chapter 6

1680 คำ
“พี่อริสหัวเราะใหญ่เลย... หัวเราะท้องแข็งขนาดนั้นคุยอะไรกัน?”            “นี่... พาย” บ่ามนถูกสะกิดด้วยปลายนิ้วชี้ที่แตะลงหลายครั้ง หญิงสาวแค่ปัดออกไปเหมือนปัดแมลงวันตอม            “อย่าเพิ่งกวนค่ะอาภพ พายกำลังใช้สมาธิขั้นสุดยอด ถ้าพายเป็นผู้ชาย พายคงแจกขนมจีบเช้าเย็นแบบคุณหมอนี่ล่ะ เฮ้อ.. ทำไมพายไม่เกิดมาเป็นผู้ชายนะ หรือให้พี่อริสเกิดมาเป็นไอดอลแบบลิซ่าก็ได้ พายจะตามไปติ่ง! เกาะติดขอบเวที ซื้อตั๋วคอนทุกใบ”            “พาย... ขออาดูด้วยคนสิ” เสียงทุ้มอ้อนขอ พิภพโน้มตัวลงหาคนตัวเล็ก ปลายจมูกรับรู้กลิ่นหอมอ่อนจากเส้นผมดำขลับสลวยเข้าทีหนึ่ง ใจสั่นไหวไปตามประสาโคแก่...            “นี่ของของพาย อาภพขับรถไปซื้อกล้องเองนะคะ ไม่ก็สั่งช้อปปี้เอานะ” ขณิกายังคงไม่สนใจ ด้วยความจงรักภักดีที่มีต่ออริสานั้นสูงมาก เธอชื่นชมผู้หญิงคนนี้มานานเพราะทั้งสวยทั้งเก่ง ดันทำให้คนเป็นพ่อแท้ ๆ รู้สึกไม่พอใจ แต่เขายังทำอ้อนขอ            “ขออาดูหน่อยนะ นะ.. เดี๋ยวอาพาไปขี่ม้าเล่นดีไหม?”            “น้อยไปค่ะ แลกกับกล้องส่องทางไกลรุ่นลิมิเต็ดของพายไม่ได้ พายซื้อมาแพงมากเพื่องานนี้ค่ะ พายเป็นแม่คุณทุ่ม ติ่งตัวแม่ เสียใจด้วยนะคะอาภพ”            วงหน้าหล่อเหลาบึ้งตึงยังลักลอบดมกลิ่นหอมชื่นใจอยู่เรื่อย ๆ นึกเกิดหึงลูกสาวตัวเอง เพราะหนูพายไม่สนใจเขาเลยนี่แหละ            “พี่อริสคงคิดถึงคุณแม่มาก พี่อริสถึงไม่ค่อยจะยิ้มเลย... เอ๊ะ! หรือนางจะเห็นหมอไอเป็นแม่ คนละเรื่องเดียวกันเลยนะเนี่ย... เห้ย!” เสียงสูงปรี้ด ขณิกาม้วนตัวเขินอาย ระบายยิ้มกว้างเต็มวงหน้าหวาน ยอมลดกล้องลงจากเมื่อเพื่อหันไปส่งยิ้มกรุ้มกริ่ม            ในระยะใกล้กันเสียจนสังเกตเห็นนัยน์คู่หวานคมสะท้อนความหลงใหลชัดเจน หากเป็นอารมณ์ปรกติขณิกาคงได้ม้วนอายไปสามตลบกับหนุ่มใหญ่ที่ดูไม่แก่ไปกว่าวัย ยังหล่อเหลาเอาการ ไม่ใช่ในอารมณ์ติ่ง...            “อุ๊ย.. โรแมนติก.. อ่ะ...” และที่ว่าคือบุคคลในอีกฝั่งของฟาร์มที่โอบล้อมด้วยพื้นหญ้าเขียวขจี ใบหน้าเปื้อนยิ้มสะบัดไปยกกล้องส่องทางไกลขึ้นส่องต่อ            “ซื้อมาตั้งเจ็ดหมื่นต้องเผือกให้คุ้ม ไหนอะไรยังไง?”            หมับ! กล้องราคาแพงโขถูกมือหนาแย่งไปอย่างดื้อดึง ร่างบางลุกพรวดตาม เขย่งปลายเท้า พยายามไขว่คว้าของของตนจากคนตัวโตที่ยกกล้องไว้เหนือศีรษะ ด้วยความสูงกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร เป็นไปได้ไม่กับผู้หญิงตัวเล็กอย่างขณิกาเลย            “อาภพ! เอาคืนมา อย่ามาแย่งของพายนะ” เสียงแหลมเล็กประท้วง สู้ประกายตาดุดันของหนุ่มใหญ่ที่ดูเป็นคนละคน            “ไม่คืน...”            “เอาของพายคืนมา!”            “อาบอกว่าไม่ อาไม่ให้ดูแล้วพาย ถ้ายังไม่เชื่อ อาจะโทรเรียกลุงนิ่มมารับกลับบ้าน”              “อาภพใจร้าย...” หญิงสาววัยยี่สิบหกปีเบะปากอย่างเง้างอน ความแข็งกร้าวฉายชัดบนใบหน้าคมเข้ม โทสะเดือดพล่านด้วยแรงริษยา            “เป็นเด็ก อย่าลามปาม”               “พายไม่เด็กแล้ว พายเรียนหนังสือจบทำงานหาเงินเอง เป็นเจ้าของบริษัทนะคะ อาภพไม่ต้องเรียกลุงนิ่มหรอก พายไปของพายเองได้” เธอเถียงอย่างที่ไม่เคยทำ ถึงขณิกาจะเป็นลูกคุณหรูเอาแต่ใจเธอก็เป็นเด็กดี            ใช่... เธอไม่เคยกล้ามีปากเสียงกับอาพิภพผู้เปรียบเสมือนพ่อ! เขาชอบออกคำสั่งทำตัวเอาแต่ใจกับเธอ            ในฐานะ ‘อา’ ตรงข้ามกับสายตาที่ทอดมองมาด้วยความหลงใหล รักใคร่ หวงแหน เหมือนเธอเป็นสมบัติส่วนตน            “อาไม่ให้กลับ จนกว่าพ่อเราจะมารับนะ ไปกับอา... ขึ้นรถ”            “...”            ขณิกาเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะมองไปทางคนขับรถกอล์ฟประจำฟาร์มที่จอดรออยู่อย่างขุ่นเคืองใจ            “เร็ว ๆ ไป... กลับบ้านอา” เขาออกคำสั่งอีกครั้ง ร่างบางในเดรสสีขาวลูกไม้แขนสั้นสไตล์คุณหนูยอมก้าวขึ้นรถตามคุณอา นั่งลงแล้วจึงหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋าสะพายใบเล็กงานแบรนด์ กดมันพลันตวัดขึ้นแนบหู            “ลุงนิ่มมารับพายเลยนะ พายจะไปร้านพี่ชิน ไปนั่งทำงานก่อนเข้ากรุงเทพค่ะ”            เป็นประสาเธอที่ไม่เคยมีใครขัดใจได้แม้แต่พ่อแม่แท้ ๆ รถกอล์ฟแล่นฉลิวในฟาร์มอากาศสดชื่น ซัดพาความเย็นยะเยือกระลอกหนึ่งมากับสายลม พิภพพยายามข่มอารมณ์โมโหไว้            “พาย... อย่าดื้อกับอา อาบอกไม่ให้กลับ เดี๋ยวพ่อก็มา ค่อยไปได้ไหม?”            “ทำไมคะ? อาภพเป็นอะไรกับพายหรือไง ไม่เป็นก็ไม่มีสิทธิ์มายุ่ง พายจะไปกินข้าวกับเพื่อน... ผู้ชาย”            ผู้ชาย กับท่าทางท้าทายของเด็กสาวรุ่นลูก ทำนายหัวฟาร์มม้าเข้าขั้นวิกฤติ สิ้นสุดความสามารถในการควบคุมตัวเอง            “ตอนมาก็อยากจะมาเอง ตอนนี้เธอคงเดินไปเฉย ๆ จากฟาร์มอาไม่ได้ ถ้าอาไม่อนุญาต” สิ้นถ้อยคำเย้ยหยันเป็นเชิงขู่ในท่าทีวางอำนาจว่าคำสั่งของเป็นคำขาด!            หญิงสาวได้แต่เก็บความโกรธระคนน้อยเนื้อต่ำใจไว้ในสีหน้าเรียบเฉย ต้องยอมเชื่อฟังคุณอาในเมื่อเธอคงทำอะไรไม่ได้อยู่ดี                        กว่าพ่อจะมารับก็ล่วงเวลาเย็นไปมาก ขณิกาต้องอดทนกับความเอาแต่ใจของคุณอาที่ไม่รู้ว่าเกิดโมโหอะไรขึ้นมา จะกลับก็ไม่ยอมให้กลับ            ปรกตินายพิภพเป็นผู้ใหญ่ที่มีเหตุผล เป็นเจ้านายที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี เขานั้นก็ดีกับทุกคน แต่สำหรับขณิกาในพักหลังมานี้เป็นตรงกันข้าม...            วันต่อมาเธอจึงตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ไปเที่ยวหาเขาอีก จากที่เคยไปหาอาภพจนกลายเป็นกิจวัตร            บางทีความอดทนของคนคงมีขีดจำกัด... กับความสัมพันธ์ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ตลอดสามเดือนที่ผ่านมา            หากว่าเธอบอกรักเขา... จะตอบว่า ‘เป็นแบบนี้ดีแล้ว’            หากว่าเธอจะไปจากเขา... จะตอบว่า ‘อย่าทิ้งอา อยู่กับอา’            และถ้าหากว่าเธอจู่โจมด้วยวิธีใด ๆ เขาจะเว้นระยะห่างไว้ในความเหมาะสมของอาหลาน ทั้งที่สายตาที่มองมาไม่ต่างจากคนรัก เขาหวงเธอ ให้ความหวังเธอ ไม่ให้เธอไปมีผู้ชายคนไหน            แต่ถ้าหากว่าเขาหายไปเป็นอาทิตย์คือเขากำลังเสียใจ เรื่องของภรรยาเก่าที่ล่ำลาโลกนี้ไปถึงสิบห้าปีด้วยโรคมะเร็งปอด ต้นเหตุมาจากควันบุหรี่มือสอง แม้ว่าเขาจะเลิกบุหรี่ไปนานแล้วก็ตาม            อาภพไม่เคยเปิดใจให้ใครเข้าไปในพื้นที่แห่งความเจ็บปวดที่ไม่ต้องการการเยียวยา            บทสรุปของเธอคือไปไหนไม่ได้ และยังต้องติดอยู่ตรงนี้            ทำนองเพลงรักแสนเศร้าคลอไปกับแอร์เย็นฉ่ำของรถยนต์ ปลายเท้าเหยียบคันเร่งเบา ๆ ขณิกาเป็นคนขับรถเองไม่วานลุงนิ่ม ก็คงจะขับไปเรื่อย ๆ            ความเสียใจที่แบกมาตลอดทางจากฟาร์มหลั่งไหลออกมาจากสีหน้าดื้อรั้น ท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำ บางครั้งก็มองแทบไม่เห็นทางจนต้องยกมือปาดหางตา ก่อนที่เธอจะกดปุ่มบนแป้นพวงมาลัยต่อสายหาชายหนุ่ม ที่ทำร้ายกันมาตลอดชั่วโมง            “คุณพี่ดีเจ... เปิดเพลงสนุก ๆ ได้ไหมคะ.. หนูอกหัก.. ไม่อยากฟังเพลงเศร้า” เสียงสั่นเครือบอกปลายสายที่ส่งเสียงเจื้อยแจ้ว            “โอเคครับน้อง! พี่จะจัดเพลงสนุกให้หนึ่งเพลง”            “เพลงเดียวเองเหรอคะ? แดนซ์ทั้งชั่วโมงไม่ได้หรือคะพี่...”            ไม่ว่าเธอจะน่าสงสารแค่ไหน คนที่กำลังทำงานผ่านสายก็ต้องทำตามหน้าที่คือรักษาเวลาของรายการ            “หาใหม่นะครับน้อง ชีวิตมันต้องเดินต่อไป ตามหาความฝัน เอ้า.. เรามาแดนซ์กัน ขอบคุณคุณพาย ขณิกาครับ!”            สายที่วางไปหลังจากนั้น เพลงอกหักตามมาติด ๆ แทบทั้งช่วงรายการ!            ทว่าคนฟังก็ไม่ได้เปลี่ยนมันไปไหน มือสั่นเทากุมพวงมาลัยแน่นหอบความเศร้าเสียใจไปจนถึงกรุงเทพฯ            กระทั่งมาถึงร้านกาแฟชื่อดังใกล้ ๆ บริษัทซึ่งอยู่ในย่านธุรกิจอย่างถนนสุขุมวิท ขณิกาได้นัดหมายเพื่อนสาวหุ้นส่วนไว้            อิงฟ้าเป็นสาวสวยเปรี้ยว ผิวขาวละเอียดถึงไม่ขาวเท่าเธอแต่ก็สวยขนาดว่าไปไหนมาไหน ผู้ชายส่วนใหญ่เหลียวหลังมอง            พอผลักประตูกระจกเข้าร้านที่เต็มไปด้วยผู้คน เธอก็มองหาคนที่ส่งข้อความผ่านไลน์มายังส่งรูปถ่ายให้ด้วยว่าอยู่ตรงไหน            “รอนานไหมแก?” ทักทายเพื่อนสาวที่กวักมือเรียกตั้งแต่อยู่หน้าร้าน ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้โซฟาในฝั่งตรงข้าม            หญิงสาววัยเดียวกันอย่างอิงฟ้ามาถึงก่อนไม่นาน สังเกตได้ว่าใบหน้าสดสวยเศร้าหมองและขอบตาบวมช้ำ            “เป็นอะไรมาน่ะ? ว่าจะไม่ทักแล้วนะนังพาย อกหักจากคุณอามาอีกล่ะสิ”            “เปล่า... ดีเจมันเปิดเพลงเศร้า ฉันอิน” ปฏิเสธทันที วางกระเป๋าและแท็บเล็ตงานลงบนโต๊ะด้วยความพร้อมในการทำงาน            “แกโอนตังให้พนักงานยังอ่ะ เดือนนี้ติดลบไหม?”            “พอไหวว่ะ แต่กำไรน้อยขนาดนี้ กระเป๋าแกกับฉันรวมกันเท่ากำไรหกเดือนเจ็ดเดือน ฉันว่าเราไปเปิดร้านขายปาท่องโก๋กันดีไหมเพื่อน?” อิงฟ้ายอมเพิกเฉยกับเรื่องที่อีกคนไม่อยากพูดถึง บวกกับว่าหล่อนกำลังรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับธุรกิจที่ติดลบ 
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม