“คุณเอวาเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?” ขยับเข้าใกล้ดอกไม้ก็ยิ่งขยับตามมาด้วย จมูกของฉันไวต่อสัมผัสมากมาตอนนี้ฉันไอจนแทบคอจะแตกบวกกับ
“อะ เอาออกไป” ปัดมือและขยับตัวถอยห่างร่างสูงที่ยังคงตามตื้อไม่เลิก
ตุ้บ
ฝ่ามืออุ่นร้อนโอบไหล่ฉันไว้เงยหน้ามองใบหน้าหล่อเหลาที่เรียบนิ่งก่อนจะหยิบช่อดอกไม้จากมือผู้ชายคนนั้นโยนทิ้งไปไกลพอตัว “นะ นี่คุณทำอะไรของคุณ!”
“ผมเป็นบอดี้การ์ดของคุณเอวา”
“...”
“แล้วคุณกำลังทำร้ายเธอ ด้วยดอกไม้ช่อนั้น”
โอบไหล่เดินออกห่างจากผู้ชายคนนั้นสิ่งเดียวที่ทำให้ฉันผวาเห็นจะเป็นการไอออกมาอย่างหนัก พร้อมกับจมูกที่แสบคันไปหมดมาถึงรถของเตชินทร์เขาก็เงียบไม่พูดอะไรเลยระหว่างทางกระทั่งรถจอดรถนั่นแหละถึงทำให้ฉันมองออกไป
“ยังไม่ถึงบ้านเลยนี่คะ?” ยังคงเงียบและออกจากรถเปิดประตูคว้าข้อมือฉันให้เดินขึ้นฟุตบาททว่าอีกไม่ไกลก็จะถึงบ้านแล้วนะ มาแวะที่ไหนอีกล่ะเนี่ย “เตชินทร์”
ลากฉันเข้าไปด้านในที่ไหนสักแห่งพอเห็นคนแก่ วัยรุ่นนั่งเรียงกันหน้าสลอนฉันก็กระตุกท่อนแขนของเขาที่พาฉันเดินไปยังเคาน์เตอร์ของคลินิกแห่งนี้และใช่...
เขาพาฉันมาคลินิก!
“คนไข้เป็นอะไรมาคะ?”
“ภูมิแพ้ครับ แล้วก็เหมือนจะไม่สบาย”
“ช่วยเขียนชื่อ ที่อยู่เบอร์โทรศัพท์ของผู้ป่วยให้ด้วยค่ะ” เตชินทร์พยักหน้ารับก่อนจะกรอกประวัติทุกอย่างแทนฉัน สายตากวาดมองไปทั่วร้านที่เปิดแอร์เย็นช่ำมองคนเฒ่าคนแก่ที่นั่งอยู่กับลูกหลาน พร้อมกับวัยรุ่นอีกสองคนที่ดูกระดี้กระด้าสุด
“เชิญนั่งรอก่อนนะ คิวสุดท้ายพอดี” ฉันทิ้งตัวนั่งตวัดขาไขว่ห้างพลางหยิบทิชชูขึ้นมาเช็ดน้ำมูกที่ไหลออกมาไม่หยุดสักทีหันไปมองคนข้างกายที่โน้มตัวไปข้างหน้าเอามือผสานเข้าหากัน
“อายุรกรรมเหรอ? ที่คุณเห็นฉันเป็นคนแก่หรือไงเนี่ย”
“รักษาโรคทั่วไปด้วยครับ” ย่นจมูกใส่คนตัวสูงที่หน้าบอกบุญไม่รับ “กินยาซื้อจะหายได้ยังไง”
“คุณก็รู้ว่าฉันไม่ชอบหาหมอ”
“ต้องให้ผมเข้าไปด้วยไหมล่ะ? เด็กน้อย” ฝ่ามือหนาวางบนศีรษะก่อนจะลูบไปมา ฉันรู้สึกเขาดูถูกฉันมากคิดว่าฉันเป็นเด็กน้อยตอนนี้ ทีตอนที่ลูบอกยังบอกว่าฉันโตแล้วเลย
“ไม่ต้องค่ะ” กระแทกเสียงใส่หันหน้าหนีไปอีกทางมองประตูบานเลื่อนถูกเปิดขึ้นพร้อมกับคนไข้ที่ทยอยเข้าไปทีละคน ฉันก็หยิบสมาร์ทโฟนราคาแพงสีดำสนิทขึ้นมาไถดูไอจีเรื่อยเปื่อย
“คุณเอวาเชิญห้องตรวจค่ะ” คนดูแลเรียกฉันจำต้องเอาสมาร์ทโฟนลงกระเป๋าสะพาย ลุกขึ้นเดินไปยังประตูบานเลื่อนปิดประตูลงมองคนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะขนาดพอดีสวมชุดกราวน์สีขาวด้านในเป็นเสื้อเชิ้ตฟ้าอ่อนสายตากำลังมองจับจ้องฉันที่ยืนนิ่งค้างอยู่ตรงประตูไม่ขยับไปไหน
“เชิญนั่งครับ” รอยยิ้มที่เรียกสติทำให้ฉันพาตัวเองมานั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามคุณหมอที่หน้าตาดีมาก เอาความจริงนะหล่อสุดๆ ยิ้มทีคือใจละลายเลยล่ะฉันคิดแบบนั้นและผู้หญิงที่มาหาเขาคงคิดแบบนั้นเช่นกัน ทรงผมที่ตัดเป็นระเบียบถูกจัดทรงเสยขึ้นเพื่อรับใบหน้าหล่อคม ดวงตาเฉี่ยวชั้นเดียว ริมฝีปากแดงคล้ำรูปหน้าของเขาจัดได้ว่าเป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่หล่อไม่จนหาที่ติไม่ได้ “คุณเอวา ทรัพย์บุญโชค อายุ 25 ปี ไม่มีประวัติแพ้ยาอะไร โอเค...”
น้ำเสียงนุ่มลึกเอ่ยถามฉันก็ได้แต่พยักหน้ารับ ก่อนจะมองไปยังป้ายชื่อที่วางอยู่ขอบโต๊ะ ‘นายแพทย์ดินแดน กิตติทัศณ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรกรรมและรักษาโรคทั่วไป’ “ภูมิแพ้เหรอครับ? เป็นมานานหรือยังครับ”
“ค่ะ” ตอบกลับเขาไป ฉันก็ก็ผละสายตาจากชื่อของเขามาสบตากันพอดี “สักพักแล้วค่ะ ตอนอายุสิบแปดได้”
“แพ้อะไรหรือเปล่าครับ? พวกอาหารหรือแพ้อากาศ”
“เวลาอากาศเปลี่ยน ฉันจะไอแล้วก็คัดจมูกตลอดเลยค่ะ แล้วก็ไม่ถูกกับพวกเกสรดอกไม้” ฉันบอกหมอดินแดนก็ก้มหน้าเขียนอะไรสักอย่าง เขาก็เลื่อนเครื่องอะไรสักอย่างมาด้านข้างของฉัน
“ผมขอวัดความดันหน่อยนะครับ” ใบหน้าหล่อเหลาเรียบนิ่งก่อนจะจัดการวัดความดันให้ฉัน “มีอาการคันตามร่างกายหรือหอบ แน่นหน้าอกบ้างไหมครับ?”
“ไม่มีค่ะ ฉันเหมือนไม่ถูกกับอากาศมากกว่าไม่ว่าจะร้อน หนาว ฝนตกก็เป็นแบบนี้เสมอ” ตอบกลับพลางมองไปยังตัวเลขที่ขึ้นจ่อด้วยความมึนงง เพราะการวัดความดันค่อนข้างทำให้ฉันมึนงงไม่น้อย
“ความดันสูงขึ้นมานิดหน่อย ไม่ถึงเกณฑ์ที่จะต้องทานยาแต่อย่าเครียดเป็นพอ”
“ฉันยังวัยรุ่นอยู่นะคะ คงไม่เป็นโรคความดันหรอกใช่ไหม?” ฉันเอ่ยถามด้วยความสงสัยหมอดินแดนก็อมยิ้ม หยิบเครื่องวัดไข้มาจดจ่อมาที่บริเวณใบหู
“หลายท่านเข้าใจผิดๆ ว่าเป็นวัยรุ่นคงเป็นโรคความดันไม่ได้ แต่จริงๆ เป็นได้ครับ”
“ก็ฉันไม่รู้นี่นา คุณหมอจะมาหัวเราะกันไม่ได้นะคะ”
“ผมเปล่าสักหน่อย คุณเอวาคิดไปเอง” ทำหน้าบูดใส่หมอดินแดนที่จับจ้องมองไปยังตัวเลขของเครื่องวัดไข้เมื่อเกิดเสียงดังเตือนว่าตรวจเรียบร้อยแล้วเขาก็เอามันออก “มีไข้นะครับ 39.2 องศา”
พยักหน้ารับก่อนจะยกมือนวดคลึงไปยังท้ายทอย ไม่รู้เลยนะว่าตัวเองจะป่วยจนได้น่ะ เพราะฉันไม่ได้มีความรู้สึกว่าตัวเองป่วยเลยสักนิดถ้าไอ้หมอนั้นไม่เอาดอกไม้มายื่นตรงหน้าฉันน่ะ!