สายลมหอบใบไม้แห้งกรอบ เสียงดังแกรกกราก กำลังจะส่งผ่านวสันตฤดูไปสู่เหมันต์ หลังจากฤดูฝนพร่างพรมอยู่ยาวนาน ลบรอยร้าวระแหงบนผืนดินกันดารแล้งให้กลับกลายเป็นสีเขียวขจีไปทั่วทุกสารทิศอีกครั้ง
ที่ม้าหินอ่อน… ภายใต้ร่มเงาของหูกวางต้นใหญ่ที่กำลังปลิดใบเคว้งคว้างลงเดียวดาย ห่มพื้นหญ้าสีเขียวขจีด้วยใบ
สีน้ำตาลแห้ง กองทับถมกันมาเนิ่นนานอยู่ที่โคนต้นสูงตระหง่าน
วูบหนึ่งของสายลมที่พัดผ่านมาทักทาย ร่างระหงของสตรีซึ่งกำลังนั่งเหม่อลอยอยู่ตรงนั้นถึงกับสะดุ้ง
หล่อนรับรู้ได้ถึงความว้าเหว่ทรมานที่ซุกซ่อนเอาไว้ในส่วนลึกที่สุดของใจดวงร้าว ในยามที่เหลียวขวาแลซ้ายแล้วพบเพียงความว่างเปล่า ยิ่งย้ำเตือนว่ารอบๆ กายในเวลานี้… แทบไม่หลงเหลือใครอยู่เคียงข้างเธอเลยจริงๆ
เริงรตียกแขนทั้งสองข้างขึ้นกอดอก มือเรียวโลมลูบไปมาที่ต้นแขนกลมกลึงของตัวเอง
หล่อนนิ่งนาน… ครุ่นคิดเหมือนตกอยู่ในอาการกลัดกลุ้มอย่างแรง ได้แต่โอบกอดตัวเองอยู่อย่างนั้น แม้รู้ดีว่ามันไม่มีทางจะอบอุ่นเท่ากับในยามที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของคนที่เธอรัก… คนที่เป็นเสาหลักให้กับครอบครัวมาโดยตลอด
“คุณเริงรตีคะ…”
ป้าชื่น ก้าวเข้ามาเงียบเชียบ เรียกชื่อของผู้เป็นนายเบาๆ หากคนใจลอยกลับไม่ได้ยิน
“คุณนาย…..”
ป้าชื่นย้ำอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงซึ่งดังกว่าครั้งแรก และมันได้ผล
“อุ๊ย…! ป้าชื่น”
คนกำลังใจลอยอุทานเบาๆ ยกมือเรียวขึ้นทาบอกด้วยความตกใจ ดวงหน้าชดช้อยช้อนชำเลืองมาตามเสียงเรียกของหญิงวัยกลางคนที่ช่วยฉุดเธอออกมาจากภวังค์คิดอันฟุ้งซ่าน
“ป้าขอโทษค่ะ… ที่ทำให้คุณนายตกใจ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
เริงรตีตอบเบาๆ ระบายยิ้มบางๆ ให้กับสตรีผู้สูงวัยกว่า
“อากาศเริ่มเย็นแล้วนะคะ… รีบกลับเข้าบ้านเถอะค่ะคุณนายใส่เสื้อผ้าบางๆ แบบนี้ พาลจะไม่สบายเอาได้ง่ายๆ นะคะ”
น้ำเสียงของป้าชื่นบอกว่าห่วงใย
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะป้า… ชีวิตของผู้หญิงที่ผ่านฝนมาได้ตลอดฤดูกาล ลมหนาวแค่นี้… ไม่มีปัญหาหรอกค่ะ สบายมาก”
คนปากแข็งหันไปส่งยิ้มให้กับป้าชื่นอีกครั้ง
“ทำเก่งไปเถอะค่ะ เดี๋ยวไม่สบายขึ้นมาจะหาว่าป้าไม่ดูแล แต่ถ้ายืนยันว่ายังอยากจะนั่งอยู่ตรงนี้ต่อไปแล้วละก็ ประเดี๋ยวป้าจะไปเอาเสื้อกันหนาวมาให้นะคะ”
ว่าพลางเหลียวกลับไปตามทิศทางเดิม ทำท่าว่าจะเดินกลับไป แต่เสียงหวานของผู้เป็นนายก็ขัดขึ้นเสียก่อน
“ช่างเถอะป้า… ฉันกำลังจะออกไปทำธุระอยู่พอดี”
“เย็นย่ำจวนเจียนจะค่ำมืดแบบนี้… คุณนายจะออกไปไหนหรือคะ?”
ป้าชื่นขมวดคิ้ว สายตาแลตรงไปยังหุบเขาเบื้องหน้า ในคลองสายตาปรากฏภาพของดวงอาทิตย์ กำลังคล้อยต่ำลงไปสู่สนธยา ระบายสีส้มอมแดงเป็นริ้วรายฝากเอาไว้ที่โค้งขอบฟ้าเบื้องทิศตะวันตก แม้จะเป็นภาพที่งดงามยิ่งนัก… หากก็ให้ความรู้สึกหดหู่… น่าใจหาย
“จะไปไร่องุ่นค่ะ”
บอกพลางชำเลืองมองไปยังอีกไร่ซึ่งอยู่ติดกัน
“ไร่องุ่น…?”
หัวคิ้วของป้าชื่นขมวดมุ่น คิดว่าตัวเองหูฝาด จึงถามย้ำด้วยความคับข้องใจ
“ใช่ค่ะ… ไร่องุ่นของพ่อเลี้ยงเดโช”
เธอบอกเพียงเท่านั้น…
ไร่ที่แลเห็นอยู่เบื้องหน้า เถาองุ่นเขียวขจี ช่อสีแดงเป็นพุ่มพวง ย้อยระย้าอยู่ใต้ค้างไม้ ภายใต้ร่มใบสีเขียว ทอดแนวยาวเคียงขนานกันไปไกลสุดลูกหูลูกตาถึงตีนเขา
ฟาร์มของเธอและไร่องุ่นของพ่อเลี้ยงเดโชที่เพิ่งถูกเอ่ยถึง ตั้งอยู่บนที่ดินซึ่งเชื่อมต่อเป็นผืนเดียวกัน… มีเพียงแนวรั้วไม้สีขาวเท่านั้น… ที่กั้นกลางเอาไว้
ก่อนหน้าที่เสี่ยกำพลผู้เป็นสามีจะล้มป่วยลง เริงรตีมีโอกาสได้พบเจอพ่อเลี้ยงเดโชผู้เป็นเจ้าของไร่องุ่นอยู่บ่อยครั้ง เมื่อคราวไปงานเลี้ยงของสมาคมผู้เลี้ยงโคนมและงานสังคมในพื้นที่ซึ่งจัดขึ้นสังสรรค์กันเป็นประจำทุกเดือน
แม้พ่อเลี้ยงเดโชจะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเริงรตีเป็นผู้หญิงที่มีทั้งสามีและลูก เธอไม่ใช่ผู้หญิงโสดที่เขาจะแอบหมายปองได้ ทว่าทุกครั้งที่เจอกัน… ก็อดไม่ได้ที่จะมองเพราะความงามและสเน่ห์อันเย้ายวน น่าค้นหา
เริงรตีเองก็อ่านสายตาเจ้าชู้ของเขาออก สายตาที่จ้องมองเธออย่างให้ความสนใจ ยิ่งเมื่อสบโอกาสได้พูดคุยกันสองต่อสอง… ท่าทีของเขาก็ย้ำชัดถึงความปรารถนาในใจที่มีต่อเธออย่างไม่ต้องสงสัย
“ขับรถดีๆ นะคะคุณนาย”
ป้าชื่นตะโกนเบาๆ กำชับกำชาด้วยความห่วงใย
แม้สถานที่ซึ่งเธอกำลังจะไปนั้นก็อยู่ไม่ไกล แต่ด้วยความห่วงใยของป้าชื่นจนติดเป็นนิสัย แกยืนมองส่งกระทั่งร่างระหงของคนเป็นนายลับหายเข้าไปในรถคันหรู
ธุระจำเป็นอันใดที่ทำให้คุณนายต้องไปที่ไร่องุ่นเพียงลำพัง? ป้าชื่นยืนครุ่นคิดด้วยความสงสัย เพราะว่าภายหลังจากเสี่ยกำพลผู้เป็นสามีของเริงรตีล้มป่วย ป้าชื่นก็ไม่เคยเห็นเธอไปที่ฟาร์มของพ่อเลี้ยงเดโชเพียงลำพังเลยสักครั้ง… กระทั่งวันนี้
แม้แววตาของป้าชื่นบอกว่าอยากรู้ แต่หล่อนก็ดับความสงสัยของตัวเองด้วยมารยาทอันควรได้ในที่สุด ได้แต่เก็บงำความสงสัยเอาไว้เพียงลำพัง…
ครู่ต่อมา…
รถบีเอ็มดับเบิ้ลยูสีแดงเลือดนกคันหรู ที่มีร่างของเริงรตีเป็นคนขับ ก็เคลื่อนห่างออกไปช้าๆ ทิ้งให้ป้าชื่นทอดสายตามองตามด้วยความฉงน
รถแล่นผ่านทุ่งหญ้าซึ่งกำลังระบัดใบปลิวไสว ล้อเล่นไปกับสายลมทุ่งที่พัดโชยมาเบาๆ
กระทั่งมาถึงกลางฟาร์ม แลเห็นฝูงวัวและม้ายืนเคี้ยวหญ้าอ้อยอิ่งอยู่ไกลๆ โดยไม่รับไม่รู้เลยว่าเธอผู้เป็นเจ้าของฟาร์มแห่งนี้กำลังเผชิญกับบททดสอบของชีวิตที่หนักหนาสาหัส