“โอ๊ยนี่ยัยซิน ก็พี่สิบทิศไง พี่ สิบ ทิศ! นี่แกตั้งใจฟังไหมเนี่ย” ซูซี่ตอบแทนยัยแพรว พร้อมกับยื่นมือมายืดหูของฉันทั้งสองข้าง ราวกับจะบอกว่าให้ฟังและจับใจความด้วย
“ฟังย่ะ แต่หลายคนเกินไปมะฉันงง ว่าก็ว่าเถอะนะ ที่แกเล่ามากลุ่มพี่เขาก็ดูไม่ธรรมดา แกจะคุยก็ระวังๆ หน่อยละกัน แกด้วยซูซี่ไปด้วยกันก็ห้ามๆ กันบ้าง” บ่นอีกรอบ
“ค่ะแม่/ค่ะแม่!” ประสานเสียงพร้อมเพรียงเชียว ที่บอกไปก็เพราะเป็นห่วงแหละนะ
“อุ๊ย! พี่สิบทิศไลน์มา” หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู พอเห็นข้อความจากคนนั้นก็ทำท่าทางดี๊ด๊า
“ไหนๆ ไลน์มาว่าไง” ซูซี่ถามพลางยื่นหน้าเข้าไปส่องหน้าจอโทรศัพท์ยัยแพรวที่กำลังแชตอยู่
“พี่เขาชวนไปกินข้าวแหละตอนเย็น เขาบอกชวนเพื่อนมาด้วยก็ได้ พวกแกไปด้วยกันสิ” ยัยแพรวเขย่าแขนฉันพลางพูดชวนเพื่อให้ไปด้วยกัน จะบ้าหรือเปล่าเนี่ยเพื่อนฉัน นี่ได้ข่าวว่าพึ่งเจอกันเมื่อคืนนี้เองนะ
“ฉันไป! / แกไปเถอะ” ซูซี่บอกไป แต่ฉันไม่ไปหรอก
“อ้าว ทำไมอะ”
“พวกแกไปกันเถอะ ตอนเย็นฉันรีบกลับไปนอน” อ้างไปเรื่อยแหละ พอฉันบอกไปอย่างนั้นยัยแพรวก็ทำหน้าเป็นหมาหงอยเลย
“ฉันอยากให้แกไปด้วย” ทำหน้าออดอ้อนตามสไตล์ อย่าหวังว่าฉันจะหลงกลมารยาหญิง
“ไว้คราวหลังละกันนะ ตอนนี้ไปกินข้าวเถอะข้าวเที่ยงเนี่ย เดี๋ยวโรงอาหารคนเยอะ” ฉันรีบเปลี่ยนเรื่องทันที พร้อมกับเก็บของใส่กระเป๋าแล้วเดินนำไปออกมาเพื่อไปโรงอาหารของคณะอย่างไม่รีรอให้ยัยแพรวได้พูดไรต่ออีก เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยง
“ชิ!” เสียงสะบัดดังไล่ตามหลังมา
หลังจากที่ฉันเทไม่ไปกินข้าวกับสองคนนั้น ฉันก็กลับห้องมาทันทีหลังเลิกเรียนในช่วงบ่าย เพื่อกันไม่ให้ทั้งสองเซ้าซี้ หลายๆ คนอาจจะสงสัยว่าทำไมฉันไม่ไปกับทั้งสองคนนั้น
ไม่มีอะไรมากหรอกแค่ขี้เกียจเท่านั้นเอง ฉันเป็นคนเข้ากับคนอื่นไม่เก่งเท่าไร ยิ่งกับคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนยิ่งทำตัวไม่ค่อยถูก กลัวไปแล้วไม่สนุกพลอยทำให้คนอื่นอึดอัดซะเปล่า พออยู่คนเดียวในโซนของตัวเองแล้วก็ไม่ทำอะไรมาก เปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดนักศึกษาแล้วนั่งเล่นโทรศัพท์ เช็กนั่นนี่ไปเรื่อย แต่ละวันก็วนลูปอยู่แบบนี้
ถ้าวันไหนมีงานที่อาจารย์สั่งก็อาจจะทำจนดึกดื่น แต่ถ้าวันไหนไม่มีงานก็เล่นจนดึกเหมือนกัน เลื่อนดูแอปต่างๆ มาสักพักก็เห็นยัยแพรวเพื่อนตัวดีอัปไอจีสตอรี่ว่าไปกินข้าวกับซูซี่ แต่ก็แอบถ่ายให้ติดผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามเหมือนกัน ท่าทางดูดีเชียว แต่เหมือนฝั่งนู้นจะมากันแค่สองคน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าคนไหนกันแน่ที่เป็นคนที่กำลังคุยๆ ของยัยแพรว
แพรว : เป็นไงๆ ผ่านไหมพี่สิบทิศของฉัน
ไม่นานแพรวก็ส่งข้อความผ่านช่องทางไดเรกอินสตาแกรมมา คงเห็นว่าฉันเข้าไปดูสตอรี่ของนางแล้ว
ซิน : คนไหนล่ะ เห็นมีสองคน
แพรว : ก็คนที่ใส่เสื้อนักศึกษาผมสีเทาหล่อๆ ไง คนที่ใส่เสื้อช็อปสาขาสีกรมท่าคือพี่อัคคี
แพรว : วันนี้ฉันได้ยินพี่เขาพูดแล้วแก๊
แพรว : เห็นบอกว่าโดนพี่สิบทิศลากมาจากช็อปยานยนต์
ซิน : อ่อ
ซิน : ก็ดูไม่แย่
ซิน : กินข้าวให้อร่อยแล้วกัน
ซิน : อย่ามัวแต่แชต เดี๋ยวไม่ได้ผู้นะยะ
แพรว :ไม่พลาดแน่นอน ไปละๆ ค่อยคุยต่อ
จากนั้นยัยแพรวก็เงียบหายไป ดูท่าจะชอบจริงๆ เพื่อนฉัน ถึงทุกอย่างจะดูรวดเร็วไปหน่อย แต่อย่างว่าแหละเวลาก็อาจจะไม่ใช่ตัวกำหนดความเป็นไปของความสัมพันธ์เสมอไป ฉันคิดว่ายัยแพรวคงคิดและจัดการเองได้ อีกอย่างมีซูซี่ไปคอยเป็นคู่หูอยู่ คงจะพอดูแลกันได้แหละมั้ง
หลายเดือนผ่านไป...
วันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายของการสอบกลางภาคของภาคเรียนที่สองกว่าจะผ่านแต่ละวิชาไปได้เล่นเอาแทบคางเหลือง อดหลับอดนอนอ่านหนังสือเพื่อทบทวนบทเรียนและเตรียมตัวสำหรับการสอบ การเรียนวิศวะนี่มันไม่ง่ายเลย ถ้าไม่อ่านหนังสือไม่มีทางทำข้อสอบได้แน่ๆ บางทีอ่านแค่เท่าที่อาจารย์สอนก็ไม่ได้หรอก ต้องค้นคว้าหาอ่านเพิ่มเติมอีก สอบเข้ามหาลัยว่ายากแล้ว สอบให้ผ่านแต่ละวิชาในมหาลัยนี่ยากกว่า แต่ก็นะนี่คือสิ่งที่ฉันเลือกและต้องผ่านไปให้ได้
“เป็นไง ทำข้อสอบได้ไหม” เดินออกมาจากห้องสอบ หลังจากทำข้อสอบจนวินาทีสุดท้าย ก็เห็นยัยเพื่อนสาวทั้งสองของฉันยืนรออยู่หน้าห้องด้วยท่าทางหงอยๆ
“ว่าไง ทำไมทำหน้าแบบนั้น” เห็นหน้าท่าทางสองคนนี้ดูไม่ไหว
“ฉันทำไม่ได้อะ...”
“จริงดิ”
“ที่ไหนกันล่ะ กรี๊ดดดดดด ขอบใจแกมากเพื่อนรักที่ติวให้ฉัน ฉันต้องไม่ตาย” พูดไปกระโดดโลดเต้นเข้ามาเกาะกอดฉันไปด้วยทั้งสองคน เพื่อนฉันทำข้อสอบได้ฉันก็ดีใจ ที่จริงแล้วสองคนนี้ไม่ได้ไม่เก่งอะไรหรอกนะ เก่งเลยแหละแต่ติดเล่นและขี้เกียจไปหน่อย เวลาเรียนในห้องไม่ค่อยตั้งใจ ตอนสอบเลยต้องอ่านเยอะมากขึ้น
“อืม คราวหลังพวกแกก็ตั้งใจเรียนบ้างล่ะ จะได้ไม่เหนื่อยตอนอ่านหนังสือสอบ”
"โหแก อาจารย์คนนี้พูดเร็วไฟแลบ ฉันแค่เหม่อแป๊บเดียวไปแล้ว ไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้” ยัยซูซี่ตอบกลับมาทันควัน
“เฮ้อออ คราวหลังแกก็อย่าหลุดแล้วกัน”
“ได้!” พร้อมเพรียงเหมือนเดิม
“นิ! ยัยซิน คราวนี้ก็สอบเสร็จแล้วนะ แกปฏิเสธมาหลายรอบแล้ว รอบนี้แกต้องไป!”
ยัยแพรวพูดขึ้นระหว่างที่เรากำลังเดินออกจากตึกเรียนรวม ที่ยัยแพรวพูดคือหมายถึงเรื่องที่ฉันคอยแต่ปฏิเสธเวลาที่ชวนไปเที่ยวกับ กลุ่มแฟนของนาง ใช่อ่านไม่ผิดหรอก ยัยแพรวมีแฟนแล้วและแฟนของยัยแพรวก็คือพี่สิบทิศที่นางตกได้เมื่อหลายเดือนก่อน คุยกันได้สักพักก็ตกลงเป็นแฟนกัน โดยมีซูซี่คอยเชียร์
ความจริงพี่สิบทิศก็ไม่ได้แย่อะไรนัก เห็นดูแลยัยแพรวดีคอยรับคอยส่งตลอด ก็ถือว่าคนนี้ฉันให้ผ่าน ตัวฉันก็เคยเจออยู่หลายครั้งแต่แค่ไม่เคยได้ไปเที่ยวด้วยกันกับพวกพี่เขาตามที่ยัยแพรวชวนเหมือนอย่างที่ซูซี่ไป ส่วนเพื่อนในกลุ่มพี่เขาฉันก็ยังไม่เคยเจอหรอก แต่ก็พอรู้จักผ่านๆ ตามที่ยัยแพรวเล่า
“ใช่ แกปล่อยให้ฉันไปโดดเดี่ยวหลายครั้งแล้วนะ คราวนี้แกต้องไปบ้าง แกหมดข้ออ้างแล้ว” ยัยซูซี่พูดเสริมทัพกับยัยแพรว คราวนี้ฉันก็คงหมดข้ออ้างแล้วจริงๆ
“เอ่อ...” สักนิดละกัน ฉันพูดพลางคิดไปด้วยเพื่อหาลู่ทางพร้อมกับเตรียมตัวจะวิ่งหนี
“ห้ามปฏิเสธ!” ว่าแล้วก็ล็อกแขนฉันไว้ทั้งสองคนจนขยับหนีไปไหนไม่ได้ มองอ้อนขอความเห็นใจก็ไม่ได้รับการตอบรับแถมยังรัดแขนแน่นขึ้นกว่าเดิม เออไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วไปสักครั้งจะเป็นไรไป
“อือ ไปสิใครจะปฏิเสธล่ะ” ตอแหลที่สุดเลยฉัน
“ย่ะ!”
“แล้วจะไปที่ไหน เมื่อไร” พูดกันมาตั้งนานฉันก็ยังไม่รู้เลยว่านัดเมื่อไร
“วันนี้” ซูซี่บอก
“ฮะ!?” ไม่คิดว่าจะรีบขนาดนี้ คงกะไปฉลองสอบเสร็จละสิท่า
“ที่ร้านนั่งเล่น วันนี้จัดร้านเบาๆ ก่อน” ยัยแพรวว่าพร้อมกับเปิดโทรศัพท์เข้าเฟซบุ๊กเซิร์ชหาเพจร้านเพื่อให้ฉันดู
“เนี่ยพวกฉันเลือกร้านที่ใกล้ๆ เลยนะยะ” ใกล้? ร้านนี้คือใกล้แล้วใช่ไหม
“ใกล้คอนโดพวกแกน่ะสิ”
ใช่ค่ะสองคนนี้อยู่คอนโดเดียวกันแต่คนละห้องนะ คอนโดของทั้งสองก็อยู่นอกเมืองนี่แหละ แต่ก็ใกล้กับแหล่งที่เที่ยวยามค่ำคืน เลือกที่พักได้ตรงกับไลฟ์สไตล์ตัวเองเลยจริงๆ ส่วนฉันเลือกอยู่หอพักใกล้ๆ มหาลัยดีกว่า ไม่แพงมากแถมเดินทางสะดวก
“เอาน่า ยังไงแกก็ขับกลับไหวอยู่แล้วไม่ได้ไกลขนาดนั้นนะ”
“อือๆ ว่าแต่นัดกี่โมง” ฉันว่าพลางยกข้อมือขึ้นเพื่อดูนาฬิกาไปด้วย ตอนนี้ก็บ่ายสี่โมงกว่าๆ แล้ว
“แฟนยัยแพรวนัดสองทุ่ม เจอกันที่ร้าน” แหมซูซี่ รู้ดีเหลือเกินนะ
หลังจากที่นัดแนะเรื่องสถานที่และเวลากันเรียบร้อยพวกฉันก็แยกกันกลับห้องของตัวเอง เราตกลงกันว่าฉันจะไปหาทั้งสองที่คอนโดตอนหนึ่งทุ่มครึ่ง เพื่อไปร้านพร้อมกับพวกนาง ตอนนี้ก็จะห้าโมงละ ฉันพอมีเวลากลับไปนอนสักงีบก่อนที่จะเตรียมตัวไปเที่ยวคืนนี้
“อือออออ ใครโทรมานักหนาเนี่ย” ฉันงัวเงียตื่นขึ้นมาหลังจากมีสายเรียกเข้ารัวๆ จากใครบางคน รบกวนเวลานอนชะมัด ว่าแต่ตอนนี้กี่โมงแล้วเนี่ย หลับลึกเลย มองไปรอบๆ เตียงเพื่อหาที่มาของเสียง อ๊ะ! ตกอยู่ข้างเตียงนี่เอง ไม่รอช้า ยื่นมือไปจับโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อดูหน้าจอว่าใครกันที่โทรมารบกวนเวลา
“ยัยแพรวนี่เอง” พอรู้ว่าเป็นใครฉันก็กดรับสายทันที
“ว่าไงแก”
(ยัยซิน! ยัยบ้า! แกอยู่ไหนแล้วนี่มันเลยทุ่มครึ่งมาแล้วนะ!) เสียงยัยแพรวหวีดมาตามสาย เล่นเอาแก้วหูแทบแตกยกโทรศัพท์ออกจากหูแทบไม่ทัน
“อะไร อยู่ไหน ฉันก็อยู่ห้องไง” ยัยนี่ก็ถามแปลกๆ ฉันจะไปอยู่ไหนได้
(นี่แกลืมใช่ไหมฮะ!? ชะนี!)
เสียงซูซี่ดังแทรกขึ้นมา อ่า อยู่ด้วยกันสินะ ว่าแต่ฉันลืมอะไรไปเหรอ สอบเสร็จกลับมาก็นอน นอน...นอน ฉันเงียบและนั่งคิดว่าลืมอะไรพลางมองไปรอบๆ ห้อง อ่าห้องเปิดไฟทิ้งไว้นี่เอง แต่เอ๊ะประเด็นนี้ไม่น่าเกี่ยว คิดๆ คิดสิ คิดออก! คิดออกแล้ว! ซวยแล้วไง งานเข้าฉันแล้ว ลืมนัดยัยสองคนนี้เลย นอนเพลินไปหน่อย แต่ฉันจะไม่บอกหรอกว่าลืม ไม่งั้นโดนด่าหนักกว่านี้แน่
“ลืมอะไรล่ะ ฉันกำลังออกไป” แก้ตัว นี่มันคือคำตอแหลยอดฮิตติดลมบนที่ใช้เป็นข้ออ้างของคนช้า กำลังออกที่ไหนล่ะ น้ำก็ยังไม่ได้อาบ
(ช้า!) เสียงดังเชียวนะ (แกรีบๆ ออกมาเลยนะ ห้ามเบี้ยว แต่ฉันไม่รอแกแล้วเจอกันที่ร้านเลย)
“โอเคๆ งั้นแค่นี้ก่อนนะ จะขับรถ” ฉันตอบกลับไปแล้วรีบกดตัดสายก่อนที่ฉันจะช้าไปมากกว่านี้ วางโทรศัพท์แล้วรีบคว้าผ้าเช็ดตัววิ่งเข้าห้องน้ำทันที