“เจ้าโกหกข้ารึ!” เขาเอ่ยพร้อมยกคิ้วเป็นเชิงคาดคั้นทว่าน้ำเสียงที่ออกมิได้แฝงอารมขุ่นเคืองแต่อย่างใด เขาต้องการดูว่านางจะช่วยเหลือหญิงน่าตายนั้นอย่างไร จิตใจดียิ่งนักสตรีบ้านนอก!
“เปล่าเจ้าค่ะ คือ...นางยังไม่ทันได้โดนตัวข้าน้อยก็ดันเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อนเจ้าค่ะ” นางพยายามบอกเล่าเหตุการณ์เมื่อสักครู่ให้หลงฉีฟัง เพราะตอนนั้นหลงฉีไม่ได้แลตามองว่าเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นกับตนบ้าง การโป้ปดสักนิดเพื่อแลกกับชีวิตคนนางยอม
“ไม่โดนแล้วรอยนี่คืออะไร” หลงฉีคาดคั้นเอาความจริงออกจากปากนางให้ได้ เขาจ้องนางไม่วางตาทั้งยังตำหนิความเขลาที่คิดจะโกหกเขาซึ่งๆ หน้า ‘หึ! เจ้าตัวโง่งมเอ๋ย ไม่ผิดแต่ไม่กล้าเถียงแล้วยังคิดจะปกป้องอีกงั้นรึ’ เขาเอาแต่คาดคั้นทางสายตาส่วนนางก็ได้แต่บ่ายเบี่ยง ระหว่างนั้นเองเฟิงฉือได้เดินทางมาพร้อมผู้ว่าการอำเภอ
“เรียนท่านอ๋องข้าน้อยเชิญท่านผู้ว่าการอำเภอมาแล้วขอรับ” เฟิงฉือคุกเข่ารายงาน ด้านผู้ตรวจการอำเภอมาถึงพร้อมใบหน้าซีดเผือดเมื่อรู้ว่าใครต้องการพบ เขารีบสาวเท้าเข้ามาหาผู้ที่มีอำนาจในเวลานี้
“ข้าน้อยเหวินฉี คารวะจวิ้นอ๋องขอรับ” ผู้ตรวจการคุกเข่าทำความเคารพผู้ที่ตำแหน่งสูงกว่า เขาก้มหน้าต่ำที่สุดเท่าที่ทำได้
“ไม่ต้องมากพิธีไปหรอกท่านผู้ว่าการเหวิน ที่เปิ่นหวางเชิญเจ้ามาในวันนี้ แค่อยากปรึกษาอะไรกับท่านสักหน่อย คงไม่ล่วงเกินเวลาท่านเกินไปใช่หรือไม่?” หลงฉีเอ่ยถามเสียงเรียบทำให้ผู้ถูกถามเสียวสันหลังวาบ พลางตอบเสียงตะกุกตะกัก “ไม่เลยขอรับจวิ้นอ๋อง ข้าน้อยยินดีเป็นอย่างยิ่ง”
“ดี! ท่านเรียกข้าท่านอ๋องก็พอ ข้าไม่ชอบมากพิธี”
“ขอรับท่านอ๋อง แล้วไม่ทราบว่าท่านอ๋องจะปรึกษาข้าน้อยด้วยเรื่องอันใดหรือขอรับ”
“ไม่มีใครเลี้ยงอาหารใครเปล่าๆ โดยไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทน ท่านว่าจริงหรือไม่ผู้ตรวจการ” หลงฉีเอ่ยถามด้วยแววตานิ่งเรียบยากจะคาดเดาอารมณ์ ด้านเสี่ยวหลานหัวใจลงไปอยู่ใต้ตาตุ่มนึกถึงเรื่องของตนที่ถูกเขาทวงบุญคุณโดยนำเรื่องที่ช่วยชีวิตตนพร้อมการตอบแทนผืนแผ่นดินจนใบหน้านางซีดเผือด
“เอ่อ...” ผู้ว่าการเหวินยังงุนงงกับคำพูดของหลงฉี แต่ยังไม่กล้าที่จะเอ่ยถาม หลงฉีกระตุกยิ้มคราหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นมา
“ผู้ใดคือเจ้าของโรงเตี๊ยมแห่งนี้” หลงฉีเอ่ยถามขึ้นมาทั้งที่เขาเดาไม่ยากว่าเป็นใครเพียงแต่เขาไม่รู้จักชื่อเท่านั้น และในที่สุดเจ้าของโรงเตี๊ยมได้เดินออกมาจากที่ซ่อนพร้อมคุกเข่าทำความเคารพ
“เจ้าเองหรอกหรือ ที่เปิ่นหวางเอ่ยถามเจ้าวันนี้ เพราะข้าทำร้านเจ้าพัง เจ้าจะคิดค่าเสียหายเท่าไหร่”
“เอ่อ...ไม่ขอรับ ข้าน้อยไม่คิดสักอีแปะเดียวขอรับ” เจ้าของโรงเตี๊ยมกลัวจนตัวสั่นเพราะภาพเมื่อครู่ยังตราตรึงเขาอยู่ ทั้งที่ใจคิดคำนวณความเสียหายอยู่คราวๆ เขานึกเสียใจที่ตนต้องเกิดมาอาภัพเสียเปรียบผู้มีอำนาจวาสนา
“เจ้าไม่คิดกับข้า แต่จะไปคิดกับบิดาของเสี่ยวหลานเองอย่างนั้นรึ? และอาจรวมถึงอาหารที่ข้ากินไปทั้งหมดในวันนี้เจ้าก็จะคิดกับเขาด้วยใช่หรือไม่ ตอบ!” เขาเป็นคนที่ไม่ชอบในพิธีรีตองนัก เมื่อพูดขึ้นน้ำเสียงพลันแข็งกระด้างจนคนฟังเกิดความสะพรึงกลัวขึ้นมาโดยทันที
“เอ่อ...ข้าน้อยมิกล้าขอรับ”
“หึ! หางเจ้ามันโผล่มาให้ข้าเห็นเป็นนานแล้ว ถ้าข้าต้องการโรงเตี๊ยมแห่งนี้เจ้าจะคิดเท่าไหร่?”
“เอ่อ... คะ..คือ ข้าน้อย” เจ้าของร้านไม่กล้าที่จะตอบเพราะคำถามนี้ยากที่จะตอบอย่างยิ่ง แม้ว่าความจริงแล้วกิจการของเขาก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก หากไม่ได้เสี่ยวเค่อมาขอเช่าหน้าร้านเพื่อเปิดขายซาลาเปาคงไม่มีใครเข้าร้านตนเป็นแน่และก็เจ๊งไปในที่สุด
“เฟิงสือ! จ่ายไป ข้าต้องการชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดรวมทั้งโฉนดของร้านนี้ที่ข้าต้องการ”
“ขอรับ” เฟิงสือตอบรับและจัดการตามคำสั่งของหลงฉีโดยมีผู้ตรวจการเหวินเป็นผู้ตรวจสอบความเรียบร้อย เมื่อทุกอย่างดำเนินการอย่างรวดเร็วเมื่อเขารับโฉนดมาไว้ที่มือจึงยื่นให้แก่เสี่ยวหลานที่นั่งด้านข้างเขาอยู่นานแล้ว ทว่านางไม่ยื่นมือไปรับเสียทีจนเขาหรี่ตามอง
“เอ่อ...ท่านอ๋อง ข้าน้อยคิดว่า...” เสี่ยวหลานเห็นว่ามันไม่ถูกต้องและไม่สมควรสักเท่าไหร่ทว่าหลงฉีกลับตีหน้าบึ้ง “หุบปาก ไม่ใช่เรื่องของเจ้าที่จะมาคิดแทนข้า รับไปเสีย!” หลงฉีตะคอกใส่เสี่ยวหลานหลังจากนั้นจึงหันมาขอความคิดกับผู้ตรวจการอีกครั้งหนึ่ง
“อีกอย่างท่านผู้ว่าการเหวิน ระหว่างที่เปิ่นหวางมาราชการที่มณฑลนี้ เปิ่นหวางได้รับรู้มาว่าคนของเมืองจิ้นหยางคิดก่อการกบฏ ขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ แต่เปิ่นหวางได้จัดการไปแล้ว ท่านคิดว่าเปิ่นหวางจัดการถูกหรือไม่”
“ถูกต้องแล้วขอรับ” ผู้ตรวจการเหวินไม่รู้ว่าหลงฉีสื่อถึงสิ่งใดแต่การพูดเอาอกเอาใจคือหนทางอยู่รอดที่เขาคิดได้ในเวลานี้ และคำตอบนำมาซึ่งความพอใจต่อหลงฉีไม่น้อยเท่าที่เขาสังเกต
“แล้วถ้าคนที่เปิ่นหวางจัดการไป ฮูหยินของเขามาทวงความยุติธรรม ท่านคิดว่าเปิ่นหวางควรทำอย่างไร” คำถามนี้ทำให้เสี่ยวหลานสะดุ้งเฮือก กระทั้งย่งฮูหยินที่นั่งอยู่ไม่ไกลพิจารณาจากคำพูดก็เริ่มเอะใจว่าฮูหยินของใครที่มาทวงความยุติธรรมกัน
“เอ่อ...ข้าน้อย” ผู้ว่าการเหวินน้ำเสียงอึกอักขึ้นมาบ้างแล้ว เพราะก่อนที่เขาเข้ามาได้สังเกตเห็นย่งฮูหยินที่ร้อยวันพันไปไม่ค่อยได้ออกมาจากจวนเพื่อมาโรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งนี้ หรือว่า…
“ไม่เป็นไร ปกติเปิ่นหวางไม่ใช่คนพูดมาก” หลงฉีเงียบไปสักพักหลังพูดประโยคนี้จบ ก่อนที่จะเอ่ยคำพูดออกมา ในระหว่างนั้นเฟิงสือส่ายหน้าให้กับความเจ้าคิดเจ้าแค้นของนายแต่ก็นึกสนุกขึ้นมามองดูเหตุการณ์ของชาวบ้านธรรมดาๆ สักคน
“จับนางและคนทั้งตระกูลไปขัง ในเมื่อกล้าทวงคน ข้าก็จะส่งให้ไปพบกัน” ย่งฮูหยินตกใจทันทีที่คำพูดของชายแปลกหน้าที่มีตำแหน่งสูงส่งสั่งการ ผู้ชายสองสามคนตรงปรี่เข้ามาและจับตัวนางทันที เช่นนั้นคนที่ขัดขวางการทำงานของทางการคือสามีนาง! คนที่ท่านอ๋องจัดการไปแล้วก็สามีนาง! นางถึงกับหมดเรี่ยวแรงจะทำอะไรต่อล้มพับลงไปกองกับพื้นทว่ายังมีสติร้องขอชีวิตของตนเองและคนในตระกูล
“ท่านอ๋องเพคะ โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วย ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่ ข้าน้อยไม่ทราบเรื่องจริงๆ ขอทรงเมตตา” นางร้องห่มร้องไห้ โขกศีรษะเพื่อให้รอดพ้นจากพันธนาการที่ไร้หนทางสว่าง
“หึ! ขอความเมตตาจากข้า เจ้าคิดผิดเสียแล้ว”
“ท่านอ๋องโปรดเมตตาด้วยเจ้าค่ะ” ย่งฮูหยินร้องขอชีวิต น้ำตานองหน้าอย่างที่ชีวิตนี้ไม่เคยร้องไห้ให้กับผู้ใดมาก่อนแม้แต่สามี พร้อมโขกศีรษะเป็นพัลวัน หลงฉีหรี่ตามองอย่างนึกสนุกเพราะแท้ที่จริงเขาไม่ได้จะจัดการนางจริงๆ
“ข้าให้เสี่ยวหลานเป็นคนตัดสินใจ” หลงฉีชี้ไปที่เสี่ยวหลานเพื่อให้นางเป็นผู้ตัดสินใจแทนเขาในเรื่องนี้เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้เดือดร้อนด้วยอยู่แล้ว ด้านเสี่ยวหลานทำอะไรไม่ถูกและไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร
“ข้าให้เวลาเจ้าตัดสินใจว่าจะปล่อยหรือจะให้ตาย!” หลงฉีเอ่ยพร้อมหรี่ตามองไปยังเสี่ยวหลาน ส่วนนางเห็นใบหน้าเหี้ยมนางตกใจหน้าซีด ปากสั่น มือเท้าเย็นเพราะตลอดชีวิตนางไม่เคยเจอเหตุการณ์ให้นางต้องตัดสินใจเช่นนี้มาก่อนและเรื่องนี้ล้วนเกี่ยวกับความเป็นความตาย
“เร็ว! ข้าไม่ได้มีเวลามาตัดสินความให้เจ้านักหรอกนะ” หลงฉีตวาดใส่เร่งเร้าความคิดความอ่านนางเพราะเขาเป็นคนที่ตัดสินอะไรเร็วและเฉียบขาด
“เอ่อ...ข้า...ข้าน้อยขอชีวิตพวกเขาได้หรือไม่เจ้าคะ” เสี่ยวหลานเอ่ยด้วยสีหน้าตื่นกลัว น้ำเสียงที่ออกมาล้วนตะกุกตะกักและกลัวคำตอบของตนเองจะทำให้เขาโกรธ
“ดี! เจ้าทำดีมากเสี่ยวหลาน ปล่อยคน!” แม้หลงฉีจะรู้คำตอบแต่ก็ยังรู้สึกหงุดหงิดเพราะรอยช้ำที่นางประสบมายังน้อยไปกับการอภัยครั้งนี้ นางเป็นคนใจอ่อนทั้งๆ ที่นางถูกฮูหยินย่งทำร้าย ถึงแม้ไม่บาดเจ็บสาหัสก็ตามแต่นั่นยังไม่รวมสามีของนางด้วย เมื่อทหารปล่อยย่งฮูหยินแล้วทว่านางหายใจยังไม่ทั่วท้องก็ถูกหลงฉีตัดสิน
“เสี่ยวหลานปล่อยเจ้า แต่เพราะเจ้าสร้างความขุ่นเคืองให้กับพวกนั้นจนมันแอบทำร้ายราชนิกุลอย่างข้า เจ้ามันร้ายไม่อยู่จวนให้ดีเที่ยวทำตัวระรานผู้อื่นไปทั่ว ข้าตัดสินสถานเบาให้ก็แล้วกัน” เขากดมุมปากยกยิ้มแม้แต่เฟิ่งสือยังหลุบตาต่ำกับหายนะครั้งนี้ “เจ้า!” หลงฉีชี้ไปยังสตรีนางหนึ่งที่คิดว่าเป็นผู้ติดตามย่งฮูหยิน “ตบปากนางร้อยที!” บ่าวผู้นั้นตกใจลนลานแต่ก็ไม่กล้าขยับทำให้หลงฉีมีโทสะ ชี้ไปยังบ่าวทั้งหมด
“ดี! ในเมื่อพวกเจ้าเป็นบ่าวไม่ตักเตือนนายก็พลัดกันตบปากคนละร้อยที หากไม่ทำตามข้าจะได้สั่งคนของข้าตีพวกเจ้าคนละร้อยไม้ ดูสิว่าระหว่างฝ่ามือของพวกเจ้ากับไม้ของทางการเจ้าจะเลือกสิ่งใดเป็นการลงโทษ” สิ้นเสียงบ่าวไพร่ตรงปรี่ไปที่ย่งฮูหยินและตวัดฝ่ามือตบเข้ายังใบหน้าและบ่าวอีกคนก็เวียนกันตบจนครบหนึ่งร้อยที ต่างฝ่ายต่างเจ็บช้ำไปถ้วนทั่ว
“ปรับเงินตระกูลย่งสองพันตำลึงมอบให้บิดาของเสี่ยวเค่อโทษฐานที่บุตรชายทำตัวเป็นโจรราคะ ทำลายอารามร้าง” เขาจ้องไปยังผู้ตรวจการอำเภอเหวิน เขารีบทำตามคำสั่งทันที หลงฉีเมื่อแก้แค้นให้เสี่ยวหลานเรียบร้อยจึงสั่งการ
“เฟิงสือ เตรียมม้า” หลงฉีสะบัดหน้าออกไปพร้อมด้วยเหล่าทหารที่ไม่ได้สวมเครื่องแบบติดตามมา รวมถึงนักฆ่าที่จับเป็นด้วยเช่นกัน