ลุงปรีชา ซึ่งเป็นลุงแท้ ๆ ของเธอ ก็นึกสงสารแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะกลัวเมีย เมียว่าอย่างไรก็ต้องว่าตามนั้น เพราะสิทธิ์ขาดและเงินทุกบาททุกสตางค์อยู่ที่เมียจนหมด เมียยุยงเช่นไรก็เชื่อเมีย จากที่เคยรักและเอ็นดูเธอมากก็ตีตัวออกหากทำเหมือนเธอเป็นคนอื่น ไม่ใช่หลานในไส้ของท่าน
วิภาเริ่มด่าทอทุบตีเธอทุกวัน เมื่อป้าสะใภ้ของเธอเริ่มมีหนี้มีสินก้อนโตพอกพูนเป็นดินพอกหางหมู ท่านใช้เงินมือเติบ ชอปปิง ใช้จ่ายไม่เคยคิดเพราะไม่ทำงานทำการอะไร ไม่เคยหาเงินเองเลยสักบาทเดียว อาศัยเงินเดือนสามีซึ่งเป็นข้าราชการระดับล่างเท่านั้น กองทุนไหนที่สามารถกู้ได้จากหน่วยงานราชการ นางให้สามีกู้มาเต็มอัตราทั้งหมด หนี้สินพะรุงพะรัง โปะหนี้ให้วุ่นไปหมด
ซึ่งข้าราชการสามารถกู้เงินได้เป็นจำนวนมาก และผ่อนคืนเดือนละไม่กี่สตางค์ทำให้ลุงปรีชา ลุงแท้ ๆ ของเธอ เต็มไปด้วยหนี้สินในเวลาอันรวดเร็ว หันไปทางไหนก็มีแต่เจ้าหนี้รายล้อมเต็มไปหมด
วิภาไม่ให้เธอได้เรียนหนังสือต่อ นั้นคือคำประกาศิตที่เธอเองก็มิอาจพูดอันใดได้ ด้วยว่าไม่มีเงินเหลือแล้ว การทวงเงินมรดกจากท่านจึงกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต พร้อมประโยคที่ว่า กินใช้ทุกวัน มันก็ย่อมมีวันหมด ท่านส่งเธอเรียนตั้งแต่เด็ก เงินแค่นั้นจะไปพอยาไส้อะไร ทั้ง ๆ ที่เธอเคยรับรู้ว่าบิดามารดาทำประกันชีวิตเอาไว้และสร้างทรัพย์สินเอาไว้หลายสิบล้านบาท ถ้ากินใช้อย่างประหยัดและทำให้งอกเงย ทำงานเพิ่มทุกวัน ก็ไม่มีทางหมดตัวหรือลำบากแน่นอน
“เตยมาซักผ้าให้ป้าวิไงคะ” เมื่อเช้าวิภาเอาผ้ากองใหญ่มาโยนใส่หน้าเธอ ด่าทอเธอสารพัดว่าขี้เกียจสันหลังยาว ผ้ากองเต็มตะกร้าแต่ไม่ยอมซัก
ท่านไม่เคยหยิบจับงานอะไรในบ้านเลย เธอเคยคิดว่าหากปรีชาลุงของเธอได้ภรรยาที่ดี ป่านนี้ท่านคงมีชีวิตที่มีความสุข ครอบครัวอบอุ่น มีลูกมีเต้าน่ารัก มีเงินมีทองและทรัพย์สินเอาไว้ใช้ยามแก่เฒ่า ไม่ต้องลำบากเช่นนี้
แต่นี่ไม่มีเลย วิภาสร้างแต่หนี้ ขี้เกียจสันหลังยาว กินไหนทิ้งนั่น เธอต้องคอยตามเก็บจานชามของวิภาตั้งแต่เด็ก ๆ ท่านมักพาเพื่อนฝูงมานั่งเล่นไพ่ มากินเลี้ยง หรือไม่ก็ตั้งวงจับกลุ่มนินทา
คนประเภทนี้ไม่เจริญ ก็สมควรแล้ว เพราะวัน ๆ ไม่เคยคิดที่จะทำประโยชน์ให้แก่ตนเอง
“แล้วแกซักผ้าอะไรตั้งแต่เช้า แกอู้อยู่ใช่ไหม ถึงยังไม่เสร็จ” วิภาตรงเข้าดึงหูของเด็กสาวเต็มแรง ทำเอาเตยหอมต้องร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บ
“ผ้าเยอะหนูเลยซักยังไม่เสร็จค่ะ”
“แล้วทำไมผ้าถึงเยอะ ก็เพราะว่าแกขี้เกียจสันหลังยาวปล่อยให้เสื้อผ้าเต็มตะกร้าถึงค่อยซัก รู้ไหมว่าเสื้อผ้าเหม็นเน่าแค่ไหน”
“ไม่ใช่นะจ๊ะ แต่หนูทำไม่ทันจริง ๆ” เธอทำงานตั้งแต่ไก่โห่ยันดึกดื่น แทบไม่มีเวลาได้พัก
“แกทำไม่ทันหรือแกมัวแต่อู้ ไปทำกับข้าวให้ฉันกินเดี๋ยวนี้ ฉันหิวแล้ว” วิภาผลักร่างเล็กของเด็กสาวให้เดินไปเข้าครัว
เตยหอมรู้สึกเหนื่อยล้ากายใจ เพราะเมื่อคืนป้าสะใภ้ของเธอปาร์ตี้กับเพื่อน ๆ จนดึกดื่น เธอเลยต้องตื่นมาตั้งแต่ไก่โห่ เก็บล้างข้าวของที่วางเอาไว้เกลื่อนไปหมด ทั้งพื้นบ้าน ทั้งห้องครัว สกปรกเลอะเทอะ ลามไปถึงห้องนั่งเล่นและสนามหญ้า
ทุกเช้าเธอต้องตื่นมาทำอาหารและนำไปขาย นั่นคือข้าวกล่องง่าย ๆ ทั้งข้าวผัด ข้าวกะเพรา ข้าวผัดพริก และข้าวผัดเครื่องแกง จึงต้องเตรียมทุกอย่างตั้งแต่หัวค่ำ ทุกอย่างต้องทำเองทั้งหมด วิภาไม่เคยคิดที่จะช่วยเหลือ ตื่นมาทำตอนย่ำรุ่ง ก่อนนำไปเดินเร่ขาย
สมัยก่อนเธอต้องไปเรียนด้วย จึงสามารถนำไปขายที่โรงเรียนได้ แต่พอเรียนจบปวช. วุฒิการศึกษาเทียบเท่ามัธยมศึกษาปีที่หก เธอก็ต้องเดินเร่ขายไปตามฟุตบาท เพราะถูกห้ามไม่ให้เรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย
ที่เธอตัดสินใจเรียนสายอาชีพก็เพราะเหตุผลนี้เป็นหลัก คิดอยู่แล้วเชียวว่าป้าสะใภ้ใจยักษ์จะไม่ให้เรียนต่ออย่างแน่นอน
เรียนสายอาชีพ หากไม่ได้เรียนต่อก็น่าจะพอหางานทำได้ เพราะสายอาชีพจะมีงานรองรับไม่เหมือนจบแค่วุฒิ มอ. หกทั่วไป ที่ต้องไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยเท่านั้น ถึงจะมีงานได้ แต่ถ้าจบแค่ มอ. หก หางานทำยากมาก เพราะไม่มีความรู้ด้านวิชาชีพอะไรเลย
วันนี้ไม่ได้ไปขายข้าวกล่อง ด้วยว่าป้าสะใภ้สั่งให้เธอซักเสื้อผ้าเช้านี้ ด้วยเหตุผลที่ว่าท่านไม่มีอะไรสวมใส่ เพราะเสื้อผ้าอยู่ในตะกร้าทั้งหมด
ลุงของเขาไปสัมมนาต่างจังหวัด ปรีชาไม่มีแม้แต่รถยนต์ส่วนตัว จึงอาศัยรถเพื่อนร่วมงานหรือรถประจำทางไปไหนมาไหนเท่านั้น เงินก็หยิบยืมไปทั่ว จนเขาระอา ด้วยว่าเธอได้ยินเพื่อนร่วมงานมาด่าทอทวงเงินอยู่หน้าบ้านไม่เคยขาด
แต่ปรีชาก็อดทนทำงานต่อไป เพราะถ้าไม่ทำงานนี้ก็ไม่รู้จะไปทำงานไหนเนื่องจากแก่แล้ว อีกไม่กี่ปีจะเกษียณ เงินบำเหน็จบำนาญที่น่าจะได้คงหักลบกลบหนี้จนหมด ดีไม่ดีอาจจะไม่พอใช้เสียด้วยซ้ำ
“ทำไมแกไม่ไปทำกับข้าวให้ฉันก่อน ฉันหิวรู้ไหม หรือแกจะแข็งข้อกับฉันห้ะ! นังเตย”
“ไม่ใช่นะคะ แต่ในตู้เย็นไม่มีของสดหรือผักอยู่เลยค่ะป้าวิ” เตยหอมให้เหตุผล
“แล้วทำไมแกไม่ไปซื้อมาห้ะ! นังกาฝาก แกอย่าลืมสิว่าแกมีหน้าที่ไปซื้อของสดและของกินทุกอย่างเข้าบ้าน เพราะแกเป็นเพียงแค่ผู้อาศัย บุญหัวขนาดไหนแล้วนังเตยที่ฉันไม่คิดค่าเช่าบ้านกับแก ให้แกอยู่ฟรีกินฟรี แค่ให้แกเตรียมอาหารให้ฉันกับลุงของแกเท่านั้น”
เตยหอมได้ยินเช่นนั้นก็กลืนน้ำลายลงคอด้วยความฝืดเคือง ป้าสะใภ้ของเธอพูดเอาแต่ได้ แต่ถึงเถียงไปก็คงมีแต่เรื่องเดิม ๆ นั่นก็คือเงินมรดกของเธอนับสิบล้านบาทได้หมดลงในเวลาเพียงไม่กี่ปี เธอมาอยู่กับท่านตอนสิบสองขวบ ตอนนี้เธออายุสิบแปดย่างสิบเก้า ไม่ถึงปีเสียด้วยซ้ำที่ท่านผลาญเงินทั้งหมดของเธอจนไม่เหลือ
พวกเขาทั้งสองไม่ใช่พ่อแม่ จะรักและดูแลเหมือนพ่อแม่คงไม่ใช่ ตอนที่ไปพูดอ้อนวอนให้เธอมาอยู่ด้วยกัน ก็บอกว่าจะรักเหมือนลูกในไส้ แต่เอาเข้าจริง ๆ เธอไม่ใช่ลูกของท่าน แล้วท่านจะรักเธอได้อย่างไรกัน
ทั้งสองไม่มีลูกเต้าเป็นของตัวเอง เธอคิดว่าพวกท่านน่าจะรักเธอเหมือนลูกแท้ ๆ แต่ที่ไหนได้ไม่มีความรักอยู่เลยแม้แต่น้อย นี่ถ้าพวกท่านมีลูกเป็นของตัวเอง เธอคงยิ่งกว่าหมาหัวเน่า โดนจิกหัว ดูแลรับใช้ลูกของท่านด้วย
“ของสดกับผักที่เตยซื้อเอาไว้หมดลงเมื่อคืนค่ะ”
“แกจะหาว่าฉันจัดปาร์ตี้แล้วทำให้ของที่แกซื้อไว้หมดอย่างนั้นเหรอ นังสารเลว นังอกตัญญู” วิภาทำท่าจะตบเตยหอมให้หน้าคว่ำ แต่สำนึกว่าร่างกายของเตยหอมมิควรมีแผล ไม่งั้นจะขายไม่ได้ราคา
เลี้ยงกันมาจนถึงอายุสิบแปดย่างสิบเก้า เตยหอมเป็นผู้หญิงที่สวยและน่ารัก หากหล่อนจะขายเตยหอมให้เศรษฐีมีเงินกระเป๋าหนักสักคน เธอน่าจะได้เงินก้อนโต คิดได้ดังนั้นวิภาก็ใช้วิธีด่าทอกดขี่หลานสาวนอกไส้เช่นเดิม แต่ไม่ใช้วิธีการลงไม้ลงมือเหมือนเคย
“หมดก็ไปซื้อสิ ยืนบื้ออยู่ทำไม”
“ของสดพวกนั้นนอกจากทำอาหารกินในอาทิตย์นี้แล้ว ยังต้องทำไปขายอีกน่ะค่ะ”
“แล้วยังไงห้ะ!” วิภากระชากเสียงถาม เธอไม่เคยใส่ใจกับอะไรในโลกนี้อยู่แล้ว ขอให้ตัวเองได้กินได้อยู่ดีกินดีก็เพียงพอแล้ว คนอื่นจะเป็นเช่นไรก็ช่าง ที่ยังทนอยู่กับปรีชาผัวที่รับราชการแค่ตำแหน่งต่ำ ๆ เพราะว่าก่อนหน้านี้ปรีชาสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้สำหรับข้าราชการได้ และทุกวันนี้ก็ยังมีเงินเดือนให้เธอได้ใช้จ่ายบ้าง ส่วนค่าใช้จ่ายในบ้าน ทั้งค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ากับข้าว เตยหอมเป็นคนรับไปทั้งหมด ท่านเลยลอยลำไม่ต้องรับภาระอะไรเลย