๓.

2122 คำ
เช้าของอีกวันหลังจากที่ผู้มาใหม่เข้าพักในกระโจมของไกรทอง ทุกอย่างยังคงปกติสุขดีโดยช่วงเช้าไม่มีใครเอาตีนมาก่ายหรือฟาดหน้าใคร คนที่ตื่นก่อนคือชายตัวขาวเจ้าของดวงตาสีปีกกา เนื่องจากว่าตัวเขาเองอาจจะยังไม่คุ้นเคยกับสถานที่และค่อนข้างระวังตัว การนอนจนตะวันแยงตาจึงไม่ใช่เรื่องที่ดีนักสำหรับเขา "ข้าว่าข้าตื่นเช้าแล้วหนา เอ็งตื่นก่อนข้าอีกหรือนี่" หลังจากที่หนุ่มผิวสีสัมผัสไม่ได้ถึงคนที่นอนอยู่ข้างๆ เขาก็ตัดสินใจลุกออกมาจากกระโจมเพื่อไปหาอีกคน นั่นเองจึงได้เห็นว่าตอนนี้คนตัวขาวกำลังถอดพวกของสวมใส่ที่อยู่บนร่างกายตัวเองออก "ทำอะไรน่ะ?" "เครื่องประดับพวกนี้เกะกะ ข้าไม่รู้จะเก็บไว้ทำไม อีกอย่างมีมันติดตัวก็รู้สึกอันตราย เอ็งช่วยเอาไปขายให้ให้ข้าได้หรือไม่" "มันจะดีรึ" "เอ็งอยากโดนลูกหลงพวกโจรที่หวังของพวกนี้จากข้าหรืออย่างไร" "ที่พูดมาก็มีเหตุผล แต่เอ็งไม่กลัวข้าจะขโมยส่วนที่ได้ไว้เองหรือ" "อยากได้เท่าใดก็เอาไปสิ แต่ข้าว่าถ้าเอ็งอยากจะเอาจริงๆ เอ็งเอาไปตั้งแต่ข้านอนแล้ว" ไกรทองถึงกับลอบยิ้มมุมปากให้คำตอบที่ได้รับ อย่างที่คนตัวขาวว่าถ้าหากเขาอยากจะขโมยของพวกนั้นไป ตอนนี้อีกคนคงไม่เห็นเขาอยู่ที่นี่แล้ว อีกอย่างเจ้าตัวคงรู้ว่าของมีค่าพวกนั้นไม่มีประโยชน์หากตัวเองตกอยู่ในสถานะการณ์เช่นนี้ แล้วคนเดียวที่พอจะเป็นคนช่วยเหลืออีกฝ่ายได้ก็มีแค่ไกรทองเท่านั้น "หึ ไม่ต้องกังวลใจไปคนงาม ไกรทองคนนี้เป็นคนดีมาก ประเดี๋ยวข้าจะเอาของพวกนี้ไปขายให้ รอครู่เดียวเท่านั้น" "อื่ม เช่นนั้นระหว่างเอ็งไป ข้าจะอาบน้ำรอตรงน้ำตก " ไกรทองพยักหน้าเป็นอันตกลง ส่วนคนตัวขาวก็เดินไปทางน้ำตกเพื่อชำระร่างกาย อันที่จริงเดิมทีเขาไม่ใช่คนที่จะเชื่อใจใครง่ายๆ แต่ในตอนนี้เขาแทบไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว คนที่รู้จักเพียงคนเดียวในโลกนี้ก็มีแค่ไกรทอง อย่างไรเสียเขาก็ยังคงต้องพึ่งพาคนๆนี้อยู่ ร่างโปร่งเดินไปนั่งริมลำธารซึ่งมีน้ำตกอยู่ใกล้ๆ เขาค่อยๆถอดเครื่องสวมใส่ของตัวเองออกเพื่อชำระร่างกาย ดีหน่อยที่สายน้ำเย็นๆช่วยชโลมจิตใจที่ฟุ้งซ่าน แต่ยามมองผืนน้ำใสมันก็ทำให้เขาอดคิดถึงช่วงเวลาที่โผล่มาที่นี่ไม่ได้เลย ถ้าในตอนนั้นเขาไม่ไปช่วยเด็กที่จมน้ำ ตัวเขาจะมาโผล่ที่นี่ไหมนะ "นี่มัน..อะไร..?" หลังจากปล่อยให้สายน้ำไหลผ่านกายไปสักพัก ดวงตาคู่สวยก็เปลือบไปเห็นช่วงแขนตัวเองที่มีบางอย่างผุดขึ้นมา มันเป็นเหมือนเกล็ดสีเขียวบางอย่างซึ่งขึ้นเป็นหย่อมๆอยู่บนกายเขา และมันไม่ได้มีเพียงช่วงแขน แต่ลามไปยันขาด้วย "นี่กูเป็นเจ้าแม่นาคีหรอวะ" คิดไปก็งงไป พอลองเอามือจับๆดูก็รู้ว่าที่ขึ้นตามตัวเขาไม่ได้ตาฝาด มันคือเกล็ดจริงๆที่เป็นส่วนหนึ่งของผิวหนังของเขา "ดูท่าว่าเจ้าของร่างนี้จะไม่ใช่คนธรรมดาๆซะแล้ว" คนตัวขาวรีบพาตัวเองขึ้นจากน้ำแล้วเช็ดตัวให้แห้ง หากมีใครมาเห็นตัวเขาในตอนนี้เขาคงจะต้องถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวประหลาดแน่ ยิ่งไกรทองคนนั้นมีมนต์คาถา หากมาเห็นเข้าคงไม่วายถูกคนๆนั้นจัดการ "เป็นอย่างไรบ้าง" หลังจากที่กลับมารอไกรทองแถวๆกระโจมได้ระยะหนึ่ง คนที่เข้าหมู่บ้านไปก็กลับมามายังที่พักพร้อมถุงเงินถุงใหญ่พอดี เจ้าของใบหน้าหล่อเหลายังคงมีรอยยิ้มประดับหน้า เขาล้มตัวลงข้างๆคนงามแล้วบอกเล่าสิ่งที่ไปเจอมาในหมู่บ้านให้อีกฝ่ายฟังอย่างอารมณ์ดี "เป็นโชคดีของเรายิ่งนักที่ตอนข้านำของไปขายเจอพ่อค้าจากนอกเมืองพอดี เขารับซื้อของที่เอ็งให้มาในราคาสูงลิ่ว เรียกได้ว่าแพงกว่าราคาตลาดเป็นเท่าตัว" "เป็นโชคดีของเราจริงๆนั่นแล" คนตัวขาวรับถุงเงินจากคนข้างกายมาลองเปิดดู จึงได้พบว่าภายในเต็มไปด้วยเหรียญเงินตราของยุคนี้ ในตอนนั้นเองเขาจึงได้แบ่งส่วนหนึ่งใส่ถุงเล็กๆที่เจอ พร้อมกับมอบให้ไกรทองเอาไว้ "เอามาให้ข้าทำไม?" "ค่าตอบแทนที่ช่วยเหลือข้าไว้มากมาย อย่างน้อยๆก็รับไว้เถอะ" เจ้าของใบหน้างดงามผู้ไม่รู้ว่าเหรียญที่พึ่งได้มาค่อนข้างมีค่า มอบถุงบรรจุเงินให้คนข้างกายได้หน้าคาเฉย ไกรทองถึงกับนิ่งค้างมองคนงามที่มองตนตาแป๋วก่อนจะดันถุงเงินนั้นกลับไป "ใจเย็นๆหนาคนงาม ที่ข้าช่วยเหลือเพราะข้าเต็มใจไม่ได้หวังผลตอบแทน อย่างไรเสียหากเอ็งพบคนรู้จักค่อยให้ข้าก็ยังไม่สาย" "ข้าเกรงว่าจะไม่พบน่ะสิ เช่นนั้นถือว่านี่เป็นมัดจำค่าจ้าง ไว้ข้าพบคนรู้จักจริงๆจะมอบให้อีก" "เอ็งไปได้นิสัยรวยเช่นนี้มาจากไหนกัน?" "นิสัยดั้งเดิมของข้ากระมัง" "ข้าไม่แปลกใจเท่าไหร่ เพราะเอ็งก็ดูเป็นลูกคนมีเงินจริงๆนั่นแล" ไกรทองว่าพลางมองสำรวจคนงามตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนที่เขาเหมือนจะพึ่งคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ "จริงสิข้าลืมไปเลย" "อะไรหรือ?" "ข้ามาเมืองพิจิตรเพราะจะมาทำภารกิจ" คนตัวขาวเอียงคอเป็นเชิงถาม ไกรทองจึงค่อยๆเล่าเรื่องราวของตัวเองให้อีกฝ่ายฟัง แท้จริงแล้วไกรทองคนนี้เป็นชาวนนทบุรี แต่ได้ข่าวมาว่าเศรษฐีเมืองพิจิตรต้องการมือปราบจระเข้ฝีมือดีมาช่วยจัดการจระเข้ แน่นอนว่าเงินรางวัลที่ได้มันล่อตาล่อใจเขามาก อีกทั้งไกรทองคนนี้ก็ค่อนข้างมั่นใจในฝีมือตัวเอง เขาจึงเดินทางมาเพื่อปราบจระเข้เพื่อรับรางวัล "ถึงแม้เศรษฐีนั่นจะเพิ่มลูกสาวอีกคนมาเป็นรางวัล แต่เดิมทีแล้วข้าอยากได้เพียงแค่เงิน.." ระหว่างที่ไกรทองกำลังพูดอยู่ คนฟังตอนนี้นิ่งค้างไปแล้ว ในใจก็เอาแต่คิดว่าสิ่งที่ได้ฟังเป็นเรื่องบังเอิญ ไม่มีทางหรอกที่ตัวเขาเองจะหลุดมาในวรรณคดีซึ่งเคยได้ฟังมาตอนสมัยเรียนอยู่ "จะว่าไปเหมือนข้าเคยได้ยินชื่อของจระเข้ที่ชอบออกอาละวาดแถวนี้มาแว่วๆ" "ชื่อ..ชื่ออะไรหรือ" "ดูเหมือนจะชื่อ ชาละวันน่ะ" นี่มันไม่ใช่เพียงความบังเอิญแล้วแต่มันใช่เลยต่างหาก ตั้งแต่ตัวเอกในวรรณคดีที่ชื่อไกรทองมาทำภารกิจที่เมืองพิจิตร ซ้ำยังเป็นภารกิจของเศรษฐีที่มีลูกสาวและเงินมากมายเป็นรางวัล แต่สิ่งที่ทำให้เขามั่นใจที่สุดว่าได้มาอยู่ในวรรณคดีเรื่องนี้แล้ว คือจระเข้ที่ชื่อชาละวันต่างหาก กระนั้นเขาก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่ว่าตอนนี้ที่ตัวเองอยู่คือโลกแห่งความเป็นจริงซึ่งวรรณคดีเรื่องไกรทองนำมาปรับแต่ง หรือเขาอยู่ในวรรณคดีจริงๆกันแน่ แต่จากที่ไกรทองคนนั้นสามารถใช้คาถาได้ อีกทั้งตอนที่อาบน้ำผิวบางส่วนของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลง เขาก็พอเดาได้แล้วว่าเรื่องเหนือธรรมชาติเช่นนี้คงไม่ใช่โลกแห่งความเป็นจริง แต่มันคือเรื่องราวในวรรณคดี "นี่คนงามเหตุใดจึงนิ่งเงียบเช่นนั้น หรือเอ็งกลัวที่ข้าพูดถึงจระเข้นั่น" "ข้า.." ดวงตาคู่สวยสบมองนัยตาสีรัตติกาลนิ่ง ไกรทองมองคนงามที่ทำหน้าเหมือนหวาดกลัวอะไรสักอย่างด้วยความเอ็นดู ก็เจ้าตัวเล็นทำตัวอย่างกับลูกแมวเจอเสือ จะไม่ให้เขาเอ็นดูยังไงไหว ร่างสูงค่อยๆเอื้อมมือไปลูบหัวคนตัวขาวอย่างอ่อนโยนเป็นการปลอบประโลม ไม่รู้ทำไมร่างกายที่เคยแข็งทื่อกับทุกสิ่งถึงได้ดูอ่อนโยนกับคนตรงหน้านัก แต่ดูจากความน่าทะนุดถนอมของคนตรงหน้าแล้ว คำตอลของคำถามก็ตอบได้ไม่ยาก "แล้วนี่เอ็งจะไปจัดการจระเข้นั่นตอนไหนหรือ" เจ้าของใบหน้างดงามถามอย่างสงสัย ชายร่างสูงจะละมือออกจากอีกฝ่ายแล้วลุกออกไปหาของบางอย่างในกระโจม "คงต้องดูฤกษ์ก่อน" ไกรทองว่าพลางยกกระดานชนวนมานั่งข้างคนงาม ก่อนจะเริ่มขีดเขียนภาษาบางอย่างที่คนยุคปัจจุบันอย่างเขาอ่านไม่ออก ร่างโปร่งนั่งนิ่งไม่พูดไม่จาปล่อยให้คนตัวสูงข้างๆมีสมาธิกับการดูฤกษ์ของเจ้าตัวไป จนกระทั่งไกรทองผละตัวออกมา "ยังไม่ถึงเวลา" "หมายถึง?" "ยังไม่ถึงเวลาตายของเจ้าจระเข้นั่น" "ทำไมถึงมั่นใจขนาดนั้นว่าตัวเองจะจัดการมันได้" "ข้ามีของดีอยู่" พอไกรทองพูดจบเขาก็เดินไปหยิบของบางอย่างออกมาให้คนงามดู มันคือหอกยาวมันวาวท่าทางเข้ามือ นี่เองก็น่าจะเป็นหนึ่งในอาวุธคู่ใจของวไกรทอง "นี่คือหอกสัตตะโลหะ" มันคือหอกปลุกเสกอย่างดีเพื่อนำมาใช้จัดการจระเข้โดยเฉพาะ เนื่องจากสัตว์จำพวกนี้มีเกล็ดที่แข็ง อาวุธธรรมดาๆทำอะไรมันไม่ได้อยู่แล้ว ยิ่งจระเข้ชื่อชาละวันตัวนั้นเป็นจระเข้ที่มีพลังทิพย์สูงส่ง อาวุธที่จะใช้กำราบมันยิ่งต้องเป็นอาวุธวิเศษ "..." คนตัวขาวมองหอกยาวนั่นนิ่งงัน ขนาดว่าตัวเขาเองไม่ใช่ผู้ที่ถูกหอกนั้นแทง แต่แค่ได้เห็นเขาก็รู้สึกหวาดหวั่นกับมันมากแล้ว "ไหนๆก็ไหนๆ ข้าจะประกอบพิธีเพิ่มกำลังให้หอก เท่านี้ไม่ว่าจะขระเข้ตัวไหนก็ต้องมาสยบแทบเท้าข้า" ไกรทองว่าพลางยืดอกอย่างมั่นใจ สหายข้างกายจึงปล่อยให้พ่อหนุ่มผิวเข้มจัดการธุระของตัวเองตามลำพัง "เช่นนั้นเชิญตามสบาย" ไม่ว่าเปล่าเขาก็ถอยเท้าออกไปหลายก้าว ไกรทองจึงได้ตั้งพิธีจุดกองไฟเตรียมหนังสือสวด ภายใต้สายตาสนอกสนใจของคนผิวขาว "นะโมพุทธายะ..." พอไกรทองเริ่มสวดพลันร่างกายของคนที่อยู่นอกพิธีก็เหมือนจะมีบางอย่างแผดเผา ทีแรกเขาก็ยังทนไหวกัดฟันพยายามเดินออกห่าง ทว่ายิ่งไกรทองสวดคาถามากเท่าไหร่ร่างของเขาก็ยิ่งร้อนมากเท่านั้น 'ตุ๊บ!' ร่างโปร่งทรุดตัวลงกับพื้นเนื่องจากทนความเจ็บปวดไม่ไหว กระนั้นเขาก็ไม่ได้ร้องโวยวายแสดงถึงความเจ็บปวดออกมาสักแอะ กระนั้นอาการเท่านี้มันก็พอจะทำให้เขามั่นใจอะไรหลายๆอย่างในตัวเองได้มากขึ้นแล้ว มีอย่างที่ไหนคนปกติจะมาปวดแสบปวดร้อนเพราะคาถาจัดการจระเข้กัน "เอ็งเป็นอันใดหรือไม่ แล้วเหตุใดผิวจึงได้ลอกเหมือนถูกน้ำร้อนลวกเช่นนี้" "ข้า-- อุก!" ยังไม่ทันพูดอะไรเจ้าของใบหน้างดงามก็กระอักเลือดคำโตออกมาเสียแล้ว ดูท่าว่าคาถานั้นของไกรทองคงจะร้ายกาจจริงๆ "อดทนหน่อย ถึงข้าจะไม่รู้ว่าเอ็งเป็นอันใด แต่ประเดี๋ยวข้าจะพยายามช่วยรักษาให้" ยามเห็นร่างโปร่งล้มพับไปใจของเขาก็เหมือนถูกกดทับอย่างแรง คนตัวสูงรีบช้อนอุ้มอีกฝ่ายเข้าไปพัก พยายามมองหาสาเหตุจนเริ่มตะหงิดใจอะไรบางอย่าง ทว่าตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการช่วยเหลือคนตรงหน้าอย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง ฉันจำได้นะว่าลูกฉันไม่ได้ตัวเล็กๆ แต่พ่ออุ้มลูกดิฉันมา2ตอนละนะ ??? *เจอคำผิดแก้ได้นะคะ ไรท์เองอาจจะมีตกหล่นไปบ้างต้องขออภัยด้วย*
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม