GEAR 4:พี่รุกนะ หนูไหวเหรอ

2290 คำ
จากวันหยุดเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาฉันก็นอนอยู่ห้องและเคลียร์งานที่อาจารย์สั่ง มีออกไปหาอะไรกินข้างนอกบ้าง แต่ก็วนอยู่แค่บริเวณใกล้ๆ หอนี่แหละ วันนี้เป็นวันจันทร์ฉันมีเรียนตามปกติในตอนบ่าย จริงๆ แล้วตอนเช้าก็มีนะ แต่อาจารย์ยกคลาสไม่มีการเรียนการสอนในวิชานั้นเพราะว่ามีประชุม ทำให้วันนี้ตื่นสายได้ อยากจะบอกว่าการยกคลาสนี่เหมือนสวรรค์สำหรับฉันเลยล่ะ เพราะว่าในชั้นปีหนึ่งตารางเรียนจะแน่นมาก และอาจารย์จะสอนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยแบบไม่มีกั๊ก พอยกคลาสทีก็เหมือนได้เวลาหายใจเพิ่มขึ้น นี่ก็เป็นเวลาเที่ยงกว่าๆ แล้วฉันมีเรียนตอนบ่ายโมงตรง ยัยเพื่อนทั้งสองของฉันก็ช้าเสมอ บอกว่าจะขอแวะซื้อกาแฟก่อน นั่นไงพูดถึงก็มาเลย ตายยากจริงๆ “ฮายยยยชะนีน้อย วันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส ฉันอารมณ์ดีเลยซื้อมาฝาก” ซูซี่ที่เดินเข้ามาพร้อมกับยัยแพรวเอ่ยขึ้นและยื่นแก้วน้ำพลาสติกที่บรรจุของเหลวสีเข้มมาให้ วันนี้เพื่อนของฉันเหมือนจะแต่งตัวจัดเต็ม คงเพราะไม่ต้องตื่นแต่เช้า ทำให้มีเวลาจัดการตัวเองแต่งหน้าแต่งตามา อ้อคณะของฉันถึงแม้ว่าจะเป็นนักศึกษาปีหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้มีกฎห้ามเรื่องการแต่งตัวหรอกนะ แต่พวกฉันก็ยังคงใส่ได้แค่ชุดนักศึกษาเพราะยังไม่มีช็อปใส่เหมือนพวกพี่ปีโต “วันนี้ฝนตกแน่ๆ” คือยัยซูซี่ถึงแม้ว่าฐานะทางบ้านนางจะรวยมาก แต่นางก็งกสุดๆ ถึงกับบอกว่าเงินจะกระเด็นออกจากกระเป๋านางได้ ไม่เพื่อกินก็เพื่อเปย์ผู้ชายเท่านั้น ดีไหมล่ะคะทุกคน ลองเอาเทคนิคนี้ไปใช้ได้นะ จะได้มีเงินเก็บเยอะๆ เหมือนนาง แต่ต้องในกรณีที่ไม่ค่อยมีผู้ชายให้เปย์เยอะอะนะ “ฝนไม่ตกหรอกย่ะ เพราะของแกได้ฟรีมา ที่ร้านเขามีโปรสองแถม หนึ่ง” นั่นไงว่าแล้ว ฉันคงไม่มีบุญได้กินเงินยัยซูซี่จริงๆ แต่ไม่เป็นไรถึงจะเป็นของแถมแต่เพื่อนก็ยังมีน้ำใจนึกถึง “นี่ชะนีแพรว ไหนตกลงกันแล้วไงว่าจะไม่บอก” ซูซี่แห้วใส่ยัยแพรวเสียงดัง ตลกสองคนนี้จริงๆ “ฉันหมั่นไส้แก” ยัยแพรวว่าพร้อมกับความแก้วน้ำซูซี่มาดูดไปซู้ดใหญ่ ครึ่งแก้วไปแล้วนั่น เชื่อสิว่าต้องมีเสียงโวยวายจากซูซี่ “กรี๊ดดดดด” แล้วก็เกิดการตีกันระหว่างทั้งสองคน “พอๆ หยุดได้แล้ว ยังไงก็ขอบใจนะยะ” ฉันต้องห้ามทัพสองคนนี้อีกเช่นเคย “หยุดก็ได้...เพราะฉันมีเรื่องที่สำคัญกว่าที่จะต้องถามแก” พอห้ามทัพได้ เพื่อนฉันก็เปลี่ยนเป้าหมายทันที “ใช่!!!” ทำไมอยู่ดีๆ งานมาตกที่ฉันซะงั้น รู้สึกได้ถึงรังสีบางอย่างที่ส่งมาจากสายตาทั้งสองคู่ “อะไร มีอะไรจะถามก็ว่ามาสิ ทำไมต้องมองแบบนั้น” ถามไปด้วยความหวาดระแวงเพื่อนตัวเอง “วันนั้น!” เออวันไหนล่ะ “แกกับพี่อัคคีสุดหล่อของฉันเป็นยังไงกัน พวกแกไปแอบแชตลับหลังพวกฉันใช่ไหม” “เล่ามาให้หมด!!!” ว่าแล้วฉันต้องไม่รอด หลายวันที่ผ่านมาก็ไม่เห็นจะถามอะไร นึกว่าไม่ได้สนใจอะไรซะอีก นี่คงกะจะมาถามต่อหน้าเพื่อให้หลีกเลี่ยงไม่ได้สินะ หลังจากที่เขาบอกให้แชตหา กลับถึงห้องแล้วฉันก็ไม่ได้แชตไปบอกพี่เขาหรอกนะ จะให้ฉันพิมพ์ไปว่าอะไรล่ะ ‘ถึงห้องแล้ว ฝันดีราตรีสวัสดิ์ค่ะ’ มันจะดูสะเหล่อไปหน่อยไหม กับคนที่พึ่งรู้จักกัน ที่จริงพี่เขาอาจจะแค่บอกไปอย่างนั้น ไม่ได้ต้องการให้แชตไปจริงๆ ก็ได้ เมื่อคิดได้แบบนั้นฉันเลยไม่แชตไปบอกน่าจะดีกว่า แต่เรื่องก็ไม่จบง่ายขนาดนั้น ในตอนเช้าวันเสาร์ฉันตื่นขึ้นมาและเช็กโทรศัพท์ตามปกติก็มีแชตเด้งเข้ามา อัคคี : ยังไม่ถึง? ก็คนที่พึ่งแอดไลน์มาเมื่อคืนนั่นแหละค่ะ ถามได้กวนมาก นี่ก็เช้าแล้ว ฉันไม่ได้เดินทางข้ามจังหวัดสักหน่อย ซิน : ถึงตั้งแต่เมื่อคืนแล้วค่ะ ฉันตอบกลับไปทันที ก็ไม่รู้จะลีลาไปทำไมในเมื่อเขาเป็นคนทักมาเอง และอีกอย่างถ้าไม่เห็นหน้าฉันก็กล้ากว่าปกติอยู่แล้ว เหมือนกับเขาที่ถนัดพิมพ์ไม่ถนัดพูดนั่นแหละ อัคคี : ทำไมไม่แชตมาบอก ซิน :ลืมค่ะ ก็อย่างที่รู้แหละค่ะ ว่าฉันไม่ได้ลืมหรอกเป็นความตั้งใจเลยต่างหาก อัคคี : คราวหลังอย่าลืม...ฉันรอ ช็อกครั้งที่หนึ่ง ใจฉัน...หยุดเต้นไปแล้ว ไม่ตายก็ใกล้ตายแล้วตอนนี้ ทำไมเขาต้องรอฉันด้วย อย่ามาทำแบบนี้ได้ไหม คนทางนี้มันคิดไปไกล นี่พึ่งรู้จักกันได้วันเดียว ไม่สิไม่ถึงวันเลยด้วยซ้ำ เป็นแค่คนที่เป็นเพื่อนของแฟนเพื่อน และแค่มีเหตุให้มีช่องทางติดต่อกันแค่นั้นเอง ในความสัมพันธ์แบบนี้ เขาสามารถมาพูดอะไรแบบนี้ได้ด้วยเหรอ นี่ฉันควรทำยังไง หรือจริงๆ แล้วเขาแค่รอ...ในฐานะที่เป็นรุ่นพี่ ซิน : คราวหลัง? อัคคี : อืม... อัคคี : คราวหลัง ยังไง คือจะมีครั้งต่อไปเหรอ อัคคี : แล้วก็... อัคคี : อย่าใส่กางเกงให้มันสั้นนัก ผู้ชายมอง ช็อกครั้งที่สอง เขามีสิทธิ์อะไรกัน! ซิน : พี่ก็ผู้ชายไหมล่ะ เอาสิ มาอีกสิ ฉันสู้นะ ไม่ว่าการกระทำคำพูดแบบนี้ จะทำไปเพราะอะไรก็ตาม ฉันจะไหลไปตามน้ำแล้วกัน เดี๋ยวมันก็คงจะมีทางออกของมันเอง อัคคี : อืม...นี่ก็มอง จ้ะ เอาที่เธอสบายใจไปเลย นั่นแหละค่ะ นี่ก็เป็นบทสนทนายามเช้าของฉันและพี่เขาที่คุยแบบงงๆ ว่าทำไมถึงมาคุยกันได้ ย้อนยาวไปหน่อยกลับมาที่ปัจจุบันที่ยัยซูซี่ให้เล่าให้นางฟังว่ามีอะไรลับหลังพวกนางไหม คิดว่าฉันจะบอกไหมล่ะ เรื่องแบบนี้ใครจะเล่ากัน มันก็...เขินเป็นเหมือนกันนะ “ก็ไม่มีอะไรหนิ” ฉันตอบพวกนางไปด้วยใบหน้าเรียบนิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ฉันไม่เชื่อ!!!” สองนางตะโกนขึ้นมาพร้อมกันจนคนที่อยู่รอบข้างหันมามอง นี่กะจะให้คนอื่นมารู้ด้วยเลยรึไง “ไม่มีจริงๆ น่า” “เออออ ปิดได้ปิดไปนะชะนีน้อย” “นี่พวกแกเห็นในไลน์กลุ่มไหม ที่พี่เขาประกาศ” ยัยแพรวถามขึ้นมาหลังจากที่เข้ามานั่งเรียนได้สักพัก “ประกาศอะไรเรื่องอะไรยะ” ซูซี่ที่ไม่ได้สนใจฟังอาจารย์อยู่แล้วหันไปถามทันที ส่วนฉันตามองอาจารย์แต่หูก็ฟังเพื่อน ห้องนี้เป็นห้องเรียนที่นั่งแบบสโลปและตรงที่ฉันนั่งอยู่ก็เป็นหลังห้องตรงมุมที่อาจารย์ไม่ค่อยสังเกต ยัยเพื่อนของฉันเลยทำตัวตามสบายกัน “พี่เขาบอกว่าเดือนหน้าจะมีการมอบเสื้อช็อปคณะ” อ๋อ...เรื่องนี้นี่เอง คืออย่างที่รู้ๆ กันว่าคณะวิศวะ จะต้องใช้เสื้อช็อปในการเข้าเรียนภาคปฏิบัติของแต่ละวิชาที่ต้องใช้เครื่องไม้เครื่องมือ เพราะฉะนั้นนักศึกษาคณะนี้ทุกคนจะต้องมีเสื้อช็อปก่อนที่จะได้เรียนภาคปฏิบัติ เพราะงั้นพี่เขาเลยจะให้ตั้งแต่ก่อนจะจบชั้นปีหนึ่งเพราะชั้นปีที่สอง วิชาเรียนจะเริ่มเข้าเนื้อหาวิชาของแต่ละสาขาแล้ว แต่จริงๆ แล้ว จากที่รู้มาวิชาเรียนปกติที่ไม่ได้เข้าช็อป ก็สามารถใส่เสื้อช็อปมาเรียนได้ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับอาจารย์ผู้สอนในแต่ละวิชาว่าจะอนุญาตหรือเปล่า ซึ่งฉันก็อยากได้แล้วเหมือนกัน เบื่อจะต้องใส่ชุดนักศึกษาทุกวัน “ดีๆ ฉันอยากใส่แล้ว จะได้ดูกลมกลืนไปกับคนอื่นสักที” ซูซี่ว่า มันก็เรื่องจริง เพราะในคณะเราส่วนใหญ่จะใส่เสื้อช็อปกันทั้งนั้น ถ้าเห็นว่าใครใส่ชุดนักศึกษาคือสามารถรู้ได้เลยว่าเป็นเด็กปีหนึ่งแน่นอน “ส่วนฉันไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไร ใส่บ่อยแล้ว” ยัยแพรวว่าด้วยท่าทางน่าหมั่นไส้ “เหม็นความรัก!” ครั้งแรกที่ฉันกับซูซี่พร้อมใจกันพูดขึ้นเป็นเพราะยัยแพรวมีแฟนเป็นรุ่นพี่เลยพลอยทำให้ได้ใส่บ้าง “นิดหน่อยยย คิคิ” เบื่อคนมีความรักจริงๆ อะไรนิดอะไรหน่อยก็หัวเราะ “อย่าให้ฉันมีบ้างนะ ฉันจะพาแห่อ้อมมหาลัยเลย” เออสงสารคนคนนั้นรอเลยได้ไหม เรียนเสร็จฉันกับยัยซูซี่ก็ไปกินข้าวเย็นกันที่ร้านอาหารตามสั่งป้าสายใจเหมือนเดิม แต่ไม่เหมือนเดิมตรงที่ยัยคนติดแฟนมีนามว่าแพรว ปลีกตัวไปกินข้าวกับแฟนนางตั้งแต่เลิกเรียน เพราะพอลงมาจากตึกเรียนปุ๊บก็เห็นพี่สิบทิศยืนรออยู่ที่หน้าตึกแล้ว นี่คงห่างกันแค่เวลาเรียนกับเวลานอนเท่านั้นล่ะมั้ง ความจริงสองคนนั้นก็ชวนให้ไปด้วยกันนะ แต่ใครอยากจะไปเป็นก้างขวางคอกันล่ะ “ป้าคะ หนูเอากะเพราไก่ใส่หมูสับใส่เห็ดนางฟ้า ไข่ดาวกรอบ ขอแบบเผ็ดๆ เลยนะคะ” เดินเข้ามาที่ร้านฉันก็รีบสั่งอาหาร ลูกมือป้าสายใจก็จดตามที่สั่งทันที ไม่ต้องสงสัยนะคะว่าทำไมสั่งไปแบบนั้น ไม่โดนโยนออกจากนอกร้านเหรอ คือมันเป็นเรื่องปกติมากๆ สำหรับร้านนี้ และเป็นที่รู้กันดี เพราะก็ตามชื่อร้านอาหารตามสั่ง อยากกินอะไรยังไงก็สามารถสั่งได้ ซึ่งป้าเขาก็ทำได้ทุกอย่าง แต่ก็ต้องดูด้วยว่าวัตถุดิบมีรึเปล่า ที่ฉันสั่งไปยังถือว่าเบสิกมากๆ “ส่วนหนูเอาผัดซีอิ้วหมูกรอบ ขอสั่งแบบเบาๆ ละกันค่ะ” ซูซี่ที่เดินตามหลังมาสั่งต่อทันที “ได้จ้า ไปนั่งรอเลยลูก วันนี้คนเยอะ รอนานหน่อยนะ” ป้าสายใจพูดด้วยหน้าตายิ้มแย้มและทำอาหารของลูกค้าคนอื่นไปด้วย “เดี๋ยวฉันไปหยิบแก้วน้ำเอง” พูดจบฉันก็เดินมาหยิบแก้วน้ำพร้อมกับตักน้ำแข็ง หลังจากที่ได้ที่นั่งแล้ว วันนี้คนเยอะเป็นอันรู้กันว่าต้องบริการตัวเอง พอตักเสร็จฉันก็เดินกลับมาที่โต๊ะเดิม แต่ตอนนี้เหมือนจะไม่เหมือนเดิมแล้วเพราะคนที่นั่งอยู่ร่วมโต๊ะมีเพิ่มขึ้น นั่นทำให้ฉันชะงักไม่ได้เดินเข้าไปนั่งในทันที “น้องซินนน มาแล้วๆ ขอพวกพี่นั่งด้วยนะ พอดีโต๊ะมันเต็มหมด” เป็นพี่ดินนั่นเองที่หันมาเจอฉันพอดีแล้วทักขึ้น “เอ่อ...ค่ะ” ฉันตอบและเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่ทันที “หวัดดีค่ะ พี่ดิน พี่...อัคคี” พอนั่งลงและวางแก้วเรียบร้อยฉันก็หันไปทักทายพี่ดินและเพื่อนของเขาที่นั่งอยู่ตรงข้าม “หวัดดีค่ะ น้องซิน/อือ” พี่ดินกับเขาตอบกลับมาพร้อมกัน คนบางคนนี่นะ พอแบบนี้แล้วดันพูดน้อย “แล้วนี่น้องซินกับน้องซูซี่ชอบกินข้าวร้านนี้เหมือนกันเหรอคะ วันหลังจะได้ชวนมาด้วย” ก็ยังคงเป็นพี่ดินที่ถามขึ้นมา และตามประสาผู้ชายเจ้าชู้ เอ๊ย เฟรนลี่พูดจาคะขากับผู้หญิงเสมอ เมื่อมองไปทางอีกคนที่นั่งตรงข้ามก็เหมือนจะเห็นเขามองมาและส่งสายตาดุ ๆ ประมาณว่าไม่ให้ตกลง นี่ฉันเก่งถึงขนาดอ่านสายตาคนออกแล้วเหรอ พูดบ้างได้ไหมให้อ่านสายตาอยู่ได้ “กินแทบทุกวันเลยค่ะ นี่ร้านโปรดถ้าพี่ดินสุดหล่อจะมาก็ชวนพวกเรามาได้เลยค่า หรือจะมากับซูซี่แค่สองคนก็ได้นะคะ คิคิ” ซูซี่ตอบไป ด้วยกิริยาเกินงามตามประสาตุ๊ดน้อย ท่าทางแบบนี้เรียกว่าอะไรนะ ดี๊ด๊าล่ะมั้ง “ถ้ามาสองคนกับน้องซูซี่พี่มาคนเดียวดีกว่า ฮ่าๆ” “พี่ดินอะ” “เอ่อ...พอดีไม่รู้ว่าพวกพี่มานั่งด้วยเลยไม่ได้เอาแก้วมาเผื่อดะเดี๋ย...ว” ฉันว่าและกำลังจะลุกขึ้นเพื่อไปเอาแก้วมาให้พี่เขาเพิ่ม ก็มันทำตัวไม่ถูกกับสายตาที่มองมาหาทางนี้ดีกว่า สักแป๊บก็ยังดี “ไม่เป็นไรครับๆ เดี๋ยวพี่ไปเองดีกว่า” พี่ดินพูดขัดพร้อมกับลุกขึ้นออกไป “เดี๋ยวซูซี่ไปช่วยแบก เอ๊ย! ช่วยถือแก้วนะค้า” ว่าแล้วนางก็รีบเดินตามไป คราวนี้ทั้งโต๊ะก็เงียบขึ้นมาทันที เพราะมีคนเงียบทั้งสองนั่งอยู่ด้วยกัน ไม่มีใครเริ่มบทสนทนาอะไร เอาจริงฉันก็รู้สึกขัดเขินยังไงก็ไม่รู้ “ถ้าจะมา...” และอยู่ดีๆ เขาก็พูดขึ้น “……..” “ชวนฉันก็ได้” อืมม...นี่ช็อกครั้งที่เท่าไรแล้วนะ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม