บทที่ 3
ปฏิบัติการจีบหมอมาเป็นแฟน
ร้านอาหารของปุ้ย เวลา 18.30 น.
“จีบเลย! ฉันยุยง”
“หมอดินเขาไม่ค่อยสุงสิงกับใครนะ อีกอย่างแกอย่าไปยุยงเอวาสิปุ้ย”
“แกน่ะอยู่เฉยๆ ไปเลยแม่ชี ส่วนแกเอวา... จีบหมอดินเลย เขาเหมาะกับแกจะตายไป”
“เฮ้อ ขนาดฉันชวนเขาไปกินข้าวด้วยกันตอนที่ตรวจฉันนอกเวลา เขายังปฏิเสธฉันเลยนะเอาอะไรไปจีบอะ”
“ก็ตื้อเท่านั้นที่ครองโลกไง นี่เป็นครั้งแรกนะที่แกสนใจผู้ชายคนอื่นนอกจากคุณพ่อกับบอดี้การ์ดหน้าหล่ออย่างคุณเตชินทร์อะ!”
เท้าคางมองเพื่อนสองคนที่กำลังเถียงกันเรื่องหมอดินที่ฉันเอ่ยปากเล่าให้อุ่นฟัง อุ่นบอกเพียงแค่ว่าหมอดินไม่ค่อยสุงสิงกับผู้หญิงที่ไหนแต่คอนเฟิร์มว่าเป็นผู้ชายร้อยเปอร์เซ็น ทว่าปุ้ยก็ยังคงยุยงให้ฉันจีบหมอดินซะเดินหน้าเต็มที่แต่ว่าฉันเคยจีบใครที่ไหนกันล่ะ แค่ชวนไปกินข้าวด้วยกันยังปฏิเสธจะให้ฉันไปตามตอแยอะไรเขาอีกล่ะ สายตาเหลือบมองไปยังแมสปิดปากสีขาวที่หมอดินให้ฉันไว้เพื่อปิดกลิ่นของโรงพยาบาลที่ฉันไม่ชอบ
“เลิกยุยงเอวาได้แล้วปุ้ย มันไม่ดีเลยนะที่จะเป็นฝ่ายไปจีบผู้ชายก่อน”
“โอ๊ย แกเนี่ยนะเลิกหัวโบราณสักทีเถอะ กราบล่ะ!” ปุ้ยยกมือพนมท่วมหัว จากนั้นก็หันมาเล่นงานฉันที่กำลังตักอาหารกินไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เอาจริงมุมที่เรากินข้าวดีนะที่ไม่ไปรบกวนแขกคนอื่นเขาแต่ฉันจะห่วงทำไม? ในเมื่อยัยเจ้าของร้านตัวดียังแหกปากแว้ดๆ ลั่นร้าน “นี่มันยุคไหนแล้ว มันไม่แปลกเลยนะที่ผู้หญิงจะไปจีบผู้ชายก่อนอะ”
“...”
“รอให้ผู้ชายมาจีบเหี่ยวแห้งตายกันพอดี เพราะงั้นเอวาแกฟังฉันนะ” ตปบมือลงบนท่อนแขนจนน้ำต้มยำที่อยู่ในช้อนกระฉอกหกไม่ได้กินเลย จึงหันไปมองเพื่อนตาเขียวขัดการกินข้าวฉันสุด!
“อะไรของแกเนี่ย ฉันหิวนะ”
“ฟังนะเอวา แกต้องจีบหมอดิน โอเค?” ใบหน้าสวยเจ้าเล่ห์แบบสุดๆ แถมยังขยิบตาให้ฉันอีกต่างหาก
“เอวาอย่าไปฟังปุ้ยนะ เชื่อฉันแกอย่าไปทำแบบนั้นเลย เป็นผู้หญิงก็รักนวลสงวนตัวไว้... สวยรวยมั่นใจในตัวเองแบบแกสักวันจะต้องมีผู้ชายเข้ามาหาแน่” แม่ชีอุ่นไล่ยาวเยียดจนฉันสบตากับปุ้ยที่ส่าหน้า
“อย่าไปฟังแม่ชี แกฟังฉันวันนี้แกไปคลินิกหมอดินแกเอาข้าวไปให้เขาเลย เดี๋ยวฉันจัดการให้ อุ่นหมอดินชอบกินไร”
“ฉันจะรู้ไหมล่ะ? ฉันไม่ใช่พวกสอดรู้สอดเห็นนี่”
“นึกสินึก แกทำงานที่วอร์ดเดียวกับหมอดินก็ต้องรู้” อุ่นถอนหายใจพลางหันไปกินข้าวตามเดิม ยัยปุ้ยก็ยังคงหันมาย้ำให้ฉันทำในสิ่งที่ฉัน... อยากทำแต่อีกใจก็ไม่อยากทำก็อีตอนที่ทำให้หน้าแตกก็ยังคิดอยู่ว่าคงต้องโดนปฏิเสธอีกแน่
“ไม่เอาอะ ไม่อยากหน้าแตก”
“แกต้องสู้สิ หมอดินเป็นผู้ชายคนเดียวที่ทำให้แกนึกถึงแต่สิ่งดีๆ ที่เขามอบให้ ถูกปะ” ยัยปุ้ยคือมีญาณทิพย์ใช่ไหม รู้ว่าฉันเอาแต่คิดถึงความห่วงใยที่เขามอบให้ทั้งที่เขาเป็นหมอรักษาคนป่วยทั่วไปก็ต้องห่วงใยคนไข้ถูกปะ แต่พอหันไปมองแมสที่เขามอบให้ฉันก็คิดหนักจนใจหนึ่งมันก็อยากจะทำตามที่เพื่อนแนะนำ อีกใจก็ไม่อยากหน้าแตกอย่างที่บอกไป
“หมอดินชอบกินหมูทอด” จู่ๆ อุ่นก็เอ่ยขึ้นมาพร้อมกับมองจานหมูทอดแดดเดียว “ใช่ ฉันเคยเห็นหมอดินกิน”
“จัดไป ฉันไปบอกพ่อครัวแปบทำต้มจืดด้วย”
“เดี๋ยวดิปุ้ย!” ห้ามก็ไม่ทันซะแล้ว ยัยปุ้ยรีบวิ่งตรงเข้าครัวไปฉันจึงยกมือซ้ายขึ้นเสยผมมองเพื่อนอีกคนที่เอาแต่จับจ้องมองแขนของฉัน
“แผลเป็นแกเห็นชัดมากเลยนะ ถ้าไม่สังเกต... แกไม่คิดจะไปลบรอยบ้างเหรอ?”
“พูดเหมือนปุ้ยเป๊ะเลยนะ” ทำหน้าหงุดหงิดพลางมองรอยแผลเป็นที่มีรอยสักรูปดาวห้าดวงกระจายอยู่ตรงรอยแผลเป็น ลากนิ้วไปตามรอยยาวรอยยิ้มของฉันก็ผุดขึ้นมาสบตากับอุ่นที่รอให้ฉันพูดอะไรออกไปบ้าง “ฉันชอบที่จะให้รอยแผลนี้อยู่บนตัวฉัน”
“...”
“ฉันไม่อายนะที่ใครเห็นแล้วจะบอกว่ามันไม่ควรอยู่ แต่สำหรับฉันมันสำคัญและทำให้ฉันไม่ได้โดดเดี่ยวอยู่คนเดียว”
ทุกครั้งที่เพื่อนถามฉันไม่เคยเบื่อหรือรำคาญที่จะตอบ ฉันเข้าใจเพื่อนดีว่าอยากเห็นร่างกายของฉันสมบูรณ์แบบ รอยแผลเป็นมันใหญ่และไม่จางหายไปเลยถึงได้สักรูปดาวไว้รอบๆ สองสิ่งนี้มันคือสิ่งเดียวที่ฉันรู้สึกดีมากไง ตอบได้แค่นี้ล่ะ
“เรียบร้อย” ปิ่นโตสีเขียวสามชั้นถูกวางตรงหน้าพร้อมกับน้ำหนึ่งขวด สายตาทอดมองเพื่อนที่ฉีกยิ้มกว้าง “ใกล้เวลาคลินิกปิดแล้วนะ รีบไปสิหมอดินไม่ปฏิเสธแน่นอน”
“แล้วถ้าปฏิเสธล่ะ?”
“แกก็เอาไปกินเอง”
“ฉันว่าแกเลิกให้เพื่อนทำอะไรแบบนี้เถอะ เอวาจะหน้าแตกนะฉันไม่อยากเห็นเพื่อนโดนหมอดินปฏิเสธ” อุ่นยังคงพูดให้ปุ้ยเปลี่ยนความคิด แต่จะโทษปุ้ยก็ไม่ได้หรอกเพราะฉันเองก็ดันเออออไปด้วยน่ะสิ
“แกน่ะเงียบไปเลย” ปุ้ยหันไปเอ็ดอุ่นที่ทำหน้าบูดก่อนจะมองสบตาฉัน “แกว่าไง? จะปล่อยไปทั้งที่ยังไม่ได้ ‘ลอง’ หรือจะลองเพื่อจะได้ทำตามใจตัวเอง”