ภูมิหลังที่แสนเจ็บปวด

1263 คำ
ภายในบ้านปูนชั้นเดียวสีขาวสไตล์มินิมอล รายล้อมไปด้วยต้นไม้เขียวขจีดูร่มรื่นและน่าอยู่ ซึ่งภายในบ้านหลังนี้มีเพียงแค่เด็กหนุ่มมัธยมปลายและแมวเหมียวเท่านั้นที่อาศัยอยู่ “เสือหมอบลูก พ่อเทอาหารเอาไว้ให้แล้วนะ อยู่บ้านก็อย่าเอาแต่นอนมากล่ะ!! พ่อไปทำงานก่อนนะ” มือหนาลูบขนนุ่มของเสือหมอบที่กำลังนอนหงายท้อง มองชุนตาแป๋ว เหมือนรับรู้ว่า เจ้านายของตัวเองกำลังจะสื่ออะไร ร่างสูงเดินออกจากบ้านหลังจากที่เล่นกับเสือหมอบเรียบร้อย จากนั้นก็ผิดประตูรั้วบ้านเรียบร้อย วันหยุดสุดสัปดาห์ที่ใครหลายคนต่างพากันนอนพักอยู่บ้าน แต่สำหรับชุนไม่ใช่ เขาต้องออกไปทำงานพิเศษทั้งวันจนค่ำซึ่งเป็นเรื่องปกติในชีวิตของเขาไปแล้ว ตาคมโฟกัสเข้าไปภายในบ้านหลังนี้ที่พ่อและแม่ทิ้งเอาไว้ให้ด้วยความรู้สึกโหวงเหวง บ้านหลังนี้เป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่เหลืออยู่ของเขา บ้านที่เคยอบอุ่น แต่ตอนนี้กลับเงียบเหงาชอบกล ชุนยืนนิ่งครุ่นคิดอะไรบางอย่างสักพักดั่งคนเหม่อลอย ซึ่งเขาได้สติตอนที่มีเสียงหญิงวัยกลางคนดังขึ้น ตาคมมองผู้หญิงวัยกลางคนที่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเลยสักนิด “หนุ่มใช่ลูกชายพราวฟ้ารึเปล่าจ๊ะ” รอยยิ้มเสแสร้งยิ้มเป็นมิตรให้กับชุน หวังชายหนุ่มจะยิ้มตอบกลับแต่เปล่าเลยสักนิด ร่างสูงกลับมีใบหน้าเรียบเฉยรอฟังผู้หญิงคนนี้พูดต่อ “ครับ” “พอดีว่า เมื่อก่อนแม่ของเธอเคยยืมเงินป้าห้าหมื่นบาท ตอนนี้ป้าก็ยังไม่ได้คืน” หญิง วัยกลางคนแจ้งความประสงค์ของตัวเองให้กับชุนได้รับทราบ “มีหลักฐานมั้ยครับ” เสียงทุ้มถามกลับหญิงวัยกลางคน เนื่องจากว่า ป้าคนนี้ไม่ใช่คนแรกที่เข้ามาบอกกับเขาแบบนี้ “เอ๊ะ!!จะไปมีได้ยังไง ฉันก็ไว้ใจแม่ของเธอ คิดว่าจะเป็นคนดี ที่ไหนได้ก็ตายหนีหนี้” เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มตรงหน้ายังคงนิ่งเงียบไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ แถมยังขอหลักฐานหน้าตาเฉย สร้างความหงุดหงิดใจให้กับหญิงวัยกลางคนไม่น้อย “หยุดพูดถึงแม่ของผมแบบนี้นะครับ” คำพูดบางประโยคที่ชุนได้ยิน สร้างความไม่พอใจให้กับเขา เมื่อผู้หญิงคนนี้เริ่มพูดจาเสีย ๆ หาย ๆ ใส่แม่ของเขาที่ล่วงลับไปแล้ว “ทำไม!! ทำไมฉันจะพูดไม่ได้ ในเมื่อแม่แกยืมเงินแล้วไม่คืน” หญิงวัยกลางคนเริ่มโมโห เมื่อเห็นท่าทีเมินเฉยจากชุนที่กำลังจะเดินออกจากหน้าบ้านของตัวเอง “ผมขอหลักฐาน หรือสัญญาอะไรก็ได้” “ก็ฉันบอกอยู่นี่ไงว่า ฉันไม่ได้ทำเอาไว้” หญิงวัยกลางคนเริ่มเอะอะโวยวายเสียงดัง ทำให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาเริ่มหยุดมองให้ความสนใจเป็นแถว “ผมจะแน่ใจได้ยังไงว่า แม่ผมเป็นหนี้ป้าจริง ๆ” “เอ๊ะ นี่แก ไอ้เด็กเมื่อวานซืน คิดว่าฉันจะหลอกแกงั้นเหรอ?” “ถ้าไม่มีหลักฐาน ผมขอไม่รับรู้เรื่องนี้นะครับ ขอตัว” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเจอเรื่องแบบนี้ ตั้งแต่คุณแม่ของเขาเสียไปมีคนแปลกหน้าอ้างตัวเป็นเจ้าหนี้ของแม่เขาเป็นแถว ทั้งที่มีหลักฐานบ้าง ไม่มีหลักฐานบ้างปะปนกันไป ตั้งแต่พ่อของเขาเสียไป แม่ของเขาต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในบ้านทั้งหมด รวมไปถึงดูแลเขาซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับผู้หญิงคนเล็ก ๆ ที่เป็นแม่บ้านมาโดยตลอด กลับต้องหาเงินเองหลังจากที่สามีเสีย และเรื่องนี้ชุนไม่ได้โทษแม่ของเขาเลยสักนิด “หน็อย!! ไอ้เด็กจองหอง ฉันจะให้ลูกชายฉันจัดการแก คอยดู” หญิงวัยกลางวัยตะโกนไล่หลังของชายหนุ่มดังลั่นซอย แต่ก็ไม่ได้ทำให้ชุนหันหน้ากลับมามองหรือสนใจเลยสักนิด ภายในห้องอาหารของบ้านหลังใหญ่ที่มีประมุขของบ้านนั่งอยู่บนโต๊ะอาหารรออยู่ก่อนแล้ว โดยมีครอบครัวของมนต์นภานั่งอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน เหลือเพียงพิพิมที่กำลังเดินเอื่อยเฉื่อยเข้ามา “พิพิม หัดมีมารยาทหน่อยนะ ปล่อยให้ผู้ใหญ่รอแบบนี้ได้ยังไง” เสียงแหลมของน้าสาวพูดโพล่งขึ้นกลางโต๊ะอาหาร “น้ามนต์ แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาอาหารเช้านะคะ อีกอย่างถ้าหิวทำไมไม่ทานก่อนล่ะคะ” “พิพิม ไม่เอาไม่เถียงผู้ใหญ่” คุณหญิงพิสมัยเอ่ยห้ามปรามหลานสาวของตัวเอง ไม่ใช่ว่าเธอจะเข้าข้างพิพิมไปเสียหมด อะไรไม่ดีเธอก็มักจะสั่งสอนหลานสาวอยู่เสมอ ไม่ได้ตามใจพิพิมเสียร่ำไปอย่างที่ใครกล่าวหา “คุณมนต์ คุณก็ใจเย็นกับหลานหน่อยสิ” นิธิศ สามีของมนต์นภาพยายามห้ามปรามภรรยาของตัวเองที่กำลังแสดงสีหน้าท่าทางไม่พอใจออกมา “คุณนิธิศก็เป็นไปกับคุณแม่อีกคนเหรอคะ?” มนต์นภาหันไปมองค้อนสามีของตัวเอง เธอยิ่งหงุดหงิด เมื่อเห็นทุกคนเอาแต่เข้าข้างพิพิม ทั้งที่เธอเพียงแค่ตักเตือนหลานสาวตัวเองเท่านั้น “วรินทร์คิดว่า เราทานอาหารเช้าดีกว่าค่ะ” วรินทร์หญิงสาวที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพิพิมเอ่ยห้ามสงครามบนโต๊ะอาหารด้วยเสียงหวานที่ดูใจเย็น “พิพิมแกก็หัดทำตัวเหมือนนรินทร์บ้างนะ” “ไม่เอาค่ะ” วรินทร์ที่อยู่ในเขตบริเวณบ้านแตกต่างจากวรินทร์ตอนอยู่นอกบ้านโดยสิ้นเชิง เรื่องนี้พิพิมทราบดี ใบหน้าใสซื่อที่แสดงออกมา ทำให้พิพิมแทบอยากอ้วกออกมา “พิพิม!!” มนต์นภาเรียกชื่อพิพิมเสียงดัง เธอไม่พอใจที่พิพิมไม่ไว้หน้าเธอเลยสักนิด ถึงแม้ว่าวรินทร์จะไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน แต่ในเมื่อเธอแต่งงานกับนิธิศซึ่งเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว ที่ เลี้ยงวรินทร์มาเพียงลำพังตั้งแต่เด็ก นั่นก็เท่ากับว่าวรินทร์และนิธิศคือคนในครอบครัว “หยุด!! เลิกทะเลาะกันได้แล้ว ทานข้าว” เสียงเข้มของคุณหญิงพิสมัยเอ่ยห้ามปรามลูกสาวและหลานสาวของตัวเองทันที เพียงแค่ได้ยินเสียงของคุณหญิงพิสมัย พิพิมและมนต์นภาถึงกับเงียบเสียงลงทันที หย่อนสะโพกนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยความจำใจ ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทราบได้ที่พิพิมรู้สึกอึดอัดทุกครั้งที่อยู่บ้าน บ้านที่เคยมีแต่เสียงหัวเราะ ตอนนี้แปรเปลี่ยนเป็นเสียงทะเลาะปนกระแนะกระแหนระหว่างเธอและน้าสาวซึ่งตอนนี้เธอก็ไม่สามารถทำอะไรได้ด้วยตัวเอง บางเรื่องจึงต้องพึ่งน้าสาวให้ช่วยจัดการแทนไปก่อน หากวันใดที่เธอเรียนจบ และเข้าไปบริหารงานโรงพยาบาลที่คุณพ่อและคุณแม่เธอเป็นคนสร้างขึ้นมากับมือ เธอคงไม่ต้องพึ่งพาน้าสาวอีกต่อไป “อีกหนึ่งเทอมใช่มั้ยจะเรียนจบ คิดรึยังว่าเราจะไปเรียนต่อประเทศไหน” คุณหญิงพิสมัยเอ่ยถามพิพิมระหว่างทานข้าว “พิมขอดูก่อนได้มั้ยคะ จริง ๆ อยากเรียนต่อที่ไทยแล้วค่อยไปต่อโทที่ต่างประเทศ” พิพิมเอ่ยแพลนชีวิตของตัวเองให้คุณหญิงพิสมัยได้รับทราบ “ใฝ่ต่ำเหมือน....” “น้ามนต์หยุดพาดพิงถึงคุณพ่อ คุณแม่ ของพิมได้แล้วค่ะ” พิพิมพูดดักคอน้าสาวเอาไว้ก่อนที่จะเผลอพูดลามปามใส่บุพการีของเธอ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม