“ไอ้ยักษ์...! มึงไปเต้นกินรำกินตามงานวัดทำเหี้ยอะไร!? บ้านช่องไม่เคยกลับ ไปอยู่กับไอ้ครูโขนนั่นอีกแล้วใช่ไหม ค่อยดูเถอะมึง กูจะตามไปถล่มแม่ง!” ถ้อยคำสบถด่าของแม่ฟาดลงพร้อมฝ่ามือพิฆาต บนแผ่นหลังของเด็กหนุ่มวัยสิบห้าปีที่ยกมือขึ้นปัดป้องกอดกุมตัวเอง
ด้วยความที่เขาเป็นเด็กตัวใหญ่หากเทียบกับเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน พ่อแม่หรือใครก็เรียกเขาว่า ‘ไอ้ยักษ์’ ใหญ่ขนาดว่าเพื่อน ๆ ที่โรงละครโขนเล็ก ๆ ของลุงก็ยังให้เขาเล่นแต่บทยักษ์
“โอ๊ย! แม่ อะไรของแม่เนี่ย มันเรื่องของผมป่ะ” ในน้ำเสียงขุ่นเคืองเถียงอย่างก้าวร้าว เด็กหนุ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง เป็นความที่ดีในมุมของตัวเขา ไม่ใช่กับแม่...
“ไอ้ห่า...! ได้แค่เศษเงิน มันพอแดกไหม มาช่วยกูส่งของให้ลูกค้านี่”
“ไม่ไป... ไม่อยากไป มาบังคับอะไร ผมโตแล้วนะไม่ใช่เด็กชาย!” เสียงตะคอกอย่างโกรธขึ้งเรียกโทสะลูกใหญ่ของหญิงอ้วนท้วม
ปั่ก! มืออวบกำหมัดแน่นฟาดเข้ากลางกระหม่อมตามด้วยลูกถีบจนเด็กชายตัวใหญ่กระเด็นไปตามแรงเหวี่ยง กระแทกเข้ากับสังกะสีของบ้านหลังเก่าซอมซ่อ
บ้านที่ไม่เคยเป็นบ้านสำหรับเขา...
ร่างกายที่มีแผลฟกช้ำคงไม่บาดเจ็บเท่าบาดแผลในใจ แต่เขาก็โดนแบบนี้มาตั้งแต่จำความได้จนกลายเป็นเรื่องปรกติ จึงแทบไม่มีเสียงร้องครวญครางแล้วเพราะมันเป็นความเคยชิน
“ถ้ามึงไม่ไป! มึงกับกูขาดกัน ไม่ต้องมาให้กูเห็นหน้าอีก ตกลงจะไปไม่ไป ไอ้ยักษ์!”
คนเป็นแม่กัดกรามกรอด ๆ กระชากเสื้อยืดสกปรกจนเกือบจะขาดคามือ ถึงอีกคนตัวสูงใหญ่กว่าหล่อนรู้ดีกว่าลูกชายไม่กล้า
“ไม่ไปโว้ย!” เขาตะคอกกลับ แววตากร้าวฉายแววเกรี้ยวโกรธ เมธพนธ์ไม่ใช่คนที่จะยอมใครทุบตีนอกจากแม่... เขายังไม่เคยเชื่อฟังใครนอกจากครูนพ
“แม่จะไปส่งยา ไปเสี่ยงคุกตารางก็ไปกันเอง ผมไม่ไป...!” มือสะบัดพันธนาการออกอย่างดื้อดึง กระแทกเท้าปึงปังหนีไป โดยไม่ฟังเสียงกร่นด่าตามไล่หลัง
“ไอ้ลูกทรพี! มึงมันเลี้ยงเสียข้าวสุก กูไม่น่าเบ่งมึงออกมาเลยจริง ๆ ไอ้เมธพนธ์!”
ความทรงจำเลวร้ายในวันวานไม่ใช่เรื่องน่าจดจำแต่เขาก็นึกถึงมันอยู่เสมอ...
นัยน์ตาคู่คมเข้มทอประกายกร้าวโกรธรับแสงอรุณ กระแสลมพัดอ่อน พื้นหญ้าสีเขียวรายล้อมรอบด้วยทิวทัศน์ภูเขากว้างพาอากาศสดชื่นเย็นสบาย
ร่างสูงสง่าไพล่มือทั้งสองไว้ข้างหลัง ทอดมองภาพเบื้องหน้าสายตาอย่างเจ็บแค้น ราวกับว่ามีเปลวไฟลูกหนึ่งในดวงตา...
กลิ่นเหล้าบุหรี่คละคลุ้งในห้องมืด เชือกเส้นหนา ๆ กับถ้อยคำหวานของคำว่า ‘รัก’ ที่สร้างบาดแผลไปทั่วจนไม่เหลือพื้นที่ให้ความเจ็บปวดทรมาน นั่นคือความรักที่เขารู้จักมาตั้งแต่ลืมตาดูโลก...
กลิ่นน้ำโคลนเน่า เสื้อผ้าขาด ๆ ความหิวโหยในสลัม บ่อนพนัน ยาเสพติด คำด่าทอและความรุนแรงในครอบครัว ในทุกครั้งที่ถูกทำร้ายด้วยความรัก เขาจะได้รับการปลอบประโลมที่ดีที่สุดเสมอ
องุ่น... เป็นอาหารที่ดีที่สุดจากแม่
พื้นที่กว่าร้อยไร่ เขาคิดว่ามันใหญ่... มากพอจะปลูกอะไรมากกว่าองุ่น
แต่เขาก็แค่ปลูกเจ้าพืชไม้เลื้อยพันธุ์เดียว ที่เหลือคือรีสอร์ต แคมป์นอนชมฟาร์ม เวทีแสดงสัตว์แสนรู้ ใหญ่ที่สุดในอีกฝั่งหนึ่งคือร้านอาหารสไตล์โมเดิร์นลอฟท์บ้านสวนดูหรูหราไฮโซ
เพราะแม่ของเขาชอบองุ่น... เหตุผลมันก็เท่านั้น
“นายหัว... เอ่อ ไม่ไปทำบุญให้พ่อแม่นายหน่อยหรือครับ?” เสียงของลูกน้องคนสนิทขัด แม้ไม่อยากรบกวนเวลาฟุ้งซ่านของนายที่ยืนดูไร่อยู่เงียบ ๆ ลำพังมาสักพัก
วันนี้เมธพนธ์อยู่ในเชิ้ตและกางเกงสีดำสนิท เตรียมตัวที่จะไปคุยธุรกิจกับหุ้นส่วนกาสิโน ไม่ใช่ว่าจะไปงานศพหรือไว้อาลัยวันครบรอบเสียชีวิตของใคร
“ฉันไม่เข้าวัด” น้ำเสียงราบเรียบเย็นชาเอ่ย อีกคนถึงกับต้องรวบรวมความกล้าด้วยหวังดี
“บ้านเด็กกำพร้า... ก็ได้นะนายหัว... ไปทำบุญกัน”
ชายหนุ่มหันไปบอกชัด ๆ ทีละคำ “กู ไม่ ไป”
น้อยครั้งที่ผู้ชายสุภาพร้ายกาจจะขึ้นกูมึง เมธพนธ์ถึงชอบจิกกัดแต่เขาก็พูดจาไพเราะ เหมือนลูกน้องที่มีความอดทนสูงมาก
“โอนเงินบริจาค... ออนไลน์ลดหย่อนภาษีได้...”
“ไอ้วิทย์... มึงอยากกินตีนกูไหม?”
วิทยาฉีกยิ้มกว้างตอบอย่างกวนประสาท “ไม่อ่ะ... ตีนนายไม่อร่อย ไม่เหมือนตีนไก่ ตีนสาว ๆ หวานอร่อย...”
“งั้นเหรอ...?” ในเสียงกร้าวก็อย่างนั้น เจ้านายมอบลูกถีบให้เข้าทีหนึ่งจนกางเกงสีดำเปื้อนรอยเท้าเข้า ก่อนที่ลูกน้องหนุ่มจะสาวเท้าหนีและถูกไล่ตามอย่างบ้าคลั่ง
ในฟาร์มแห่งนี้คงมีแค่นายวิทยาที่ไม่รักตัวกลัวตาย กล้าหยอกแหย่นายหัวอยู่เป็นประจำ ชายหนุ่มเองถ้าได้โมโหแล้วล่ะก็คงต้องเอาเลือดหัวใครสักคน อาจเป็นเพราะว่าเขาถูกเลี้ยงดูมาอย่างนั้น
“ไอ้วิทย์! มึงมานี่ซะดี ๆ”
“ผมยอมแล้วนาย ไม่เอาน่า... อย่าหงุดหงิด ใจเย็น ๆ” คนพูดหัวเราะ ยกมือโบกไปมาเหมือนเป็นเรื่องตลก ขณะที่เจ้านายโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง พยายามวิ่งไล่จับวิทยาซึ่งว่องไวอยู่พอตัว
“ฝากไว้ก่อนเถอะมึง!” เสียงตะคอกพลันกัดกรามกรอด ๆ ก่อนที่เขากระแทกเท้าปึงปังบนพื้นหญ้าไปอย่างอารมณ์เสีย เพราะว่าคงทำอะไรมันไม่ได้...
ทีแรกวิทยามาทำงานที่ฟาร์มผ่านบริษัทรักษาปลอดภัย บอดี้การ์ดวีไอพี นับได้ถึงตอนนี้ไม่มีลูกน้องคนไหนรู้ใจและซื่อสัตย์ไปกว่า วิชาป้องกันตัว พละกำลัง ความฉลาดของลูกน้องคนนี้ยังนับเป็นที่หนึ่ง บางครั้งเขาจึงแทบไม่อยากมีเรื่องกับมันเลย
รถสปอร์ตหรูแล่นไปอย่างรวดเร็วจากปลายเท้าที่เหยียบคันเร่งแรง จากฟาร์มองุ่นถึงร้านอาหารโดยใช้เวลาไม่กี่นาที
ร้านอาหารประจำฟาร์มแห่งนี้ เจ้าของไร่องุ่นได้ทำการจ้างสถาปนิกส่วนตัวออกแบบตามใจชอบ ด้วยความเป็นคนชอบอนุรักษ์ข้าวของโบราณ
ภายในร้านวันนี้ผู้คนบางตา โต๊ะเก้าอี้โซฟาแบบเก่าทว่ามันถูกออกแบบให้ใหม่ด้วยสีขาวดำสะดุดตา มีลูกค้าของโรงแรมอยู่เพียงสองโต๊ะ เบาะนุ่มสีครีมอ่อนเข้ากันกับผนังอิฐดินเผากับพื้นปูน กระจกบานใหญ่สามารถเปิดได้สุดเพื่อรับลมเย็น ๆ จากภายนอก ได้กลิ่นอายของธรรมชาติอย่างเต็มที่
ชายหนุ่มมาถึงก็ตรงไปกระแทกก้นนั่งลงด้านในสุด หยิบงานขึ้นมาทำผ่านโทรศัพท์จอใหญ่ในมือ โดยมีวิทยาตามมาในอีกไม่ถึงสิบนาที หลังถูกทิ้งไว้แม้ขาไปจะไปด้วยกัน
“นายทำไมใจร้ายจัง ขับรถหนีมาคนเดียวเฉย... ฟาร์มไม่ใช่เล็ก ๆ กะจิตกะใจให้ผมขับรถกอล์ฟมาเนี่ยนะ”
“ใครใช้ให้แกตามมาล่ะ?”
วิทยาเบะปากทำตัวเป็นเด็ก นั่งลงในฝั่งตรงข้าม “กินข้าวยังครับ วันนี้นายจะเอาอาหารคลีนไหม? ผมไปสั่งให้”
“ไม่... กินเวย์แล้ว ไม่หิว”
ถึงพ่อครัวที่นี่จะฝีมือดีขนาดไหน หากเขาหมดอารมณ์รับประทานอาหารแล้วก็คงไม่... โปรตีนกระปุกของนักบริหารกล้ามให้พลังงานแทนข้าวมื้อหนึ่งได้แต่ก็คงไม่พอสำหรับผู้ชายตัวโต
“โธ่... นายนะนาย ผมไม่ได้อยากเซ้าซี้เลย แค่อยากจะให้ทำบุญทำทานบ้าง นอกจากทำกับน้อง ๆ หนู ๆ”
“เฮอะ! อยากทำก็ไปทำคนเดียวสิวะ” คราวนี้เจ้านายแค่นยิ้มประชดประชัน วิทยาฉลาดพอรู้ว่าจะทำอย่างไรให้นายอารมณ์ดี
“งั้นไวน์สักแก้วให้ชื่นใจละกัน พร้อมกับแกล้ม ผมจัดให้... เรายังมีเรื่องต้องคุยกัน” พูดจบร่างสูงในสไตล์การแต่งตัวคล้ายคลึงกันกับเจ้านาย หมุนกายไปหน้าบาร์เครื่องดื่ม เปิดตู้ไวน์ในส่วนที่แช่ไว้สำหรับเจ้าของมาดื่มสังสรรค์