ตอนที่ 12 ความมั่นใจแปดส่วน

1587 คำ
คล้อยหลังพระชายาเอกออกไปนอกตำหนัก บรรดาพระชายารองและพระสนมที่เหลือของเฉินเฟยหย่าต่างทยอยเข้ามาหาเรื่องไป๋อวี่ถึงในเรือน เขาจึงแลกคะแนนสะสมกับภาพวังวสันต์อีกเก้าเล่ม เอาไว้แจกจ่ายให้บรรดาชายาเหล่านั้นอย่างเท่าเทียมกัน ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม พระสนมคนสุดท้ายจึงได้ฤกษ์ออกจากตำหนักของเขา ไป๋อวี่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ที่เพิ่งผ่านพ้นวิกฤตมาได้ ทิ้งตัวลงบนเตียงโดยลืมไปว่ามีอะไรเปื้อนอยู่ข้างบนนั้น “อี๋! อสุจิ!!!” เขาตะโกนลั่นด้วยความตกใจเมื่อนึกได้ว่ายังไม่ได้เปลี่ยนผ้าปูที่นอนใหม่และของเหลวนั้นแตกกระจายเปรอะเปื้อนไปหมด “แอลกอฮอล์ สามร้อยคะแนนแลกแอลกอฮอล์ หลิวเมิ่ง ข้าจะลงไปแช่แอลกอฮอล์” ไป๋อวี่รีบวิ่งไปอาบน้ำพลางเรียกหลิวเมิ่งเพราะหาแอลกอฮอล์ไม่เจอ จนแล้วจนรอด หลิวเมิ่งก็ยังไม่ปรากฏตัว ทิ้งให้ไป๋อวี่นั่งแช่น้ำร้อนขัดตัวอย่างขะมักเขม้นเพียงลำพัง ผ่านไปหนึ่งก้านธูป ในที่สุดเขาจึงกลับเข้ามาเปลี่ยนผ้าปูเตียงและเครื่องนอนชุดใหม่เรียบร้อยแล้วทิ้งตัวลงนอน คิดในใจอย่างสนุกสนานว่า จากนี้ไปเฉินเฟยหย่าคงจะไม่มารบกวนเวลานอนของเขาอีก เพราะภาพวังวสันต์แต่ละเล่มที่มอบให้ชายาแต่ละคน มีลีลาที่แตกต่างกันไป พวกนางคงจะมัดใจอ๋องผู้มักมากในกามได้บ้าง ประวิงเวลารั้งตัวไม่ให้มาวุ่นวายกับเขาอีกนานแสนนาน “พระสนม” เสียงของบุรุษผู้หนึ่งเอ่ยเรียกไป๋อวี่อยู่ข้างนอกเรือน “กระหม่อม จางฮุ่ยหลิงพ่ะย่ะค่ะ” เขายิ้มแป้น ไม่ได้เจอสหายแปดวันรู้สึกเหงาใจอย่างบอกไม่ถูกจึงรีบวิ่งมาหาที่หน้าประตูเรือน “จางฮุ่ยหลิง” เขาเอ่ยปากเรียกเบา ๆ แล้วกอดให้หายคิดถึงตามประสา แต่กลับทำให้อีกฝ่ายหน้าแดงอย่างไม่รู้สาเหตุเผลอลูบศีรษะของไป๋อวี่ด้วยความอ่อนโยน แล้วเรียกสติของตนเองกลับมา กระแอมไอเล็กน้อย “พระสนม เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าจะเกิดเรื่อง” เขาหลบหน้าเพราะเขินอาย ไป๋อวี่จึงมองซ้ายขวาแล้วรีบพาเขาเข้าไปในห้องของตนเอง “เจ้ามีธุระอะไรหรือ” “พระองค์ทรงลืมไปหรือว่าต้องดื่มโอสถทุกวัน นี่ก็ผ่านมาแปดวันแล้ว กระหม่อมควรทำเช่นไรดี” จางฮุ่ยหลิงหยิบซองยาออกมาจากถุงผ้าแล้วนำไปเก็บไว้ในลิ้นชักน้อยข้างหัวเตียง ถือซองหนึ่งแยกออกมาต่างหากเพื่อจะชงให้เขาดื่มในเวลานั้น “ข้าไม่เป็นอะไรมากนัก เจ้าอย่าได้กังวลไปเลย” ไป๋อวี่ยิ้มสดใสพลางมองหน้าเขา “พระพักตร์ของพระองค์ผู้ใดทำเช่นนั้น” จางฮุ่ยหลิงเห็นรอยนิ้วมือบนแก้มทั้งสองของเขาจึงเอ่ยถาม “อย่าได้ถือสา นางคงไม่ทำอะไรข้าอีกแล้วล่ะ” เขาพูดอย่างมั่นใจให้จางฮุ่ยหลิงได้คลายกังวล แต่คนตรงหน้าเหมือนจะมีหลายเรื่องที่อยากถามไป๋อวี่ อย่างเช่นเกิดอะไรขึ้นยามที่ไม่ได้เห็นหน้ากันตั้งแปดวัน “ฝ่าบาทกับพระองค์...” จางฮุ่ยหลิงหยุดชะงัก ยับยั้งปากของตนเองไม่ให้ถามออกไป สีหน้าแสดงออกว่าไม่อยากให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นแม้แต่น้อย ยามกังวล เขามักจะย่นคิ้วแล้วทำสายตาราวกับภาวนาให้ไม่ใช่อย่างที่คิด และท่าทางเช่นนั้น ไป๋อวี่คุ้นเคยเป็นอย่างดี “ฝ่าบาทกับข้า ทำไมหรือ” เขาถามเพราะอยากรู้ว่าจางฮุ่ยหลิงผู้นี้คิดสิ่งใดอยู่ “เจ้าอยากรู้เรื่องใดถามข้ามาเถิด ไม่มีสิ่งใดที่ต้องปิดบังเสียหน่อย” ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เขารู้สึกว่าจางฮุ่ยหลิงเป็นคนที่ดีคนหนึ่ง สามารถไว้วางใจได้เพียงแค่พบหน้ากันไม่นาน ราวกับได้รู้จักกันมาก่อนก็ไม่ปาน คงไม่ได้จะถามเรื่องค่ำคืนของข้ากับเฉินเฟยหย่าหรอกใช่ไหม ไป๋อวี่คิดในใจ คนที่หน้าสลดจะอยากรู้เรื่องพวกนั้นไปทำไมนัก หรือว่าเขาจะชอบข้า โอ๊ย ไม่สิ อย่าหลงตัวเอง ตอนนี้อยู่ในร่างของไป๋อวี่นะ อืม... คงจะชอบไป๋อวี่กระมัง “หากถามสิ่งนั้นออกไป กระหม่อมเกรงว่าจะทำให้พระองค์ขุ่นเคืองใจ ทั้ง ๆ ที่รู้ตัวว่าไม่ควร แต่ในใจของกระหม่อมยังคงดื้อดึงอยากรู้ ถ้าจะถูกลงโทษก็สมควรแล้ว... คืนนั้นฝ่าบาทกับพระองค์...เกิดอะไรขึ้นหรือไม่” ดวงตาสีเขียวมรกตของจางฮุ่ยหลิงสบเข้ากับไป๋อวี่พลางรอคำตอบและทำใจเตรียมพร้อมที่จะถูกลงโทษ ไป๋อวี่ยิ้มกว้าง ถามกลับไปว่า “จางฮุ่ยหลิง เจ้าช่างอยากรู้เรื่องของข้ามากนัก แม้กระทั่งเรื่องนั้น กำลังคิดสิ่งใดในใจอยู่หรือ” “...” จางฮุ่ยหลิงไม่ตอบ แล้วเฉไฉไปว่าหากไป๋อวี่ไม่สะดวกที่จะพูดเรื่องนั้น เขาจะไม่เซ้าซี้เพราะไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้เรื่องส่วนพระองค์ด้วยซ้ำ “อืม เจ้าอย่าเพิ่งน้อยใจไปเลยนะ จริงอยู่หากเป็นผู้อื่นข้าคงไม่บอกเรื่องนี้ แต่กับเจ้า ข้าจะเล่าให้ฟังทุกเรื่องเลยเพราะว่าเจ้าเป็นสหายยามยากของข้านี่นา” เขากระดิกนิ้วชี้เรียกจางฮุ่ยหลิงเข้ามาใกล้ ๆ “เรื่องนี้รู้แค่เราสองคนนะ” จางฮุ่ยหลิงพยักหน้าแล้วทำตามที่บอก นั่งฟังเงียบ ๆ อย่างตั้งใจ “ถ้าเจ้าหมายถึงเรื่องบนเตียงล่ะก็ ระหว่างข้ากับเขาไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้นเพราะข้ามีของวิเศษ แต่ของอะไรข้าบอกเจ้าไม่ได้” ไป๋อวี่มองหน้าคนที่กำลังขมวดคิ้ว “เจ้าเชื่อใจข้าหรือไม่ ไม่มีสิ่งใดที่ข้าจัดการไม่ได้” ไป๋อวี่จับมือของเขา สีหน้าจริงจังแต่ประดับด้วยรอยยิ้ม ใครจะไปคิดเล่าว่าพระสนมจะเล่าเรื่องพวกนี้ให้คนภายนอกฟังอย่างเปิดเผยถึงเพียงนี้ “ดีแล้ว” จางฮุ่ยหลิงพึมพำกับตัวเอง รอยยิ้มมุมปากแสดงถึงความโล่งใจ คิ้วที่ขมวดชนกันผ่อนคลายจนเป็นปกติ เมื่อความสงสัยจางหายไป ไป๋อวี่จึงชวนเขาอยู่พูดคุยเป็นเพื่อนกันเพราะไม่ได้เจอกันนาน ทั้งคู่นั่งเล่นในศาลากลางตำหนัก เสียงหัวเราะคิกคักทำให้บรรยากาศดูเปลี่ยนไปจากเดิม ตำหนักที่เคยเต็มไปด้วยความหม่นหมอง เวลานี้ราวกับมีดอกไม้ผลิบาน ความสดใสแผ่กระจายไปทั่วทุกบริเวณ จู่ ๆ ไป๋อวี่ก็พูดขึ้นมาว่า “ยื่นมือข้างขวาของเจ้ามาหน่อย ครั้งนั้นข้าเห็นไม่ถนัด” จางฮุ่ยหลิงทำตามที่บอกอย่างว่าง่าย ฝ่ามือข้างขวาของเขามีรอยแผลเป็นยาว ไป๋อวี่ลูบแผลเป็นนั้นแล้วถามเขาด้วยความอยากรู้ พลางคิดในใจว่า ถ้าเป็นอย่างที่คิด แผลนี้คงจะได้มาจากตอนที่รับคมดาบเพื่อปกป้องคนสำคัญสินะ “แผลจากคมดาบตอนที่กระหม่อมปกป้องใครบางคนพ่ะย่ะค่ะ” จางฮุ่ยหลิงตอบไปตามตรง ไม่ติดใจคำถามคิดว่าอีกฝ่ายเพียงแค่อยากรู้ว่าแผลแต่ละรอยบนร่างกายเขาเกิดจากอะไร “คนสำคัญหรือ” ไป๋อวี่เลิกคิ้ว มองหน้าเขารู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยหากคำตอบนั้นคือ ใช่ “ตอนนี้คนผู้นั้นอยู่ที่ไหนกันเล่า เจ้าถึงมีเวลามาอยู่ตรงนี้ได้” “คนสำคัญที่นับถือกระหม่อมเป็นเพียงพี่ชายพ่ะย่ะค่ะ” เขาเว้นช่วง อ่านสีหน้าของไป๋อวี่ “เวลานี้คนผู้นั้นอยู่กับคนรักของเขา ดังนั้นกระหม่อมจึงไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง ทำให้ไปไหนมาไหนได้ตามที่ใจต้องการ” ไป๋อวี่ใจเต้นตึกตักเมื่อได้ยินเขาบอกว่าไปไหนมาไหนตามที่ใจต้องการ แต่พยายามห้ามใจตัวเองไว้ อย่าเพิ่งได้ใจไป สงบสติอารมณ์ก่อนนะตัวข้า “ข้าเคยบอกเจ้าแล้วใช่หรือไม่ว่าดวงตาสีเขียวมรกตของเจ้าเหมือนใครบางคนที่ข้ารู้จัก” เขาพูดย้อนไปถึงตอนแรกที่เจอกัน “อันนี้ความลับนะ จริง ๆ แล้ว ข้ามีคนที่ข้าชอบอยู่ด้วยล่ะ แต่เขาคนนั้นไม่รู้เลยว่าข้ารู้สึกอย่างไร ไม่รู้แม้กระทั่งตัวตนของข้า แต่ข้าก็ยังชอบเขามากอยู่ดี มองดวงตาของเจ้าเมื่อใดก็ทำให้ข้านึกถึงเขาตลอดเวลา หากได้อยู่ด้วยกันที่นี่คงจะดีไม่น้อย” สีหน้าของจางฮุ่ยหลิงเริ่มสลดอีกรอบเมื่อได้ยินเรื่องเช่นนี้ หากแต่ยังประคองใจของตัวเองเอาไว้ “ข้ายังไม่เคยบอกเจ้าใช่หรือไม่ ชื่อของพวกเจ้าก็เหมือนกันมากทีเดียว คนผู้นั้นชื่อฮุ่ยหลิง...” ไป๋อวี่ยิ้มให้เขาด้วยความแน่ใจแปดส่วนหลังจากสังเกตคนตรงหน้ามาระยะหนึ่ง แล้วพูดว่า “ชื่อของเขาคือ... ตงฟางฮุ่ยหลิง” จางฮุ่ยหลิงสะดุ้งเมื่อได้ยินชื่อนั้น แอบยิ้มด้วยความดีใจแต่ต้องเก็บอาการเอาไว้ ทำนิ่งเฉยแล้วพูดว่า “หากพระองค์มองดวงตาของข้าแล้วคิดถึงคนผู้นั้น ก็ทรงทำตามพระทัยเถิด” เขาไม่พูดเฉยแต่ขยับเข้ามาใกล้แล้วสบตากับไป๋อวี่ พลางพูดว่า “ดวงตาสีเขียวมรกตนี้จะมองแค่เพียงคนตรงหน้าเท่านั้น และกระหม่อมไม่ขัดข้อง หากพระองค์จะเห็นว่ากระหม่อมเป็นเพียงตัวแทน”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม