บทที่ 1 ตอนที่ 3

1403 คำ
เสียงพระสวดจบลงแล้ว... วาปีลดมือซึ่งพนมไหว้อยู่ระหว่างอก แล้วยกข้างหนึ่งขึ้นเช็ดน้ำตาที่ไหลเป็นทาง พวงแก้มตรงกรามยังรู้สึกเจ็บร้าว แต่ใจของเธอมันร้าวลึกเสียยิ่งกว่า ตั้งแต่เกิดเรื่องที่รัมภาดาเสียชีวิต ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป จากที่เคยอยู่ในสถานะย่ำแย่อยู่แล้วก็ยิ่งหนักหนาไปกันใหญ่ เพราะทุกคนต่างมองว่าเธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของลูกสาวผู้มีอุปการะ เขารับมากล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูเหมือนคนในครอบครัว ยังทำเรื่องเนรคุณอย่างไม่น่าให้อภัย แม้รพี ประมุขของบ้าน และกรกานต์ผู้เป็นภรรยา จะไม่ได้แสดงออกอย่างที่คนอื่นๆ มอง แต่ความห่างเหิน และสายตาอันเย็นชา ก็บอกให้รู้ว่าบัดนี้ได้เกิดความคลางแคลงขึ้นในใจของพวกท่านแล้ว แม้ไม่เอ่ยวาจาใดๆ แต่เธอจะไปโต้แย้งกับใครได้ ในเมื่อเธอเป็นเพียงผู้อาศัย... ยิ่งพยายามอธิบายเท่าไหร่ ก็ยิ่งเหมือนหาข้ออ้างให้ตัวเอง คนที่ถูกมองในแง่ลบอยู่เสมอทำอะไรก็ผิด เธออยากตะโกนใส่หน้าคนพวกนั้นเหลือเกินว่า เรื่องความเป็นความตายของคนในครอบครัววงศ์รวี ต่อให้ไร้สามัญสำนึกแค่ไหน คนอย่างเธอหรือจะอยากให้มันเกิดขึ้น “พี่สรวงคะ... วาวขอโทษ วาวไม่รู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้” เธอเช็ดน้ำตาป้อยๆ หลังจากถูกไล่ให้เดินออกจากศาลาวัดเพราะหนึ่งในเจ้าภาพของงานไม่ต้อนรับ เธอก็ยังอุตส่าห์มานั่งหลบฟังพระสวดอยู่ตรงม้าหินอ่อนด้านนอก โดยไม่คิดขัดขืน เพื่อร่วมส่งดวงวิญญาณผู้ที่เคยใช้ชีวิตอยู่ร่วมชายคาเดียวกันมาตั้งแต่เธออายุสามขวบ เธอรักรัมภาดาเหมือนพี่สาว... แม้อีกฝ่ายอาจไม่ได้คิดเช่นเดียวกันก็ตาม เพราะนับตั้งแต่กลายเป็นเด็กกำพร้า ไร้ญาติขาดมิตร ก็ได้ครอบครัวของหญิงสาวเข้ามาอุปการะดูแล ให้ข้าวให้น้ำ ให้ที่อยู่อาศัย ได้เรียนหนังสืออย่างที่เหมาะที่ควร ไม่ว่าครอบครัววงศ์รวีจะคิดกับเธอเป็นลูกเป็นหลานจริงๆ หรือทำไปเพราะเหตุผลอื่น เธอก็มีชีวิตมาได้จนถึงวันนี้เพราะพวกเขา การจากไปของรัมภาดาจึงสร้างความสะเทือนใจให้เธอไม่น้อยไปกว่าผู้ชายใจดำที่โยนเธอออกมานักหรอก การที่เธอเป็นแค่เด็กอุปการะ มันก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะรู้สึกเจ็บปวดน้อยไปกว่าคนรักอย่างเขาสักนิด บางที... เธออาจระทมทุกข์มากกว่าหลายเท่าด้วยซ้ำไป หญิงสาวหันมองศาลาสวดพระอภิธรรมด้วยความเศร้าใจ ก่อนจะหันหลังเดินไปขึ้นรถเพื่อจะขับกลับบ้าน แต่เมื่อเหลือบไปเห็นโทรศัพท์ มือถือในกระเป๋าที่วางอยู่บนเบาะข้างคนขับ กำลังแสดงหน้าจอว่ามีสายเรียกเข้า เธอก็รีบกดรับทันที                                                         “พี่โพธิ์... นี่พี่อยู่ที่ไหน เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ...” ไม่รีรอที่จะยิงคำถามด้วยหัวใจสั่นรัว                                                                                    โพธิ์ทองเป็นพี่ชายต่างมารดา เธอกับเขาพลัดพรากกันมานานหลายปี เพราะชายหนุ่มย้ายถิ่นฐานไปอยู่แคนาดากับแม่ที่แต่งงานใหม่ ซึ่งตอนนั้นเธอยังเด็กมาก ไม่รู้ประสีประสาอะไร กระนั้นก็พอจะจำได้เลาๆ ว่ามีพี่ร่วมสายเลือดที่อายุมากกว่าเธอถึงสิบห้าปีอยู่อีกคน บนโลกใบเดียวกันนี้ แต่เพิ่งได้มาเห็นหน้าค่าตา ได้พูดคุยติดต่อกันก็เมื่อสองสามปีก่อนนี้เอง “พี่ไม่รู้วาว... พี่ไม่ได้ตั้งใจ...” “พี่โพธิ์... หมายความว่าไง” สิ่งที่กลัวหนักหนาคือคำตอบจากปากพี่ชาย แต่ความใคร่รู้ก็อยู่เหนือความหวาดหวั่นทั้งมวล “วาว พี่ขอโทษ... พี่ไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้จริงๆ พี่แค่จะแกล้งให้เธอกลัว จะได้รู้สำนึกเสียบ้าง ไม่คิดว่า...” “พี่โพธิ์จะบอกว่าคืนนั้น... พี่ทำจริงๆ เหรอคะ” “พี่ขอโทษ วาว พี่เสียใจจริงๆ” “...” ริมฝีปากของเธอสั่นระริก ร่างกายเหมือนจะชาจนแข็งทื่อ ไม่อาจขยับตัวได้ชั่วขณะ เมื่อได้ยินสิ่งที่พี่ชายพร่ำพูดออกมา หลายวันที่ติดต่อเขาไม่ได้ เธอร้อนใจเป็นที่สุด แต่ก็ยังคิดในแง่ดีว่า แม้โพธิ์ทองจะจงเกลียดจงชังรัมภาดาเพียงใด เขาก็ไม่ใช่คนใจยักษ์ใจมารขนาดจะลงมือฆ่าคนทั้งคนได้  “ไม่จริง... พี่โพธิ์ทำอย่างนี้ได้ยังไง ก็เราสัญญากันแล้ว” “พี่ไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้ วาว พี่สาบานได้... มันเป็นอุบัติเหตุ เธอพลัดตกลงไปเอง พี่ไม่ได้ทำให้เธอตกลงไป” โพธิ์ทองยังยืนยันคำเดิมซ้ำๆ “แล้วพี่โพธิ์หายไปไหนมาตั้งหลายวัน วาวติดต่อไม่ได้เลย” “พี่ไม่รู้จะพูดเรื่องนี้กับวาวยังไง พี่กลัววาวจะเกลียดพี่” “วาวเกลียดพี่โพธิ์ไม่ได้หรอก แต่วาวก็สงสารพี่สรวง... ถ้าวาวรู้ว่าคืนนั้นพี่โพธิ์จะทำร้ายพี่สรวง วาวจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นเด็ดขาด...” เธอพูดไปร้องไห้ไป รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก คนหนึ่งก็พี่ชายแท้ๆ อีกคนก็เป็นเสมือนครอบครัว เธอสังหรณ์ใจอยู่แล้วตั้งแต่รัมภาดารีบร้อนขับรถออกจากโรงแรมไปในคืนนั้น แต่ก็ยังภาวนาอยู่เสมอ ว่าขออย่าให้โพธิ์ทองมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ “พี่ไม่ได้ทำร้ายเธอ แค่อยากปั่นหัวให้กลัว ให้รู้จักเวรกรรมเสียบ้าง แต่เธอก็ตกลงไปเอง... จะว่าไปแล้ว มันก็สมควรแล้วไม่ใช่เหรอวาว” “พี่โพธิ์!” “ไม่ว่าวาวจะคิดยังไง คิดว่าพี่โกหกก็ไม่เป็นไร แต่พี่ก็ยังยืนยันว่าไม่ได้ตั้งใจให้ถึงตาย พี่อาจจะรู้สึกผิดกับวาว แต่พี่ไม่ได้รู้สึกผิดกับเธอสักนิด ที่โทรมาก็เพื่อจะบอกว่าพี่รักวาวเสมอ วาวรู้ความจริงแล้ว จะให้ตำรวจมาจับพี่ก็ได้ พี่จะไม่หนีไปไหน... จะอยู่ที่เดิม ทุกอย่างพี่ให้วาวเป็นคนตัดสินใจ”                                                                                      “วาวเคยขอแล้วว่าให้มันจบ... พี่โพธิ์ก็สัญญาว่าเราจะไปอยู่แคนาดาด้วยกันไงคะ”                                                                              สิ่งที่ปวดใจยิ่งกว่าการอยู่เดียวดายบนโลกใบนี้ นั่นก็คือได้รู้ว่าคนที่รักที่สุด ทำลายความเชื่อใจของเธอ มิหนำซ้ำในตอนนี้ก็เหมือนกับว่าทุกคนกำลังพุ่งเป้ามาที่เธอเพื่อสืบหาข้อเท็จจริง หญิงสาวกังวลใจเหลือเกินว่าเรื่องนี้จะถูกเปิดเผยออกมาในสักวัน โพธิ์ทองเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดเพียงหนึ่งเดียวที่เธอมีอยู่ ต่อให้เขาทำผิดมหันต์แค่ไหน เธอก็คงทำใจไม่ได้หากเขาต้องเข้าไปอยู่ในคุก “ถ้าไม่อย่างนั้น... เราก็ไปอยู่แคนาดาด้วยกันแล้วลืมเรื่องนี้ซะ วาวรีบไปยื่นขอวีซ่าเลยนะ พี่จะให้ป๊าส่งเอกสารรับรองให้” “...” ความเจ็บมันยังจุกในอกไม่หาย ตอนนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าทางออกที่ดีที่สุดคือทางไหน เพราะต่อให้ไม่มีใครรู้ใครเห็น หรือต่อให้หนีปัญหา ดั้นด้นไปไกลจนสุดหล้า เธอก็ไม่มีวันลบตราบาปที่ติดค้างอยู่ในใจได้ ความผิดนี้ก็จะยังฝังตรึงไปชั่วกัปชั่วกัลป์ “พี่พร้อมเสมอ ขอแค่วาวบอกพี่...” สิ้นประโยคนั้นสายก็ตัดไป วาปียังคงถือโทรศัพท์ค้างอยู่อย่างนั้น เธอหายใจหอบถี่เหมือนเหน็ดเหนื่อยอย่างหนักกับสิ่งที่ได้รับรู้มาหมาดๆ ความรู้สึกหลากหลายตีรวนอยู่ในอกจนแทบกระอัก ความทุกข์ใดๆ ก็ไม่เคยบั่นทอนจิตใจได้มากเท่านี้มาก่อน เมื่อครั้งที่บิดาและมารดาจากไปด้วยอุบัติเหตุ เธอเพิ่งมีอายุได้เพียงสามขวบ ย่อมไม่รู้ว่าการสูญเสียครั้งนั้นเลวร้ายเพียงใด แม้วันเวลาผ่านมา เริ่มเติบโต และเรียนรู้ความเจ็บปวดจากการต้องใช้ชีวิตโดดเดี่ยว ไร้บุพการี แต่มันก็เป็นความชินชาและยอมรับได้ ผิดกับครั้งนี้... และดูเหมือนว่าความเจ็บปวดครั้งนี้ จะทำให้เธอไม่มีวันพบกับความสงบสุขได้อีกเลย... 
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม