองเป็นกระทงด้วยความชำนิชำนาญอย่างทึ่งๆ จากทีแรกจะยื่นมือเข้าช่วย แต่เมื่อเห็นความคล่องแคล่วก็ล้มเลิกความตั้งใจ ยืนมองเฉยๆ จนตีรณาแหวใส่ “ยืนเป็นหัวตอเลย ไม่คิดจะหยิบจับช่วยกันหรือยังไง” “โวะ! พอจะช่วยก็ว่า ไม่ช่วยก็ด่า ป้านี่วัยทองจริงๆ จังๆ แล้วมั้ง” สัภยาย้อน แต่ก็เดินเข้าไปช่วยหยิบจับ ทว่ากลายเป็นเกะกะจนมือชนกัน มีดที่ใช้เจียนใบตองร่วงตกพื้น สัภยาก้มลงไปหยิบ แล้วชะงักมือเมื่อเห็นเท้าฝั่งตรงข้ามโต๊ะ เท้าเปลือยเปล่าคู่นั้นสวมกำไลที่ข้อเท้าข้างขวา ใครวะ! คำถามแรกเกิดในทันที สัภยาเงยหน้าขึ้นมองเดี๋ยวนั้น แต่ฝั่งตรงข้ามว่างเปล่า ไม่มีคนยืน แม่ครูก็ขยับมายืนใกล้ตีรณาเพื่อเรียงใบโหระพาลงก้นกระทงแล้ว เพื่อความแน่ใจสัภยาก้มลงไปมองลอดโต๊ะอีกครั้ง ครานี้พบแต่ความว่างเปล่า “อะไรนายพญา ก้มๆ เงยๆ อยู่ได้” ตีรณาอดถามไม่ได้ เวลานี้เธอกลัดกระทงเสร็จแล้ว กำลังช่วยมารดาเรียงใบโหระพารองก้นกระทง ส่วนญาดาเปลี่ยนไปเป็นคนตักห่อหมกที่ผสมกันได้ที่แล้วมาหยอดในกระทง แล้วเรียงในลังถึงอย่างเป็นระเบียบ สัภยาไม่ตอบ พูดไปก็คงไม่มีใครเชื่อ เพราะในเรือนครัวก็มีกันแค่สามคน ไม่เห็นมีใครใส่กำไลข้อเท้าสักคน เขาสรุปว่าตัวเองตาฝาด แล้วขยับมาช่วยยกลังถึงที่วางกระทงห่อหมกจนเต็มแล้ว “ระวังอย่าให้ตะแคง เดียวมันจะหกเลอะเทอะ เอามาวางบนหม้อน้ำเดือดนี่เลยจ้ะ ขอบใจมากนะพญา” ญาดากำกับทุกย่างก้าว ชื่นชมความมีน้ำใจของชายหนุ่มผู้ซึ่งเป็นแขกประจำของบ้าน เรียกได้ว่าสัภยามาอยู่ที่บ้านหลังนี้จนเกือบเหมือนสมาชิกคนหนึ่งไปแล้ว แต่ใช่ว่าสัภยาจะมาอยู่ฟรีกินฟรีแล้วได้วิชาความรู้ฟรี เขาซื้อเครื่องอุปโภคบริโภคเข้าบ้านแทนการให้เงิน เพราะตนและสามีไม่เคยรับ ที่สอนวาดรูปให้เขาก็สอนด้วยใจเหมือนสอนเด็กที่อยากเรียนรู้โดยไม่คิดค่าตอบแทน แค่ได้เห็นผลงานของศิษย์ก็ชื่นใจ เด็กหลายคนที่มาเรียนวาดรูปที่นี่ ฝึกฝนและพัฒนาฝีมือจนมีผลงานส่งเข้าประกวดและได้รางวัลมานักต่อนัก แม้ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังระดับประเทศ แต่ก็มีผลงานไปวางขายแล้วมีคนสนใจซื้อหาไปประดับตกแต่งบ้าน เด็กได้ค่าขนม ตนสองคนได้ความภูมิใจ “ที่เหลือนี่ละแม่” ตีรณาที่ลังเลว่าจะเรียงใบโหระพาลงก้นกระทงต่อหรือไม่ ถามเพื่อความกระจ่าง “ก็ทำให้หมดเนื้อปลาที่ผสมไว้นี่แหละ ตี” “ทำไปไหนเยอะแยะคะแม่” เธอคิดว่าแค่ลังถึงที่นึ่งอยู่ก็มากพอแล้วสำหรับสมาชิกในครอบครัวรวมถึงคนกินจุอย่างสัภยา แต่นี่แม่จะให้ทำต่อ จากการประมาณด้วยสายตา ตีรณาคิดว่าน่าจะใช้ลังถึงอีกสองลังทีเดียว และผู้เป็นแม่ก็ให้คำตอบ “พรุ่งนี้วันพระ จะได้แบ่งเอาไว้ไปวัด แล้วตอนเย็นเด็กก็มาเรียนวาดรูปกับพ่อ จะได้แบ่งให้เอากลับบ้านกัน” “แม่พระ ใจบุญ” ตีรณารู้ว่าตนไม่ได้ประชด แม้คำพูดจะดูเหมือนประชด เธอแค่เย้าเล่น แต่คนที่ย้อนเธอกลับไม่ใช่แม่ แต่เป็นสัภยา “แม่ครูนะแม่พระ ใจบุญ ไม่เหมือนป้าหรอกที่ทั้งงก ทั้งใจร้าย เฮ้ย! อย่านะ” สัภยารีบเผ่นหนีเมื่อตีรณาเงื้อฝ่ามือขึ้นสูง “ตี เอะอะก็ลงไม้ลงมือ ไม่ไหวนะลูก” “ก็แม่ดูมันว่าตีสิ” “ว่าที่ไหน ชมว่างกต่างหาก” สัภยายังลอยหน้าลอยตาบอก พร้อมหัวเราะร่วนเมื่อตีรณาแยกเขี้ยวยิงฟันใส่ เสียงข่มขู่ ต่อกรดังอีกระยะจนญาดาเอ่ยอย่างอ่อนใจ “สองคนนี้เป็นอะไรนะ ชอบทะเลาะกันอยู่เรื่อย เจอหน้ากันพูดดีๆ กันไม่ได้เลยหรือยังไง” แม้ไม่ได้ใช้น้ำเสียงที่บอกว่าอารมณ์เสีย แต่คนถูกปรามทั้งสองก็รีบเอ่ยขอโทษขึ้นพร้อมกัน “ขอโทษค่ะแม่” “ขอโทษครับแม่ครู” แล้วสองคนก็หันไปย่นจมูกใส่กัน ตีรณาชี้นิ้วคาดโทษแล้วนำมาทำท่าปาดคอ สัภยารีบกุมลำคอตนเองเหมือนถูกเธอปาดเอาอย่างไรอย่างนั้น แล้วทำทีทรุดลงกับพื้น จนญาดาอดยิ้มระอากับความขี้เล่นของเขาไม่ได้ สายตาสัภยาที่มองไปข้างหน้ามีแววแปลกใจผ่านเข้ามา ก่อนจะลุกพรวดขึ้นยืน แต่สายตายังจ้องไปยังจุดเดิมเมื่อครู่ ท่าทางแปลกๆ ของเขาทำให้ตีรณาสงสัย หญิงสาวเดินเข้ามาใกล้ ขยับปากถามเบาๆ “มีอะไร” “เปล่าครับ” สัภยาส่ายหน้า เขาจะบอกได้อย่างไรว่าเห็นเท้าสวมกำไลอยู่ด้านหลังตีรณา
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม