-วันต่อมา-
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ครูสอนพิเศษจะมานะ” พี่แบล็คเดินมาบอกฉันที่กำลังนอนเล่นเกมอยู่บนโซฟาหน้าโทรทัศน์ วันนี้เป็นวันหยุดสิ่งที่ฉันทำทั้งวันก็มีแต่กิน นอน แล้วก็เล่น
“ทำไมเร็วจังล่ะคะ หนูยังไม่พร้อม” ฉันดีดตัวลุกขึ้นนั่ง พึ่งจะสอบเสร็จแท้ๆ ฉันก็อยากจะหาเวลาพักผ่อนให้ตัวเองบ้าง ไม่ใช่อยู่ๆ ก็ต้องมาเรียนพิเศษ มันเป็นอะไรที่วัยรุ่นอย่างฉันโคตรเซ็ง
“ไม่พร้อมก็ต้องพร้อม พี่อุตส่าห์ไปหามาให้ได้แล้ว” น้ำเสียงของพี่แบล็คค่อนข้างที่จะเกรี้ยวกราดเลยทีเดียว ทำไมพี่เขาต้องดุฉันด้วย ไม่เข้าใจเลยจริงๆ
รู้สึกจะงอนขึ้นมาละเนี่ย
“เชอะ!” ฉันสะบัดหน้าหนี พลางลุกพรึบขึ้นยืน แล้วเดินตรงไปที่บันได
“ไม่กินข้าวใช่มั้ย วันนี้มีเค้กช็อกโกแลตด้วย ดี! จะได้โยนทิ้งถังขยะ”
เท้าของฉันหยุดชะงักโดยอัตโนมัติ งอนก็งอน ของโปรดก็อยากกิน ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เอาวะ!!
พรึบ!
“ขอบคุณค่า พี่แบล็คนี่น่ารักจังเลยเนอะ” เคยได้ยินไหมว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้อง เรื่องงอนเอาไว้ก่อน เพราะเรื่องกินมันคือเรื่องใหญ่สำหรับฉัน
“ทีแบบนี้ล่ะเร็วจังนะ เค้กอยู่ในตู้เย็นกินเสร็จก็ขึ้นไปอ่านหนังสือ”
ฉันพึ่งจะเผยรอยยิ้มกว้างได้ไม่กี่วินาทีจู่ๆ ก็ต้องหุบยิ้มลงอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย
“อีกแล้วเหรอ” ฉันบ่นอุบพร้อมแสดงสีหน้าที่เบื่อหน่าย ต่อให้เอาหนังสือมาต้มกินความรู้ก็ไม่เข้าไปในหัวสมองฉันหรอก สวดมนต์ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะแต้มบาปของฉันมันมีสูงมาก
เฮ้อ~ เอายังไงกับชีวิตดีวะเนี่ย
“ให้ว่องให้ไว” พี่แบล็คนี่ก็เร่งจังเลย แต่ฉันก็ขัดอะไรไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ
“ค่าาา” ฉันได้แต่รับคำอย่างว่าง่าย ก่อนจะเดินแยกเข้าไปในครัว มือบางเอื้อมเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบเค้กออกมานั่งทาน นี่แหละคือความสุขอันน้อยนิดของฉัน สุขที่ได้กิน และอ้วนให้ตัวแตก
เวลาเครียดก็ต้องกินเยอะๆ พอน้ำหนักขึ้น เอ้า! ก็เครียดอีก
ชีวิตนี้มีแต่ทุกข์...
งั้นข้าวไม่ต้องทานหรอก เดี๋ยวอ้วน (?)
ฉันนั่งกินเค้กไปยิ้มไปอยู่ในครัวคนเดียว หลังจากที่กินเสร็จก็เก็บทุกอย่างทิ้งขยะให้เรียบร้อย ก่อนจะขึ้นไปบนห้องนอนของตัวเอง
ฉันเดินไปหยิบหนังสือที่อยู่ในชั้นภายในห้องนอนออกมา สภาพของมันค่อนข้างใหม่ทั้งๆ ที่ก็ซื้อมาเกือบหลายปีแล้ว ห้องของฉันเหมือนมีชั้นหนังสือไว้แค่วางประดับเฉยๆ แต่ก็ไม่เคยได้หยิบมาอ่านสักที
“ชาติที่แล้วเราคงทำเวรทำกรรมร่วมกันมาเยอะ” ฉันพึมพำออกมาสายตาก็กำลังมองจดจ้องไปที่หน้าปกหนังสือที่ตัวเองกำลังจับ
“กลับไปอยู่บนชั้นเหมือนเดิมเถอะ จะได้ไม่เป็นภาระของลูกหลาน” แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วฉันก็วางมันกลับไปไว้ที่เดิม
ฟุบ...
ฉันล้มตัวนอนคว่ำไปบนเตียง พร้อมกับหลับตาลง
“อยากจะนอนแล้วตื่นขึ้นมาฉลาดจัง” แต่มันก็คงเป็นไปไม่ได้อยู่ดี สิ่งที่ฉันทำได้ตอนนี้ก็มีแค่การละเมอและเพ้อฝัน
.:END SNOW WHITE PART:.
-ย้อนกลับไปเมื่อหลายวันก่อน-
.:NAVA PART:.
“นะนาวา มึงช่วยกูหน่อยเถอะเพื่อน กูไม่รู้จะไปพึ่งใครแล้วจริงๆ”
หลังจากที่ผมเปิดประตูให้แบล็คมันเข้ามานั่งในห้อง เสียงพูดของมันก็ดังขึ้นอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ตอนนี้เราสองคนอยู่ที่คอนโดของผมที่พึ่งจะซื้อและย้ายเข้ามาอยู่ได้ไม่นาน เพราะพึ่งจะได้รับการอนุมัติจากพ่อเพลิงและแม่ลาวา
พวกท่านคงจะเห็นว่าผมเริ่มโตขึ้น และสามารถดูแลตัวเองได้แล้วท่านจึงไม่ห่วงอะไรมาก แต่ยังไงซะวันหยุดผมก็ต้องกลับไปหาพวกท่านและนอนค้างที่บ้านอยู่ดี
เอาเป็นว่าหยุดพูดเรื่องของครอบครัวผมก่อนดีกว่า สิ่งที่ควรจะสนใจตอนนี้ก็คือคนที่อยู่ตรงหน้าผม
“มึงไม่จ้างครูสอนพิเศษล่ะวะ มีแต่คนเก่งๆ ทั้งนั้น เก่งกว่ากูด้วยซ้ำมั้ง” ที่แบล็คมันมาหาผมวันนี้ก็เพราะว่ามันจะให้ผมไปสอนพิเศษน้องสาวของมัน ผมยอมรับนะว่าจริงๆ ผมก็เรียนเก่ง แถมยังเรียนอยู่คณะครุศาสตร์ด้วย แต่ผมก็ไม่เคยไปสอนพิเศษใครที่ไหน มีแต่ติวให้เพื่อนๆ กันเท่านั้น
ถ้าอยากจะเรียนเก่งขึ้นจริงๆ สู้ให้แบล็คมันไปหาคนที่มีประสบการณ์มากกว่าผมไม่ดีกว่าเหรอ
“เพราะมึงทั้งหล่อทั้งเก่งไง”
“ห๊ะ?” ผมถึงกับทวนถามซ้ำเมื่อได้ยินประโยคนั้นหลุดออกมาจากปากของมัน ใช่ผมหล่อ เอออันนี้ก็ยอมรับ (?)
“น้องกูอุตส่าห์รีเควสมาเลยนะเนี่ย ว่าขอครูสอนพิเศษหล่อๆ”
เออเหตุผลแบบนี้ค่อยฟังเข้าท่าหน่อย ถุ้ย!!
“ต้องการคนหล่อให้ไปที่อื่น ต้องการคนหื่นให้มาทางนี้” แล้วผมก็ดันบ้าไปกับมันด้วยไง ไม่รู้แบล็คมันคิดยังไงถึงไว้ใจให้ผมอยู่ใกล้น้องสาวมัน
อันนี้ขอบอกเลยว่าผมไม่เคยเห็นหน้าค่าตาน้องสาวมันมาก่อน แม้ว่าเราจะเป็นเพื่อนกันมาเนิ่นนานหลายปีแล้วก็ตาม
สิ่งที่ผมรู้ก็คือไอ้แบล็คมันหวงน้องสาวมันมาก แทบจะไม่เคยพามาให้เพื่อนคนไหนรู้จักเลยด้วยซ้ำ
ก็แน่สิ ในเมื่อเพื่อนแต่ละคนแม่งนิสัยจังไรกันใช่ย่อย เกิดแบล็คมันเอาน้องสาวมาแนะนำคงจะได้เสียสาวทันใด
“ไม่ต้องมาพูดแบบนี้หรอก กูรู้ว่ามึงไม่ใช่คนแบบนั้น มึงไว้ใจได้เว้ยนาวา กูเชื่อใจมึง”
ทำมาเป็นเรียบเรียงคำพูดซะสวยหรู แต่สีหน้าของมันนี่เหมือนจะเกิดอาการลังเล
“แล้วแต่มึงนะ กูเตือนแล้ว”
ผมก็แค่พูดแหย่ๆ มันเท่านั้นแหละ ไม่ได้อยากจะคาบน้องสาวเพื่อนไปกินอะไรขนาดนั้นหรอก
น้องยังเด็ก เราเป็นพี่ก็ต้องเอ็นดูน้อง
“อย่ามาแกล้งหน้าม่อล่อตีน สรุปมึงจะช่วยกูมั้ยเนี่ย”
ผมนิ่งไปสักพัก ในหัวก็กำลังครุ่นคิดและไตร่ตรองทุกอย่างว่าจะเอายังไงดี
“น้องมึงนี่การเรียนอยู่ในระดับไหนวะ แบบว่า แย่หรือปานกลาง” ผมเอ่ยถามอย่างจริงจัง นี่ก็ถือว่าเป็นการสอบถามอย่างหนึ่ง ผมจะได้เตรียมตัวได้ถูกว่าจะเริ่มสอนน้องมันยังไง
“ไม่มีช้อยส์ให้กูเลือกมากกว่านี้เลยเหรอวะ”
ผมแทบจะสำลักน้ำลายตัวเองเมื่อได้ยินประโยคที่แบล็คเอ่ยออกมา
“น้องมึงเรียนแย่ขนาดนั้นเลยเหรอวะ” ผมถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ เพราะไอ้แบล็คเองก็เรียนเก่ง น้องสาวมันก็น่าจะไม่ถึงขั้นตกต่ำอะไรขนาดนั้นหรือเปล่า อย่างน้อยก็น่าจะพอมีเชื้อความเก่งของพี่ชายตัวเองติดตัวมาบ้างสักเล็กน้อย
“อย่าให้กูพูดละเอียดกว่านี้เลย กูปวดหัวเหมือนไมเกรนจะขึ้น” ไม่พูดเปล่า แต่มันกลับยกฝ่ามือขึ้นมากุมขมับของตัวเอง เพื่อแสดงให้เห็นว่าเครียดจริงๆ
“...” ผมเองก็ได้แต่นั่งมองท่าทีของเพื่อนอย่างไม่รู้จะพูดออกความเห็นยังไง
“ถือว่าช่วยกูล่ะนะ กูขอร้องล่ะ”
“...”
“ทำยังไงก็ได้ให้น้องกูเรียนเก่งขึ้นก็พอ” ใครจะคิดว่าผู้ชายที่มีนิสัยป่าเถื่อน แถมเป็นช่างสักแม่งจะมีมุมขอร้องอ้อนวอนแบบนี้ สายตาของมันวิ้งๆ ไหนจะการกะพริบตาปริบๆ นั่นอีก
“เปลี่ยนสมองง่ายกว่านะกูว่า” มันอาจจะเป็นคำพูดที่แรงไป แต่ถ้าทำได้ก็ทำเถอะ ผมสนับสนุน
“ถ้าทำได้กูทำไปนานแล้วเพื่อน”
“เออๆ กูยอมช่วยก็ได้ แต่ก็ไม่รับประกันนะว่าจะสอนน้องมึงให้เก่งขึ้นได้อ่ะ” และผมก็จะไม่รับประกันความปลอดภัยของน้องมันด้วย ถ้าเป็นผู้หญิงน่ารักนี่ก็บอกได้เลยว่า
เสร็จ...เสร็จกูแน่ๆ ล่ะมึงเอ๊ย
“กูเชื่อว่ามึงต้องทำได้” ไอ้แบล็คมันไม่ได้พูดยอผมหรอก แต่มันกำลังกดดันผมอยู่ต่างหาก
ไอ้เพื่อนเหี้ย...
“แล้วแต่มึงจะคิด ว่าแต่จะให้กูสอนน้องมึงนานเท่าไหร่” ความจริงผมก็ไม่ได้ว่างไปสอนน้องมันเรื่อยๆ ขนาดนั้น เพราะเดี๋ยวขึ้นปีห้าผมก็ต้องไปเป็นครูฝึกสอนที่สถาบันการศึกษา แต่ตอนนี้ผมพึ่งจะอยู่ปีสี่ไง ก็เลยพอจะมีเวลาแค่ช่วงนี้เท่านั้น
คิดในแง่ดีก็ถือซะว่าการสอนน้องเพื่อน มันก็เหมือนกับเป็นการเตรียมตัวเพื่อไปรับมือกับนักเรียนจริงๆ ในอนาคต
“ใจจริงกูอยากให้มึงสอนพิเศษน้องกูไปเรื่อยๆ เลยว่ะ”
ได้ยินประโยคนี้ของมันผมก็แทบช็อกเลยล่ะ แต่ยังไงมันก็คือเพื่อน คงจะปฏิเสธอะไรไม่ได้อยู่ดี
“เออๆ กูตกลง” ผมตอบรับ บางทีมันอาจจะไม่ได้แย่ขนาดนั้นก็ได้มั้ง
“ขอบคุณมึงมากนะนาวา” ฝ่ามือหนาของมันเอื้อมมาตบไหล่ของผมเบาๆ อย่างซาบซึ้ง ผมก็ทำได้แต่พยักหน้ารับ
“ถ้าน้องมึงดื้อและไม่ฟังที่กูพูดเมื่อไหร่ กูเอาหนังสือฟาดหัวแบะเลยนะ” ผมแกล้งพูดข่มขู่เอาไว้เฉยๆ ไม่กล้าทำถึงขนาดนั้นหรอก
เราไม่ควรทำร้ายเด็กและสตรี
แต่ถ้าการกระทำของน้องสาวมันหนักข้อมากนัก ผมก็มีวิธีจัดการของผม
“หนังสือยังน้อยไป เอามีดแทงเลยดีกว่า” แม่ง...รักน้องตัวเองฉิบหาย ผมได้แต่ส่ายหน้ากับคำพูดของไอ้แบล็ค
ถ้าจะแทงจริงๆ คงไม่ใช่มีดหรอก น่าจะเป็นอย่างอื่นมากกว่า...
.:END NAVA PART:.
-ปัจจุบัน-
.:SNOW WHITE PART:.
ก๊อกๆๆ
ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาหลังจากที่เผลอหลับไป เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นตรงหน้าห้องทำให้ฉันงัวเงียลุกขึ้นนั่ง นิ้วเล็กก็กำลังยกขึ้นขยี้ตาของตัวเอง ก่อนจะเดินไปเปิดประตูพร้อมด้วยอาการมึนๆ เนื่องจากยังง่วงงุนอยู่
“พ่อให้มาตามไปกินข้าว” เสียงของพี่แบล็คดังขึ้นมาทันทีเมื่อฉันเปิดประตู
“หนูไม่หิว กินกันเลย”
“สงสัยพายุจะเข้า” อยู่ๆ พี่แบล็คก็พูดขึ้นมา นั่นยิ่งทำให้ฉันงงเข้าไปใหญ่ เข้าใจคนพึ่งตื่นหรือเปล่า สมองก็เลยประมวลผลช้านิดหนึ่ง
เปล่าโง่..
“ทำไมเหรอคะ” คิ้วของฉันขมวดเข้าหากัน สีหน้าตอนนี้ก็คงจะดูมึนๆ
“ก็ปกติไวท์ไม่เคยปฏิเสธอะไรก็ตามที่เป็นเรื่องของกิน”
ถ้าพี่แบล็คจะพูดขนาดนี้ควรด่าฉันว่าตะกละเลยดีกว่า มันยังรู้สึกเจ็บน้อยกว่านี้
“อืม งั้นเดี๋ยวหนูลงไป” ถ้าฉันปฏิเสธมันก็จะดูแปลกใช่ไหม เพราะฉะนั้นเลยเปลี่ยนใจลงไปกินดีกว่า
“ต้องแบบนี้สิอีหมู” ฝ่ามือหนาของพี่แบล็คเอื้อมมาขยี้ผมของฉัน จากที่มันไม่เป็นทรงอยู่แล้วก็ยิ่งยุ่งเหยิงเข้าไปใหญ่
“ใครหมู!” ฉันถามย้ำ พลางจ้องหน้าพี่แบล็คเขม็ง ใครจะด่าอะไรก็ได้ แต่ขอร้องอย่าเรียกว่าหมู
สโนว์ไวท์จะไม่ทน!
“งั้นช้างก็ได้” จบประโยคนั้นพี่แบล็คก็หัวเราะออกมาดังลั่น ร่างสูงรีบเบี่ยงหลบฝ่ามือของฉันที่กำลังจะฟาดลงบนตัว เมื่อหลบฝ่ามือพิฆาตของฉันได้ พี่แบล็คก็วิ่งหนีหายลงบันไดไปพร้อมกับเสียงหัวเราะอย่างสะใจที่ไม่มีท่าทีว่าจะหยุด
“พี่แบล็ค!” ฉันก็ทำได้แต่ตะโกนเรียกไล่หลังพี่เขาเสียงดังด้วยใบหน้าบึ้งตึง
“ฉันอ้วนตรงไหนเนี่ย” ดวงตากลมโตของฉันก้มมองสำรวจตัวเอง มือบางก็จับส่วนต่างๆ ของร่างกาย
“โหย~ ทุกตรงเลยว่ะ” เชื่อไหม ว่าไม่ว่าจะจับไปตรงไหนมันก็มีแต่ไขมัน คิดแล้วเศร้า ขอเหล้าสักแบน
แต่ช่างเถอะ!
ถึงจะอ้วนก็ไม่ได้ไปหนักหัวใครนะ แต่หนักที่ตาชั่งเท่านั้นเอง ใครที่กำลังมีความสุขกับการกินไม่ต้องไปแคร์หรอก รู้ไว้แค่ว่า
‘อร่อยปากไม่ลำบากตูด แต่ลำบากกูนี่’
ลำบากที่ต้องมาลดน้ำหนักทีหลัง เอาเป็นว่าไม่ต้องลดหรอก เดี๋ยวโดนแดดประเทศไทยไปไขมันก็ละลายไปเอง
เออพอคิดแบบนี้ค่อยสบายใจขึ้นหน่อย...
ฉันสูดหายใจเข้าลึกๆ และยิ้มออกมา เพราะยอมรับในสภาพหุ่นของตัวเองได้แล้ว เท้าทั้งสองข้างของฉันก้าวตรงไปที่บันได และเดินลงไปยังชั้นล่าง
เมื่อลงมาก็เห็นว่าพ่อกับแม่ และพี่แบล็คได้นั่งรออยู่ตรงโต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว
“ทำไมลงมาช้าจังล่ะ” ประโยคนี้แม่ของฉันเป็นคนเอ่ยถามขึ้นมา ฉันเดินไปนั่งหย่อนก้นลงที่เก้าอี้ข้างๆ ท่าน
“พี่แบล็คบอกว่าหนูอ้วน หนูก็เลยมัวแต่สำรวจหุ่นตัวเองอยู่ค่ะ” ได้ทีฉันก็โยนความผิดทุกอย่างให้พี่เขาเลย แม่ตวัดสายตาหันขวับไปมองพี่แบล็คเป็นเหตุให้ร่างสูงถึงกับสะดุ้ง
“อย่าไปฟังพี่แบล็คเลยลูก ไวท์น่ะผอมจะตายอยู่แล้ว แบล็คนี่ก็นะ ทำไมชอบแกล้งแหย่น้องเรื่องหุ่นอยู่เรื่อย” แม่หันมาพูดปลอบใจฉัน ก่อนจะหันไปหาพี่แบล็คพร้อมด้วยน้ำเสียงติดดุ
“ก็ในสายตาผมน้องอ้วนจริงๆ หนิครับ” พี่แบล็คย้อนกลับ สีหน้าก็เหมือนคนที่กำลังกลั้นขำ
“อ้วนที่ไหนแบบนี้เขาเรียกว่าหุ่นกำลังดี จับตรงไหนก็เต็มไม้เต็มมือ” แม่เองก็ช่วยเถียงพี่แบล็คให้ บรรยากาศตรงโต๊ะทานข้าวเหมือนสงครามไม่มีผิด
“ก็แบล็คมันชอบผู้หญิงหุ่นเหมือนไม้เสียบผีไง” พ่อที่นั่งเงียบอยู่นานพูดโพล่งขึ้นมา และประโยคนี้ของพ่อนี่แหละที่ทำให้ทุกอย่างสงบลง
เตรียมตัวกราบผู้ทรงอิทธิพลของบ้าน...