เฮือก
สิ่งแรกที่ปรากฏในสายตาคือเพดานสีขาวดูหรูหราที่ทำมาจากกระเบื้องชั้นดี ไฉ่หลินสะดุ้งตื่นขึ้นมาราวกับเรื่องราวทั้งหมดเป็นเพียงภาพฝัน ครู่ต่อมาร่างงามอรชรพลันพลัดตกลงจากเตียงนอนจนเกิดเสียงดัง ตุ๊บ!
เมื่อครู่…นางจำได้ว่ากำลังนอนรอความตายอยู่ที่ราชวังแคว้นฉีมิใช่หรือ? กลับกลายเป็นว่าตอนนี้กลับฟื้นคืนสติขึ้นมาเสียอย่างงั้น…
แปลกนัก!
ไฉ่หลินรู้สึกสังหารณ์ใจแปลกๆ ดังนั้นนางจึงพยุงร่างขึ้น จากนั้นจึงเดินตรงยังตรงกระจกบานใหญ่ที่อยู่ภายในห้อง พอส่องกระจกดู ดวงตาสีทองดั่งดวงตะวันคู่งามพลันเบิกกว้างด้วยความตกใจ
เดี๋ยว…ไม่ใช่ตัวเรานี่!
มือเรียวสวยจับใบหน้าของตนด้วยท่าทางสับสนงุนงง พลางมองรอบๆ ห้องด้วยสีหน้าแปลกใจและงงงวย
ราวกับว่าได้รับการเกิดใหม่อย่างไรอย่างนั้น…
“เออ…”
พลันปรากฏแสงสว่างเปล่งประกายเจิดจรัสจากสร้อยคอสีเงินที่ตนกำลังสวมใส่อยู่
“คุณหนู….” เสียงเรียกขานด้วยความเป็นห่วงเป็นใยดังขึ้น ก่อนจะปรากฏร่างสาวใช้คนหนึ่งที่วิ่งเสียงดังและกระแทกประตูเข้ามาด้วยสีหน้าร้อนใจ ในจังหวะเดียวกัน…สติของไฉ่หลินก็เลือนรางและหมดลงไปอีกครั้ง
สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
“แค่ก แค่ก” ไฉ่หลินฟื้นขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับอาการไอที่คับคล้ายคับคลาว่ามีอาการไข้สูง บนหน้าผากขาวเนียนมีผ้าชุบน้ำแปะไว้เพื่อลดความร้อนในร่างกาย
ข้าจะต้องกลับไป…
“คะ..คุณหนู อย่าเพิ่งลุกขึ้นมานะเจ้าคะ ไข้ยังไม่ลดลงเลย…” สาวใช้นามว่า ‘ หยูเจี่ย ’ กำลังมองคุณหนูคนเล็กของตระกูลหลินด้วยความเป็นห่วง
ไฉ่หลินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ต้องล้มตัวลงนอนปล่อยให้หยูเจี่ยเช็ดตัวที่ร้อนรุ่มดั่งไฟของตนเอง
“ประเดี๋ยว…ข้าน้อยจะไปนำอาหารมาให้คุณหนูทานนะเจ้าคะ…” หยู่เจี่ยหลังจากเช็ดเนื้อเช็ดตัวคุณหนูตัวเล็กของตนเสร็จเรียบร้อยแล้ว จากนั้นจึงโค้งตัวและกล่าวอย่างนอบน้อม
ในจังหวะที่หยู่เจี่ยกำลังจะเดินออกจากห้องไปพลันถูกมือเรียวเล็กเอื้อมจับชายอาภรณ์เอาไว้
“ที่นี่…คือที่ไหน?” น้ำเสียงแหบพร่าของเด็กสาวเปล่งออก
“ที่นี่...ก็คือจวนสกุลหลิน ซึ่งเป็นบ้านของคุณหนูหลินซี….”
“คุณหนูหลินซี…”
ใบหน้างามสะคราญแสดงสีหน้าสับสนเล็กน้อยพลางจะชี้นิ้วมาที่ตนเองอย่างงุนงง
“แล้วเจ้าล่ะ?....”
หยูเจี่ยเมื่อได้ยินคุณหนูของตนถามเช่นนี้พลันเบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนกตกใจ
“ข้าน้อย หยู่เจี่ย สาวใช้ของคุณหนูเจ้าค่ะ… ยะ…แย่แล้ว ดะ…เดี๋ยว ข้าน้อยจะรีบไปตามหมอ…”
“ดะ…เดี๋ยวก่อน”
ปัง!
หยู่เจี่ยที่เข้าใจว่าคุณหนูของตนป่วยหนักจนลืมเลือนเรื่องราวทั้งหมดไปจนสิ้น ก็วิ่งออกจากห้องไปด้วยท่าทางแตกตื่นพลันเกิดเสียงโหวกเหวกโวยวายข้างนอกห้อง จนเกิดความโกลาหลไปทั่วทั้งคฤหาสน์จวนสกุลหลิน
โดยทิ้งให้ไฉ่หลินนั่งคิดเรื่องราวทั้งหมดอยู่คนเดียวบนเตียงนอนขนาดใหญ่ด้วยความสับสนและมึนงง
ตัวเราตายไปแล้วอย่างแน่นอน ทั้งกระบี่และบาดแผล ผู้คนที่ตายในวันนั้นไม่ใช่เรื่องโกหก…แคว้นฉีถูกแคว้นหมิงทำลายอย่างย่อยยับ และตัวเราก็ตายลงพร้อมกันกับจักรพรรดิหมิงอู่
ไม่ผิดแน่…ข้าจำได้อย่างแม่นยำ
ที่นี่มันที่ไหนกันแน่? ไม่ใช่ทั้งแคว้นฉีและแคว้นทั้งหกอย่างแน่นอนหรือว่าตัวเราจะถูกชุบชีวิตขึ้นมาในร่างของผู้อื่น
การชุบชีวิตคนขึ้นมาใหม่นั้น…ไม่มีอยู่จริง และไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนในประวัติศาสตร์ ความคิดนี้จึงถูกปัดตกไป เหลือเพียงแค่ความคิดเดียวเท่านั้นที่พอจะเป็นไปได้มากที่สุด และนางก็ไม่เชื่อว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ กับตัวนางเองในขณะนี้
การเกิดใหม่!
“เจ้าจะได้รับโอกาสที่สองและใช้ชีวิตดั่งที่เจ้าปรารถนา… คำพูดนั่น ไม่ใช่ความฝันจริงๆงั้นหรือ?” ไฉ่หลินกุมสร้อยสีเงินเอาไว้แนบแน่น ก่อนจะพึมพำภาวนาต่อพระเจ้าที่ตอบรับคำปรารถนาของตนเอง
‘ เราขอขอบคุณท่านที่มอบความปรารถนาของเราให้เป็นจริง ’
ไฉ่หลินเมื่อภาวนาเสร็จเรียบร้อย จากนั้นจึงนั่งขัดสมาธิและทำการตรวจสอบลมปราณภายในร่างของตนเองในบัดดล
ครืน!
มือเรียวกวักมือไปมากลางอากาศอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหลับตาลงและรีดเค้นลมปราณสีทองให้ก่อตัวเป็นก้อนกลมๆ ขนาดเล็กบนอุ้งมือ
วูซ!
ทว่าก้อนกลมๆ ที่ก่อตัวขึ้นจากลมปราณนั้นอยู่ได้เพียงครู่เดียว ก่อนจะสลายหายไปอย่างรวดเร็วราวกับภาพมายาอย่างไรอย่างนั้น
“ร่างกายอ่อนแออย่างมาก แต่กลับเนืองแน่นไปด้วยลมปราณมหาศาล…”
จุดศูนย์กลางการรวบรวมพลังลมปราณของมนุษย์จะอยู่ที่ตันเถียนภายในร่างกาย ร่างกายของไฉ่หลินในตอนนี้มีตันเถียนที่เล็กอย่างมาก แต่กลับมีปริมาณลมปราณกักเก็บในทะเลลมปราณอย่างมหาศาลจนแทบจะล้นทะลัก
“มิน่าเล่า…พอลมปราณทะลักออกมา ข้าก็หมดสติทันที เป็นเพราะร่างกายรับไม่ไหวนี้เอง คราวหลังต้องระวังให้มากกว่านี้หน่อยแล้ว”
ไฉ่หลินคลายพลังปราณทิ้งไป จากนั้นจึงลุกจากเตียงและเดินไปที่กระจกบานใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ริมห้อง
ในกระจกบานนั้นปรากฏร่างของเด็กสาวผมสีเงินยาวสลวย นัยน์สีทองดั่งอัญมณี ริมฝีปากแดงฝาดดุงอิงเถา รูปร่างเพรียวบางราวกับว่านางฟ้าที่เดินออกมาจากภาพในจิตนการ งดงามจนยากจะหาสิ่งใดเทียบเคียง กระทั่งดวงจันทร์และดวงดารายังดูหม่นหมอง
ใบหน้านี้…ช่างคล้ายคลึงกับตัวเราในชาติก่อนนัก
“แม้จะไม่ได้ทุกสิ่งทุกอย่างตามที่ร้องขอ ทว่าก็ยังดีกว่าไม่ได้รับโอกาส”
ไฉ่หลินส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วสรุปได้ดังนี้ จากนั้นจึงคิดใคร่ครวญถึงวิธีการรักษาที่สาวใช้นามว่า ‘ หยู่เจี่ย ’ ทำให้เมื่อครู่
ดูเหมือนว่านางจะมีวิชารักษา ซึ่งจวนเจ้าเมืองสกุลหลินคงไม่ขาดแคลนหมอฝีมือดีหรอกกระมัง?
การที่ลมปราณไหลทะลักออกจากทะเลปราณเป็นเรื่องที่ร้ายแรงอย่างมาก จำเป็นต้องอาศัยหมอฝีมือชั้นเลิศคอยประวิงให้ลมปราณภายในร่างคงที่และมีสเถียรภาพ มิฉะนั้นอาจเกิดเรื่องร้ายแรงจนถึงแก่ความตายได้…
ไฉ่หลินส่ายศีรษะอย่างแผ่วเบาและเดินไปยังชั้นตำราที่อยู่ภายในห้อง
ฉึบ!
เด็กสาวถกแขนเสื้อขึ้นพร้อมโบกมือช้าๆ แขนที่พันด้วยผ้าพันแผลโบกสะบัดออกไป พลันเกิดสายลมวูบนึงหยิบตำราชั้นบนลงมาทีละเล่มก่อนที่มันจะร่วงใส่หัวของนางอย่างจัง
โป๊ก!
“โอ้ย….”
แค่การควบคุมลมปราณง่ายๆ ยังทำไม่ได้ ร่างกายนี้ไม่เคยฝึกฝนการใช้ลมปราณเลยหรืออย่างไรกัน?
ไฉ่หลินลูบตำราที่ค่อนข้างเก่าเล็กน้อยก่อนจะเริ่มเปิดตำราอ่านทีละหน้า…ทีละหน้า
คงจะต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง…
ขณะที่เด็กสาวกำลังตั้งหน้าตั้งตาอ่านตำราต่างๆเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับโลกปัจจุบันที่ตัวนางได้มาเกิดใหม่ อีกด้านหนึ่งในห้องทำงานของเจ้าเมืองสกุลหลินแห่งเมืองหย่งเฉิน
“เสี่ยวซี…อาการยังไม่ดีขึ้นอีกรึ?” บุรุษวัยกลางคนที่มีรูปลักษณ์ดุดันดั่งราชสีห์นั่งอยู่ที๋โต๊ะกลางห้องด้วยท่าทางเย็นชา แต่แววตากลับทอประกายความกังวลและเป็นห่วงคละเคล้ากันอย่างประหลาดขณะกล่าวถามสาวใช้รูปโฉมงดงามประดุจเซียนที่เข้ามารายงานอาการของคุณหนูคนเล็กของตระกูล
“คุณหนูจำอะไรไม่ได้เลยเจ้าค่ะ โปรดช่วยส่งหมอดูอาการของคุณหนูด้วยเถิด…”
ยังไม่ทันที่บุรุษวัยกลางที่นั่งอยู่กลางห้องจะกล่าวอะไรออกมา คำพูดเย้ยหยันและดูถูกเหลือคณาถูกเปล่งออกมาจากบุรุษหนุ่มผู้มีลักษณ์หล่อเหลา ดวงตาสีมรกตคู่นั้นทอประกายความรังเกียจเดียดฉันท์ สีหน้าแสดงออกชัดเจนถึงตวามขยะแขยงเมื่อสาวใช้ตรงหน้ากล่าวถึงคุณหนูคนเล็กของตระกูล
“เป็นแค่ขยะแท้ๆ ยังจะมีหน้ามาสำออยอีก…”
“หยุดพูดซะ! หลินเสวี่ยนกง” บุรุษวัยกลางคนกล่าวเตือนเสียงแข็ง ดวงตาสีมรกตคู่นั้นทอประกายความเย็นยะเยือกขณะจ้องมายังเด็กหนุ่ม บรรยากาศภายในห้องดูอึดอัดแทบจะหายใจไม่ออก
“ขออภัยด้วยขอรับท่านพ่อ แต่ที่ข้าพูดมันคือความจริงทั้งสิ้น แม้แต่วิชายุทธ์พื้นฐานยังใช้ไม่ได้ นางสมควรตายไปตั้งนานแล้ว เป็นเพราะนางมิใช่หรือที่ทำให้ตระกูลหลินเสื่อมเสียชื่อเสียง….” เด็กหนุ่มยังไม่ยอมหยุดพูดจาถากถางน้องสาวร่วมบิดา
“ทั้งที่ลูกและน้องๆอีกสองคนล้วนมีพรสวรรค์เลิศล้ำดั่งมังกรท่ามกลางมัจฉา แต่นางแพศยานั่นแค่วิชายุทธ์พื้นฐานยังไม่อาจใช้ได้ ช่างน่าแปลกใจยิ่งนักหรือว่านางแพศยานั่น…”
ผว๊ะ
เสียงกำปั้นชัดไปที่ใบหน้าของเด็กหนุ่มอย่างแรง จนล้มลงไปกองกับพื้นอย่างไม่สมัครใจ
เจ้าเมืองหย่งเฉิน - หลินเฟิ่ง ซัดหมัดไปที่ใบหน้าของลูกชายเพียงคนเดียวด้วยสีเย็นชาพลางหันไปมองเด็กหนุ่มด้วยแววตาที๋โชนไปด้วยความเดือดดาล เปลวไฟแห่งโทสะพรั่งพรูในใจ น้ำเสียงกราดเกรี้ยวตวาดก้อง
“หุบปากเน่าๆ ของเจ้าซะ!”
“ท่านพ่อเองก็คงหลงนางแพศยานั่น…” หลินเสวี่ยนกงยังคงพ่นคำด่าออกมา แม้ปากของเขาจะปูดบวมและมีเลือดไหลออกมาจากริมฝีปากก็ตามที
“ไสหัวออกไปซะ! เจ้าจะถูกกักบริเวณให้อยู่ภายในห้องเจ็ดวัน…”
เด็กหนุ่มเมื่อได้ยินเช่นนั้นพลันขว้างปาข้าวของด้วยแรงอารมณ์ ความรู้สึกขุ่นเคืองอัดแน่นเต็มอก ดวงตาทอประกายความโหดเหี้ยมขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงก้าวร้าวและกระแทกเท้าตึงตังฉุนเฉียวเดิยจากไปด้วยความอวดดี
“อย่าคิดว่าท่านจะปกป้องนางแพศยานั่นไปได้ตลอดล่ะ ลูกขอลา…”
หลังจากเด็กหนุ่มออกจากห้องไป บุรุษวัยกลางพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ความอ่อนล้าปรากฏให้เห็นผ่านแววตา ก่อนจะนั่งลงพร้อมกับพูดเปรยขึ้นมา
“หยู่เจี่ย เจ้ารับใช้เสี่ยวซีมานานแค่ไหนแล้ว?”
“สิบปีเจ้าค่ะ…”
“งั้นหรือ…”
หลินเฟิ่งหลับตาลงพลางถอนหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อนอีกครั้งหนึ่ง
“ข้ารู้สึกผิดนัก… ทั้งๆที่สัญญาว่าจะดูแลนางให้ดี ตามที่ไป่ยวี่สั่งเสียเอาไว้แท้ๆ”
หยู่เจี่ยยิ้มด้วยสีหน้าขมขื่น มารดาของคุณหนูหลินซีคือเชื้อพระวงษ์แห่งราชวงศ์จิ้น ทั้งยังได้รับพระราชทานตำแหน่งองค์หญิงจากอดีตฮ่องเต้แคว้นหลาน และยังเป็นหนึ่งในจอมยุทธ์ที่เก่งกาจที่สุดในแคว้นหลานแห่งนี้ ทว่านางก็ได้จากโลกใบนี้ไปเสียแล้ว…
“หยู่เจี่ย ดูแลเสี่ยวซีให้ดี ประเดี๋ยวข้าจะให้พ่อบ้านรีบไปตามหมอจากราชวังมาให้…” หลินเฟิ่งยิ้มเล็กๆให้กับสาวใช้ตรงหน้า ดวงตาฉาบฉายความซาบซึ้งยากพรรณนา ทว่าในใจกลับเจ็บปวดบาดลึกถึงกระดูก
“ท่านเจ้าเมืองโปรดอย่าได้กังวล ต่อไปนี้ข้าจะดูแลคุณหนูให้ดียิ่งขึ้น จะไม่มีใครมารังแกคุณหนูของข้าน้อยได้อีกต่อไป…” หยู่เจี่ยโค้งหัวเล็กน้อยก่อนจะเดินออกไป ด้วยสีหน้าเหี้ยม
หลังจากหยู่เจี่ยจากไป หลินเฟิ่งพลันมองภาพวาดของหญิงสาวเรือนผมสีเงินที่ตั้งอยู่บนโต๊ะด้วยสายตารู้สึกผิด เขาได้แต่กล้ำกลืนความผิดบาปนี้ไว้กับตัวเพียงลำพัง
เสี่ยวยวี่...ข้าขอโทษ