อารัมภบท
ในยุคสมัยหนึ่งของดินแดนอันไกลโพ้น เปลวเพลิงแห่งสงครามลุกลามไปทั่วทุกหย่อมหญ้า แผ่นดินก่อเกิดกลียุค แคว้นทั้งเจ็ดเผชิญสงครามแย่งชิงดินแดน
ในเวลานั้นราษฎรทุกแว่นแคว้นต่างทุกข์ระทมกับสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างมิรู้จักจบสิ้น
ไม่มีคำว่าสันติภาพอย่างแท้จริงในสงครามที่เกือบจะพาโลกล่มสลายในครั้งนี้ !
ณ ดินแดนเป่ยเหลียง อาณาเขตปกครองของแคว้นฉี
แคว้นฉีมีพื้นที่อยู่ติดกับทะเล เป็นแคว้นที่รักสงบและไม่ได้ถนัดด้านการสู้รบมากนัก หลายร้อยปีมานี้.. แคว้นฉีมุ่งเน้นไปที่ด้านการค้าขายและผูกมิตร จึงเป็นแคว้นที่ร่ำรวยที่สุดในบรรดาแคว้นทั้งเจ็ด ทว่าด้านกองทัพนั้นกลับอ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง…
เจ็ดสิบเมืองในเขตปกครองเป่ยเหลียงของแคว้นฉีล้วนถูกยึดครองโดยกองทัพแคว้นหมิงอย่างง่ายดาย จนกระทั่งเมืองหน้าด่านสุดท้ายพังทลายลง
กองทัพแคว้นหมิงนับล้านเคลื่อนพลเข้าประชิดเมืองเสียนหยางอย่างรวดเร็ว…
‘ องค์หญิงไฉ่หลิน ’ มองลงไปยังกำแพงเมืองสูงชันดั่งขุนเขาที่กำลังถูกทำลายลงจากกองทัพนับล้านของแคว้นหมิง
ในที่สุดแคว้นฉีของนางก็จำเป็นจะต้องเข้าร่วมสมรภูมิสงครามครั้งใหญ่ในหน้าประวัติศาสตร์ของแผ่นดิน
ครั้งหนึ่งแคว้นฉีเคยอยู่อย่างสงบสุข ไม่ข้องเกี่ยวกับขั้วอำนาจใด แต่เดิมแคว้นฉีรายล้อมไปด้วยธรรมชาติสุดแสนงดงามราวกับแดนสวรรค์ ราษฎรอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข บัดนี้ความสงบสุขกลับมลายหายไปในเพลิงสงครามที่ลุกโชนไปทั่วทั้งแผ่นดิน
ในที่สุดสายลมแห่งการทำลายล้างก็มาเยือนแคว้นฉี !
แคว้นฉีถูกรุกรานโดยกองทัพแคว้นหมิงอันเกรียงไกร เปลวเพลิงโหมกระหน่ำเผาไหม้บ้านเรือน ผู้คนต่างหลบหนีตายอย่างจ้าละหวั่น ราษฎรนับล้านถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหดและทารุณ
กองทัพแคว้นฉีภายใต้การนำทัพขององค์หญิงไฉ่หลิน แม้จะสู้อย่างอาจหาญ ทว่าก็ต้านกองทัพแคว้นหมิงได้เพียงแค่สามเดือนเท่านั้น ในที่สุดเมืองเสียนหยางก็ถูกตีแตก !
ณ พระราชวังหลวงแคว้นฉี ด้านในท้องพระโรง
“องค์หญิง บัดนี้ทัพหงส์ดรุณพ่ายแพ้แก่กองทัพแคว้นหมิงแล้ว…”
เมื่อได้ยินการรายงานผลลัพธ์ของสงคราม หญิงสาวรูปงามดั่งเทพธิดาในชุดเกราะสีเงินหลับตาลงพลางถอดถอนหายใจแผ่วเบา
ในยามนี้ องค์หญิงไฉ่หลินคือเชื้อพระวงศ์สกุลไฉ่เพียงคนเดียวที่ไม่หลบหนีเอาตัวรอด อีกทั้งยังคอยบัญชาการกองทัพแคว้นฉีอย่างองอาจและกล้าหาญ ทำให้ยื้อการทำลายล้างของกองทัพแคว้นหมิงได้นานเกือบหนึ่งปี
“องค์หญิง.. พระองค์ควรหลบหนีลงไปยังทางใต้ของแคว้นเหมือนดั่งเชื้อพระวงศ์คนอื่น เมืองเสียนหยางถูกตีแตกแล้ว พวกกระหม่อมยินดีสละชีพต้านทานกองทัพแคว้นหมิงเอาไว้ เพื่อให้พระองค์หนีลงใต้ได้อย่างปลอดภัย…” แม่ทัพชราคนหนึ่งกล่าวด้วยเสียงเจ็บปวด ใบหน้าแสดงความขมขื่นอมทุกข์
ความรู้สึกในใจของบรรดาเหล่าแม่ทัพแคว้นฉีในตอนนี้ล้วนเจ็บปวดรวดร้าวจากการที่บ้านเกิดถูกทำลายลงอย่างย่อยยับ เชื้อพระวงศ์และชนชั้นสูงต่างหลบหนีเอาตัวรอด ทิ้งราษฎรให้ถูกฆ่าอย่างเหี้ยมโหด
สาวงามในชุดเกราะสีเงินมองเหล่าแม่ทัพทั้งหลายในท้องพระโรงของราชวังด้วยสายตาซาบซึ้ง กระบี่สีทองดั่งแสงอรุณถูกชักออกจากฝักอย่างอาจหาญ น้ำเสียงหนักแน่นและแข็งกร้าวดังก้อง “หลบหนี? ที่นี่คือบ้านเกิดของข้าและข้าจะไม่หนีไปไหนทั้งนั้น วันนี้ได้ร่วมตายกับทุกท่าน นับว่าเป็นเกียรติสูงสุดในชีวิตข้าแล้ว…”
“องค์หญิง…” หลังจากได้ยินคำพูดขององค์หญิงไฉ่หลิน บรรดาแม่ทัพทั้งหลายล้วนหลั่งน้ำตาในใจด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว หยาดน้ำตาบนใบหน้าแฝงไปด้วยความขุ่นเคืองใจ
น่าเจ็บใจนัก…เหล่าเชื้อพระวงศ์คนอื่นพอเกิดสงครามขึ้นมาจริงๆ ล้วนขี้ขลาดตาขาวพากันหลบหนีไปกันหมด มีเพียงแค่องค์หญิงไฉ่หลินที่ยังคงยืนหยัดไม่ยอมแพ้ อยู่เคียงข้างเหล่าทหารและราษฎรมาโดยตลอด
“อย่าได้ถือโทษพวกเขาเลย มันเป็นความผิดของข้าเอง…” ไฉ่หลินรู้ตัวดีว่าเหล่าแม่ทัพทั้งหลายกำลังคิดอะไรอยู่
ตัวนางได้รับสมญานาม ‘ เทพธิดาสงคราม ’ จากการทำสงครามต่อต้านแคว้นอู่และแคว้นมู่ ชื่อเสียงเรียงนามขจรขจายไปทั่วดินแดน หลายแคว้นต่างหวาดกลัวและยำเกรง จนไม่มีใครกล้ารุกรานแคว้นฉีนานนับสิบปี
กระนั้นเรื่องราวทั้งหมดก็ไม่อาจจบลงอย่างสงบสุข…
ปัง!
หญิงสาวในชุดเกราะสีเงินหรี่ตามองแนวป้องกันสุดท้ายที่กำลังพังทลายลงด้วยสีหน้าและแววตาที่สงบนิ่ง
เมื่อเห็นแนวป้องกันสุดท้ายกำลังพังทลายลง เหล่าแม่ทัพทั้งหลายรีบล้อมกรอบเข้าปกปักษ์เป็นเกราะคุ้มกันให้องค์หญิงยอดนักรบในบัดดล
ตู้ม!
เสียงกัมปนาทดังสนั่นหวั่นไหว แรงกระเพื่อมจากการระเบิดแผ่ขจายไปไกลนับสิบลี้
ประตูท้องพระโรงถูกทำลายจนไม่เหลือแม้แต่ซาก ทหารองครักษ์ที่ปกปักษ์ด้านหน้าท้องพระโรงถูกทหารแคว้นหมิงที่รุกเข้ามาฆ่าอย่างโหดเหี้ยม
กองทัพแคว้นหมิงรุกเข้ามาในท้องพระโรงของราชวังอันงดงามอย่างล้นหลาม
“รีบฆ่าเทพธิดาสงคราม! หากแคว้นฉีไร้ซึ่งผู้นำ ก็เปรียบดั่งมังกรไร้หัว…”
ทหารแคว้นหมิงบุกเข้ามาในท้องพระโรงอย่างฮึกเหิมพลางกู่ร้องสะท้านฟ้า ขณะเดียวกันก็ทำการไล่ฆ่าทหารแคว้นฉีอย่างอุกอาจ
เพล้ง!
ฉว๊ะ!
ทหารแคว้นฉีมิอาจต้านทานทหารแคว้นหมิงได้เลยแม้แต่น้อยราวกับว่าทหารทั้งสองทัพมีชั้นเชิงการสู้รบต่างกันราวฟ้ากับเหว
หญิงสาวในชุดเกราะสีเงินกุมกระบี่สีทองในมือมั่น นัยน์ตาสีทองดั่งดวงตะวันแฝงเร้นความเย็นชาประดุจธารน้ำแข็ง มือเรียวชูกระบี่สีทองขึ้นเหนือศีรษะ วาจาแข็งกร้าวดังก้องไปทั่วทั้งท้องพระโรง…
ไฉ่หลินทราบในบัดดลว่าวาระสุดท้ายของตนมาถึงแล้ว แต่ก็จะไม่ยอมแพ้!
“พวกเราคือชาวเป่ยเหลียง เป็นชาวเป่ยเหลียงที่น่าภาคภูมิ…”
กล่าวจบ…หญิงสาวกระโจนเข้าสู่สมรภูมิรบอย่างอาจหาญและเข็มแข็ง ไม่มีความกลัวอยู่ภายในจิตใจของทหารแคว้นฉีแม้เพียงเสี้ยวเดียวราวกับว่าชีวิตนี้ยอมพลีเพื่อบ้านเมือง คร่าศัตรูที่รุกรานบ้านเกิด
เคว้ง!
ทหารทั้งสองแคว้นต่างเข้าต่อสู้โรมรันอย่างดุเดือด กลิ่นคาวเลือดคลุ้งไปทั่วท้องพระโรง
ไฉ่หลินนำทหารที่เหลือรอดเพียงร้อยนายเข้าสัประยุทธ์กับทหารแคว้นหมิงนับหมื่นอย่างอาจหาญไม่กลัวตาย
ตัวไฉ่หลินเพียงคนเดียวไล่ฆ่าทหารแคว้นหมิงล้มตายไปนับหลายร้อยคน กระทั่งแม่ทัพแคว้นหมิงยังถูกสังหาร