ตอนที่ 3 รักต้องรุก คูณสองยกกำลังสี่ไปเลย(2)

2575 คำ
“แต่ตอนนี้เราได้เจอกันแล้ว ถ้าแลกเบอร์กันไว้ น่าจะไม่เป็นไรใช่ไหมครับ ผมย้ายมาปักหลักอยู่ที่นี่ เผื่อวันหน้ามาเที่ยวอีก โทรหาผมให้ไปรับไปส่งที่สนามบินได้ ผมยินดี” เขามือสั่น ตอนที่ล้วงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกง สังเกตพฤติกรรมหญิงสาวว่าอยากแลกเบอร์ไหม ถ้าไม่ จะได้รีบเก็บ ไม่ทำให้มิริณอึดอัดที่ถูกผู้ชายอายุมากกว่ายี่สิบปีมาวุ่นวาย “มิร้อนค่ะ อยากได้เครื่องดื่ม กับอยากนั่งพัก พอจะมีที่ให้นั่งไหมคะ แล้วค่อยแลกเบอร์ กับแลกไลน์ไว้ด้วย” มิริณในตอนนี้แสบผิวและกระหายน้ำ อยากได้ผู้ชาย แต่อยากดื่มน้ำกับทาครีมกันแดดมากกว่า กวาดสายตามองรอบร้านลูกค้ายังแน่นเหมือนเดิม กลุ่มคนที่มาก่อนก็ยังไม่ได้โต๊ะ ถ้าให้รอนานกว่านี้ คุณจิก็คุณจิเถอะ มิริณขอกลับไปตั้งหลักใหม่ค่อยกลับมาอ่อยต่อวันหลัง ยังไงก็ตั้งใจจะอยู่ยาวไปอีกหนึ่งเดือน มีเวลามาใหม่หลายครั้ง “ถ้าไม่รังเกียจโต๊ะ Owner ก็มานั่งกับผมได้” “ตรงไหนคะ นำเลย มิไม่ไหวแล้ว” ณ ตอนนี้ ยื่นเสื่อมาให้หนึ่งผืนหล่อนก็พร้อมจะเอามาปูนั่ง จิรัชพาอดีตเลขาฯ สาวมานั่งหลังเคาน์เตอร์บาร์ คนละฝั่งกับบาร์เทนเดอร์ที่ทำเครื่องดื่มให้ลูกค้าไม่ได้หยุดพัก มีความเป็นส่วนตัวเล็กน้อยจากชั้นวางเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ออกแบบมาเพื่อความสวยงามของร้าน มิริณถูกสาวๆ หลายคนที่ดาหน้าเข้ามาจีบเจ้าของร้านมองแรงตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามา จนกระทั่งหล่อนเข้ามานั่งตัวติดกับเขา มิริณจับสังเกตได้ว่าถูกจ้อง แต่ไม่รู้ว่าเหตุผลคืออะไร และจิรัชไม่คิดจะอธิบายให้เสียเวลา เขาไม่เคยสนใจผู้หญิงคนไหน ไม่เคยให้ความหวังใคร จึงไม่มีความจำเป็นใดจะต้องแคร์คนอื่น “น้ำมะพร้าวเพื่อความสดชื่นครับ ไว้รู้สึกดีขึ้นแล้วอยากจะลองเมนูอื่น ผมจะทำให้ด้วยตัวเอง” เจ้าของร้านยกมาบริการ “ขอบคุณค่ะ” มิริณรับมะพร้าวทั้งลูกมาดื่มเรียกความสดชื่นกลับคืนมา “ชื่นใจจังเลยค่ะ มินึกว่าจะต้องตายซะแล้ว ร้อนจนเกือบจะเป็นลม” ได้เข้าร่ม ได้ดื่มเครื่องดื่มดับกระหาย อาการเมาแดดในตัวมิริณลดน้อยลง หญิงสาวพูดคุยด้วยลักษณะท่าทางสบายๆ ขณะบีบครีมกันแดดทาทับไปบนผิวหน้า และใช้อีกหลอดมาทาทั่วร่างกาย เริ่มจากต้นคอมาถึงเนินอก ออกข้างไปท่อนแขนเรียว ท่อนขาสองข้าง ไม่มีความรู้สึกเหนียมอายเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากเมื่อมาเที่ยวทะเลมิริณใส่บิกินีเป็นปกติอยู่แล้ว “กิจการคุณจิดีจังเลยนะคะ ลูกค้าแน่นจนต้องรับบัตรคิว เปิดนานหรือยังคะ มิไม่รู้ข้อมูล ถือโอกาสถามจากเจ้าของร้านเลยนะคะ” “ยังไม่ถึงเดือนเลยครับ เปิดวันที่...” เขาบอกวัน “น่าจะสามสัปดาห์ได้แล้ว วันแรกเหงามาก เพิ่งจะเยอะขึ้นช่วงสัปดาห์นี้ ระบบหลังร้านยังไม่ดี วุ่นวาย หลายอย่างไม่ลงตัว ยังงงๆ ไปบ้าง ผมลงมาดูแลร้านเองหลายวันติดต่อกันเข้า ก็เริ่มเหนื่อย” “ไม่มีผู้จัดการร้านเหรอคะ น่าจะช่วยทุ่นแรงคุณจิได้ เท่าที่มองคร่าวๆ เหมือนจะมีแค่พนักงานทั่วไป” มิริณสายตาเฉียบขาด ถึงจะอายุยังไม่มาก แต่หล่อนทำงานตำแหน่งสูงในบริษัทระดับประเทศ การศึกษาสูง มีความสามารถ มีความมั่นใจในตัวเองสูง สามารถทำงานหลายอย่างแทนจิรัชได้ “ยังไม่มีครับ อย่างที่บอกไป ว่าระบบหลังร้านยังไม่เข้าที่” “ขาดหลายตำแหน่งเลยนะคะ ลงทุนจ้างเพิ่มสักหน่อย อาจช่วยเพิ่มยอดขาย และดูแลลูกค้าได้ทั่วถึงมากกว่านี้ ถ้าบริหารให้ดีแต่แรก ลูกค้าติดใจเอาไปรีวิวต่อ น่าจะไปได้สวยในระยะยาวนะคะ คุณจิก็ไม่ต้องเหนื่อยลงมาดูแลร้านเองทุกวัน” เรียวขางามยกขึ้นไขว่ห้าง พร้อมกับยกลูกมะพร้าวมาจิบ สังเกตรอบร้านอีกครั้งเริ่มจากทางเข้าฝั่งถนน ซึ่งอยู่ลึกจากถนนใหญ่เข้ามาเล็กน้อย ต้องขับรถเข้ามาจอดไว้แล้วเดินตามทางลงมาจนถึงจุดนั่งพักสำหรับรอรับคิว ภายในร้านมีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่ง เปิดโล่งรับลมจากทะเล เต็มทุกโต๊ะ ไปจนถึงด้านนอกที่มีซุ้มให้นั่งชิลล์ กับเปลชายหาด ซึ่งทั้งหมดถูกจับจองเต็ม บนเคาน์เตอร์มีรายการเครื่องดื่มกับเมนูอาหาร มิริณคว้ามาอ่าน “เมนูอาหารก็น้อยไปหน่อยนะคะ เมืองชายทะเล คนต่างชาติเยอะ ถ้าเพิ่มเมนูจำพวกพิซซา ฟาสฟู้ดน่าจะขายง่าย เพิ่มตำแหน่งพนักงานในครัวแล้วเพิ่มเมนูเข้าไป ขายอาหารให้ลูกค้าสักครึ่งหนึ่งของที่มาในวันนี้ รายรับในร้านต่อวันน่าจะหลายแสนเลยนะคะ เมนูมีเยอะแค่เครื่องดื่ม แต่เอ๊ะ ก็น่าจะโอเคหรือเปล่าคะ เพราะคุณจิเปิดบาร์ ไม่ใช่คาเฟ่” จิรัชชอบความคิดหญิงสาว สมกับเป็นเวิร์คกิ้งวูเมน ถ้าได้หล่อนมาช่วยทำงานก็คงดี แต่จะมาเหรอ ร้านเขามันก็แค่ร้านเล็กๆ “พอถูกคุณทัก ผมเริ่มเปลี่ยนใจนิยามให้ร้านเป็นคาเฟ่มากกว่าบาร์ เคยคิดนะ กลางวันให้เป็นคาเฟ่ กลางคืนให้เป็นบาร์ เปิดสองกิจการไปเลย แต่ผมแก่แล้ว ดูแลคนเดียวไม่ไหว เลยต้องตัดใจเปิดแค่ตอนกลางวัน” “ทำไมถึงพูดว่าทำคนเดียวล่ะคะ แฟนคุณจิไม่มาช่วยทำงานเหรอ” กรรมจะตามสนองไหมนะมิเอ๋ย ตอนเขาถาม หล่อนไม่ยอมตอบ ตอบหน่อยเถอะน่า นะ จะได้รู้ ว่าที่ลงทุนใส่บิกินีผ่านนรกสองขุม ขุมละกิโลเนี่ย มันคุ้มค่าหรือเปล่า หรือจะต้องบอกลาเขา กลับไปนอนตรอมใจในห้อง แล้วโทรบอกน้ามีมี่ว่าไม่อยู่ครบเดือนแล้ว จะกลับกรุงเทพฯ พรุ่งนี้ “ทำงานกับผมมาเกือบสิบปี คุณเคยเห็นผมมีแฟนด้วยเหรอครับ” เจ้าของบีชบาร์ตอบโดยแสร้งมองไปทางอื่น เสียงเพลงในร้านค่อนข้างดัง แต่เพราะเก้าอี้ของพวกเขาอยู่ติดกัน การพูดคุยโทนเสียงปกติจึงเพียงพอต่อการได้ยินทั้งสองฝ่าย “แต่มิก็ไม่ได้ทำงานกับคุณจิมานานแล้วนะคะ ตั้งเกือบสองปี” “สิบปีก่อนผมเป็นยังไง ตอนนี้ผมก็ยังเหมือนเดิม” “มิก็ไม่มีแฟนเหมือนกันค่ะ โสดสนิท แถมยังตกงานอีกด้วยค่ะ มิทำงานที่ไหนก็ได้ ถ้าจะขอสมัครตำแหน่งผู้จัดการ มิใช้เส้นได้เลย หรือต้องยื่นเรซูเม่ให้คุณจิพิจารณาเหรอคะ” หน้าแตกเลยจิเอ๊ย มิก็ไม่มีแฟนเหมือนกันค่ะ เผลอดีใจไปกับประโยคนั้น เข้าใจผิดคิดว่าหญิงสาวคิดเกินเลยกับเขา แต่มิริณจะสื่อว่าหล่อนสามารถย้ายไปทำงานได้ทุกที่ในประเทศไทย เพราะไม่ต้องกลับไปหาแฟน หัดเจียมเนื้อเจียมตัวบ้างเถอะจิ แก่ก็ต้องอยู่ส่วนแก่ “น่าจะจ่ายเงินเดือนให้คุณไม่ไหว ร้านผมเพิ่งเปิด ลงทุนไปเยอะ อาจจะไม่มีเงินเหลือไปจ่ายเงินเดือนให้คุณ เท่ากับที่คุณเคยได้รับ แต่ถ้าสนใจจริง หลังแลกไลน์กันแล้ว ผมจะส่งลิ้งก์ให้คุณลองเข้าไปอ่าน ถ้ารับเงินเดือนที่ผมตั้งไว้ได้... แต่มันก็น้อยอยู่ดี คุณอย่าสมัครเลย ผมเกรงใจ” “น้อยสุดที่มิรับได้นะคะ สองหมื่นห้าค่ะ” เพื่อผู้ชาย ลดแลกแจกแถมยิ่งกว่าสินค้าใกล้จะหมดอายุ ทั้งที่มดลูกก็ยังไม่ได้เหี่ยวขนาดนั้น มิริณต้องทำใจก่อนพูด เพราะรายรับทุกเดือนเยอะกว่านั้นหลายเท่า ไม่รวมส่วนแบ่งกำไรจากบาร์โฮสต์ที่ได้รับจากน้ามีมี่ทุกเดือน “ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะครับ คุณไม่พอใช้หรอก” “มิไม่ได้ล้อเล่น มิว่า มันก็ไม่ได้น้อยเกินไปนะคะ มิพอใช้ค่ะ” จิรัชไม่รู้จักพื้นเพหญิงสาว แต่มิริณมีไลฟ์สไตล์ที่ดีมาก หล่อนขับเบนซ์มาทำงาน สะพายกระเป๋าที่อาจจะไม่ได้แพงมาก แต่แบรนด์เนมทุกใบ แต่งตัวสวย เครื่องสำอาง ครีมบำรุงผิวเท่าที่เคยเห็นล้วนแล้วแต่ซื้อจากเคาน์เตอร์แบรนด์ ไม่รวมน้ำหอมกลิ่นโปรดของหล่อน ที่เขาเคยซื้อให้เป็นของขวัญปีใหม่ ปีที่แล้วตอนที่ไปประชุมที่ปารีส ราคาขวดละเกือบหนึ่งหมื่น แพงกว่าของเขาอีก จึงไม่อยากจะไปลดคุณภาพชีวิตของหล่อนให้มารับเงินเดือนน้อยกว่าค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน “สำหรับคุณ ผมให้ได้มากกว่านั้น แต่อยู่ที่นี่ไม่ได้สะดวกสบายเลยนะ มันสบายแค่ตอนเที่ยว ไม่ใช่ตอนย้ายมาอยู่จริง จะกินข้าวต้องออกไปข้างนอก ที่พักดีๆ ก็อยู่ไกล คุณไม่มีรถส่วนตัวด้วยแล้ว ใช้ชีวิตลำบากแน่ ผมดีใจอยู่นะที่คุณสนใจ แต่จะให้ผมเอาเปรียบคุณ ผมทำไม่ได้ ให้ตายก็จะไม่ยอมให้คุณมาลำบาก” “นั่นสินะคะ ฟังลำบากน่าดู หางานใหม่ทำที่กรุงเทพฯ อาจจะสะดวกสบายด้านการใช้ชีวิตมากกว่า” มิริณเก็บมาคิด “แต่ถ้าทางร้านมีสวัสดิการดีๆ ให้ อย่างเข่น ที่พักฟรี อาหารสามมื้อฟรี กินในร้านเมนูง่ายๆ ก็ได้ และดูแลเฉกเช่นญาติมิตร ในกรณีที่เจ็บป่วย มิว่า มิไหวนะคะ” “คุณอำผมอีกแล้วนะ จะเล่นหูเล่นตาให้ผมคิดจริงจังทำไม” จิรัชดุ เพราะไม่อยากให้หญิงสาวเฉลยว่าล้อเล่นอะไรทำนองนั้น เขาเป็นผู้ใหญ่ที่ค่อนข้างยึดถือคำพูด ไม่เคยพูดจาล้อเล่นกับใคร ไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว “มิไม่ได้ทำอย่างที่คุณจิกล่าวหาสักหน่อย มิก็แค่หางานทำ ถ้าตัดรายจ่ายพวกนั้นออกไป ก็จะเหลือแค่ของใช้ส่วนตัว มีไม่มาก เงินเดือนที่มิขอ มิคิดว่าอยู่ได้ แต่ถ้าสวัสดิการพวกนั้นมันมากเกินไป มิไม่ขอก็ได้ค่ะ แต่มิก็คงจะไม่ไหว ค่าเช่าคอนโดฯ ที่นี่แพงจะตาย อาหารการกินอีก มิอยู่ตัวคนเดียวนะคะ ถ้าหิวดึกๆ จะให้ไปข้างนอกคนเดียว มิก็กลัวเป็นเหมือนกันนะ ไม่อยากให้สมัคร พูดตรงๆ ก็ได้ค่ะ ไม่เห็นจะต้องทำเสียงแข็งดุมิเลย คุณจิไม่ใช่เจ้านายมิแล้วนะคะ เราสองคนเท่าเทียมกัน” “แต่ถ้าผมรับคุณเข้าทำงาน คุณก็จะกลายเป็นลูกน้องผมอีกครั้ง” “รับก่อนสิคะ แล้วมิจะยอมทำตัวเรียบร้อย อยู่ในโอวาท เป็นเลขาฯ ที่คอยดูแลเจ้านายอย่างดีเหมือนเดิม ตราบใดที่ไม่ได้อยู่ในสถานะลูกน้องหรือลูกจ้างของคุณจิ มิก็จะพูดกับคุณจิแบบนี้แหละค่ะ” เชอะ! ง้อตายแหละ มิริณสะบัดค้อนใส่จิรัชอย่างไม่แคร์ หล่อนที่สวยและเก่งมาก ยอมทำถึงขั้นลดเงินเดือนขนาดนี้แล้ว ยังจะมาดุอีก คิดว่างานหายากนักหรือไง มิริณทั้งที ดีดนิ้วทีเดียวก็หาได้ หรือถ้าไม่ได้ กลับไปเกาะน้ามี่กิน ช่วยงานในบาร์โฮสต์ยังได้เงินเยอะกว่า “เบอร์กับไลน์ค่อยแลกกันก่อนมิจะกลับนะคะ มิจะไปเล่นน้ำ ส่วนมะพร้าวเนี่ย คุณจิเลี้ยงมิหน่อยนะคะ ขนหน้าแข้งไม่น่าจะร่วง” ไม่อยากจะอยู่ใกล้หรือพูดคุยกับผู้ชายอะไรไม่รู้ ลงทุนทำถึงขนาดนี้ ทั้งยังเล่นหูเล่นตาใส่จนตาสองข้างของหล่อนจะเอียงยังสนใจอีก มีสองคำตอบเท่านั้น หนึ่งไม่รู้จริงๆ มองไม่ออก สองรู้แต่แกล้งไม่รู้เพราะไม่ได้สนใจ ดูท่า น่าจะอย่างหลังมากกว่า มิริณหยิบติดมือมาแค่แว่นกันแดดเตรียมจะลงจากเก้าอี้ทรงสูง ทว่าเอวคอดกลับถูกรวบไว้โดยท่อนแขนคุณจิรัช แต่แค่วินาทีเดียวเท่านั้น เขารีบปล่อยทันทีที่หล่อนหยุดเดิน จิรัชจับบนข้อมือให้อดีตเลขาฯ กลับมานั่งคุยกันดีๆ เด็กสาวสมัยนี้ทำไมใจร้อนนัก ยังพูดไม่จบก็งอนนำหน้าไปไกล “เรื่องอาหารไม่มีปัญหาครับ ผมไม่ได้งก จะมีปัญหาก็แค่เรื่องที่พัก” “ถ้ามิหาเองแล้วมันไกลเกินไป มิจะมาทำงานยังไงคะ รายจ่ายก็เพิ่มขึ้นสิ คุณจิพูดเอง ไม่มีรถส่วนตัวใช้ชีวิตที่นี่ลำบาก มิเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวนะคะ คุณจิเคยบอกไม่ใช่เหรอ บ้านคุณอยู่ใกล้ร้าน” “คุณเป็นผู้หญิง ผมเป็นผู้ชาย จะอยู่บ้านหลังเดียวกันได้ยังไง” “คุณจิเสียหายด้วยเหรอคะ มิยังไม่เห็นจะเสียหายเลย” ถูกย้อนประโยคเดียวในหัวจิรัชโล่งโปร่ง เขาตามความคิดของเด็กสาวสมัยนี้ไม่ทัน แต่มิริณก็ไม่ได้เด็กแล้วนะ อายุสามสิบแล้ว น่าจะคิดได้โดยไม่ต้องให้เขาพูดตรงๆ ว่าชายหญิงอาศัยอยู่ด้วยกัน ไม่เหมาะสม “คุณไม่เข้าใจ” เขาทำหน้าตาเหมือนเหนื่อยจะอธิบาย แต่มิริณเถียงกลับ “คุณจิต่างหากที่ไม่เข้าใจ” “ผมไม่เข้าใจยังไงครับ พูดกับผมดีๆ ไม่ต้องใส่อารมณ์” “ก็ไม่เข้าใจว่ามิชอบคุณ พยายามจะจีบคุณยังไงล่ะคะ! ถึงได้อยากอยู่ใกล้ๆ ไม่ว่าจะตำแหน่งไหน หรือสถานะอะไรก็ตาม คุณหายไปจากชีวิตมิตั้งสองปี คุณไม่เข้าบริษัท ไม่ออกงานสังคม หายไปอยู่ไหนก็ไม่รู้ กว่ามิจะตามหาคุณเจอในวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นะคะ คุณบอกว่าโสด มิก็อยากลองสักครั้ง คุณพูดมาตอนนี้เลยดีกว่าค่ะ ว่าชอบมิไหม ถ้าไม่ มิก็จะไม่ไปต่อ มิจะหยุดค่ะ แล้วจะไม่กลับมากวนคุณจิอีก เรากลับไปอยู่คนละโลกเหมือนเดิม เพราะแต่ไหนแต่ไร คุณจิก็ไม่เคยสนใจมิอยู่แล้ว ใช่ไหมล่ะคะ” “มิ...” ชายวัยกลางคนเกือบจะหงายหลังตกเก้าอี้ไปกับการสารภาพที่ตงฉิน และจริงจัง จะเอาคำตอบในนาทีนี้ วินาทีนี้ให้ได้ มือน้อยรุกคืบจากกางเกงขาสั้นเสมอเข่าขึ้นมาถึงชายเสื้อ จ้องหน้าเขารอคอยฟังคำตอบในระยะเผาขน หัวสมองจิรัชเคยฉลาดมาทั้งชีวิต บริหารโครงการหลักแสนล้านได้สบายๆ แต่เปลี่ยนจากเรื่องงานมาเป็นผู้หญิง เขากลับอ่อนหัดจนพูดไม่ออก นั่งนิ่งตัวแข็งเป็นหิน จับจ้องใบหน้าสวยหวานของสาวรุ่นลูกนานจนเกือบจะลืมหายใจ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม