นิทาน(2)

1396 คำ
นิทานกำลังจะเริ่มขึ้น… “กาลครั้งหนึ่งมีองค์หญิงผู้หนึ่งอาศัยอยู่ในแคว้นที่สงบสุข ไร้ซึ่งสงคราม นางเกิดท่ามกลางความอบอุ่นในครอบครัว มีพี่สาวที่น่ารักหนึ่งคน ทั้งสองสนิทสนมกันมาก แต่ตัวนางไม่ได้มีความสามารถรอบด้านเหมือนพี่สาว ทว่านางก็มีความพยายามอย่างมากที่จะยืนเคียงข้างพี่สาวของนางอย่างสง่าผ่าเผย” หลินซีเล่าเรื่องเสมือนเป็นเรื่องที่ตัวนางเคยผ่านเหตุการณ์นั่นมาแล้วในอดีต แววตาที่เปี่ยมสุขพาดผ่านในดวงตาสีอำพันคู่งามหยาดเยิ้ม “พี่สาวของนางปราบเหล่าศัตรูที่รุกล้ำเข้ามายังในแคว้น เป็นดั่งความหวังของแคว้น จนได้รับสมญานามจากทั่วทั้งใต้หล้าว่า ‘ เทพธิดาแห่งสงคราม ’ ทว่าน้องสาวของนางกลับไม่คิดว่าคนกลุ่มนั่นจะเลวร้ายอะไร…” “นางพยายามเกลี่ยกล่อมให้พี่สาวและราชวงศ์ให้ทำสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน...รู้ไหมเจ้าคะ? ว่าสิ่งนั้นคืออะไร…” หลินซีหยุดเล่ากลางคันพลางเอ่ยคำถามออกไป “มันคืออะไรล่ะ? คิดจะเอาพวกเขามาสั่งสอนหลักธรรมหรืออย่างไร?” หลินซีจิบชาเล็กน้อยพลันยิ้มตอบกลับเล็กน้อย จากนั้นจึงทำการเล่าต่อ “การทําสนธิสัญญาพิเศษและเปิดรับศัตรูให้เข้ามาอาศัยอยู่ภายในแคว้น…” หลินเยว่มีสีหน้าตื่นตะลึงพลางลุกขึ้นพรวดพราด มือเรียวทุบลงไปที่โต๊ะอย่างแรง ปัง! “เหลวไหล…ให้ศัตรูเข้ามาอยู่ในแคว้นเนี่ยนะ! นางโง่เขลาหรืออย่างไรกัน?” “อย่าเพิ่งใจร้อนสิเจ้าค่ะ…มันเป็นแค่นิทาน” หลินซีเรียกสติของหลินเยว่ที่เผลอหลุดความเยือกเย็นของตนเองไป “ขอโทษ..เล่าต่อได้เลย” หลินเยว่นั่งลงอีกครั้ง หลินซีพลันเปิดปากเล่าเรื่องต่อ… “หลังจากนั้นทั้งนางและพี่สาวก็ออกเดินทางไปทำสนธิสัญญาพิเศษนี้กับบรรดาแคว้นต่างๆ ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ กระทั่งเผ่าพันธุ์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเผ่าอสูร , เผ่ามายา , เผ่าคนแคระ หรือกระทั่งชนกลุ่มเล็ก กลุ่มน้อย จนมาถึงยังสถานที่สุดท้ายของการเดินทางเพื่อทำสนธิสัญญาให้สมบูรณ์ ‘ แคว้นหมิง ’ ศัตรูตัวฉกาจของแคว้นฉี ซึ่งเป็นแคว้นที่สองพี่น้องอาศัยอยู่ แต่สิ่งที่ทำให้ไม่คาดฝันคือจักรพรรดิหมิงตี้แห่งราชวงศ์หมิงในช่วงเวลานั้น ต้อนรับสองพี่น้องเป็นอย่างดี ทั้งยังเซ็นสัญญาสันติภาพอย่างง่ายดาย” “วันเวลาผ่านไปหลายปี…แคว้นฉีเต็มไปด้วยผู้คนจากหลากหลายเผ่าพันธ์ุที่เข้ามาอาศัยอยู่ ทั้งหมดต่างอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ไม่มีการแบ่งแยกเผ่าพันธุ์แต่อย่างใด จนกระทั่งสายลมแห่งความสงบสุขพัดผ่านไป….” หลินซีกระแทกเสียงด้วยความโกรธเล็กน้อย อารมณ์ของนางกำลังพุ่งสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “ทางฟากฝั่งแคว้นหมิงเกิดความวุ่นวายขึ้น จักรพรรดิแคว้นหมิงพระองค์ใหม่ฉีกสัญญาสันติภาพ บุกรุกแคว้นฉีปานสายฟ้าแลบ แคว้นหมิงใช้ความไว้เนื้อเชื่อใจที่แคว้นฉีมอบให้ พวกมันแอบส่งสายลับเข้ามาอยู่ในราชวังของแคว้นฉี จึงทำให้ทหารแคว้นหมิงสามารถบุกรุกแคว้นฉีได้อย่างง่ายดายประหนึ่งปอกกล้วยเข้าปาก ฆ่าล้างราษฏรแคว้นฉีอย่างโหดร้ายทารุณ พวกมันทำการเผาบ้านเผาเมือง จนทั่วทั้งแคว้นกลายเป็นธุลี” “คนน้องที่ไม่ได้เก่งกาจเหมือนดั่งพี่สาวที่สามารถขับไล่ศัตรูที่รุกรานได้ นางจึงหลบหนีไปยังแดนใต้พร้อมกับเหล่าเชื้อพระวงศ์คนอื่น จนถึงช่วงสุดท้ายของสงครามอันยาวนาน กองทัพแคว้นหมิงพลันล่าถอยกลับไป เสียงแห่งชัยชนะของกองทัพแคว้นฉีโห่ร้องด้วยความยินดี แคว้นหมิงอันเกรียงไกรพ่ายแพ้ต่อแคว้นฉี ในตอนนั้นนางหวนคิดถึงพี่สาวของนางที่คงจะกำลังต่อสู้เพื่อแคว้นฉีอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่กลางสมรภูมิรบ ตัวนางจึงเร่งรุดกลับไปยังเมืองหลวงพร้อมกับคนสนิทไม่กี่คน ผ่านประตูเมืองหลวงไปถึงยังราชวังอันงดงามที่บัดนี้กลายเป็นซากปรักหักพัง… ทว่านางกลับเห็นร่างที่เต็มไปด้วยเลือดของพี่สาวที่นอนแน่นิ่งอยู่ที่แห่งนั้นเพียงลำพัง ในตอนนั้นคล้ายกับว่าโลกทั้งใบหยุดหมุนอย่างฉับพลัน…” “นางได้แต่โทษตนเองว่าถ้าหากนางไม่เสนอความเห็นเด็กน้อยแบบนั้นออกไป ครอบครัวของนางก็คงมีความสุขอยู่ ด้วยความแค้นที่เริ่มกัดกินจิตใจ นางทิ้งแผ่นดินแคว้นฉีและหันไปเข้าร่วมกับแคว้นมู่ที่เป็นศัตรูตัวฉกาจของแคว้นหมิง ด้วยความแค้นของนางที่มีมากจนเกินไป ทำให้นางฆ่าล้างราษฎรแคว้นหมิงทั้งหมดและทำลายแคว้นหมิงลงอย่างราบคาบ ไฟแห่งสงครามเริ่มปะทุอย่างรุนแรง ทว่านางสามารถจบสงครามที่ปะทุไปทั่วดินแดนได้โดยการรวบรวมทุกแคว้น ทุกเผ่าพันธุ์ ทั้งชนกลุ่มเล็ก ชนกลุ่มน้อย ก่อตั้งอาณาจักรที่มีชื่อว่าอาณาจักรไฉ่หลิน สถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดินีคนแรกของแผ่นดิน ผู้คนทั่วหล้าต่างมอบสมญานามให้แก่นางว่า…จักรพรรดินีผู้เหี้ยมโหด” “เป็นเรื่องจริงงั้นหรือ? ทำไมข้าจึงไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย…” หลินเยว่เลิกคิ้วถามด้วยสีหน้าสงสัย นางเป็นคนแรกที่อ่านหนังสือทุกเล่มที่มีในหอตำตาหลวงของแคว้นจนหมดแล้ว…ทว่ากลับไม่เคยได้ยินเรื่องราวเช่นนี้มาก่อนเลย หลินซีฉีกยิ้มกว้าง จากนั้นจึงหัวเราะออกมา “ฮ่าๆ น้องบอกท่านพี่ไปก่อนหน้านี้แล้วว่ามันเป็นเพียงแค่นิทาน ท่านพี่ล่ะก็…” เรื่องราวทั้งหมดหลินซีสืบทราบมาจากความทรงจำของมู่มู่ที่เคยทิ้งร่างแยกเอาไว้ในโลกมนุษย์ เพื่อสืบเสาะหาข่าวเกี่ยวกับตัวนาง เมื่อได้ฟังคำพูดเมื่อครู่ หลินเยว่ก็เดินเข้ามาดึงแก้มย้วยๆ ของผู้เป็นน้องอย่างหมั่นไส้ “อู๊…อี๊ มันเจ็บนะ มันเป็นเพียงแค่เรื่องที่น้องแต่งขึ้นมา ปะ…ปล่อยนะเจ้าค่ะ น้องเจ็บ…” หลินซีโดนดึงแก้มจนแดงก่ำดุจมะเขือเทศ ทว่าหลินเยว่ก็ยังดึงไม่หยุด…ทั้งยังเผยรอยยิ้มเล็กๆ ออกมาอีก หลังจากหลินเยว่ปล่อยมือจากแก้มคล้ายลูกซาลาเปาของหลินซี ครู่ต่อมาหลินซีพลันกล่าวขึ้นอีกครั้งขณะเอามือจับไปที่ใบหน้าของหลินเยว่ไปด้วย “น้องคือหลินซี น้องสาวผู้งดงามของท่านพี่อย่างไรเล่าเจ้าคะ…มิใช่ใครอื่นที่ไหน” หลินเยว่มองใบหน้าหลินซีที่ประดับด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม ทั้งรอยยิ้มและแววตาของเด็กสาวตรงหน้าล้วนไม่มีอะไรแอบแฝง ดังนั้นจึงไม่คิดสงสัยอะไรอีก “สงสัยพี่จะคิดมากเกินไป…ขอโทษด้วย ในเมื่ออาการบาดเจ็บของน้องดีขึ้นมากแล้ว อยากไปตำหนักคุมกฏด้วยกันกับพี่หรือไม่? อย่างไรเจ้าก็จะต้องไปในฐานะผู้ได้รับความเสียหายอยู่แล้ว…” หลินเยว่กล่าวขณะลุกขึ้นจากเก้าอี้ “ประเดี๋ยวน้องจะไปกับท่านพี่ คอยน้องสักครู่นะเจ้าคะ…” หลินซีกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพลางลุกจากเก้าอี้ ก่อนจะเดินไปหยิบกระบี่ที่วางพิงอยู่ข้างเตียง หลินเยว่พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกไปรอที่นอกห้อง ทว่าก่อนจะเดินออกไปก็เอ่ยถามออกมาอีกครั้ง “นิทานเมื่อกี้ ตอนจบของเรื่องเป็นเช่นไร?” “กะ…ก็เหมือนๆ นิทานทั่วไป ในที่สุดจักรพรรดินีผู้โหดเหี้ยมก็คลายความแค้นในใจ ทะ…ทิ้งตำแหน่งผู้ปกครองใต้หล้า ครองคู่กับสามัญชนคนธรรมดา…” หลินซีตอบกลับอย่างตะกุกตะกักราวกับว่าไม่รู้ตอนจบของนิทานเรื่องนี้อย่างไรอย่างนั้น “ฮึ ฮึ” หลินเยว่หัวเราะเบาๆ พลางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ “คิดตอนจบไม่ออกงั้นหรือ…” แลเห็นหลินซีหน้างอ จึงไม่เเกล้งต่อ…จากนั้นพลันเดินออกจากห้องไปด้วยสีหน้าที่มีความสุขอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หลินซีที่ยืนมองหลินเยว่เดินออกไป จึงคลายรอยยิ้มออกพลางครุ่นคิดสิ่งที่หลินเยว่เอ่ยถามเมื่อครู่ นางเล่าตามที่นางเห็นจากความทรงจำของมู่มู่เท่านั้น…. ตอนจบของเรื่องนี้เป็นเช่นไร? กระทั่งหลินซีก็ไม่รู้ตอนจบของเรื่องราวนี้เช่นกัน ทว่าแท้จริงของนิทานเรื่องนี้มันพึ่งจะเริ่มต้นด้วยซ้ำ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม