เช้าของอีกวันหลังจากที่ผู้มาใหม่เข้าพักในกระโจมของไกรทอง ทุกอย่างยังคงปกติสุขดีโดยช่วงเช้าไม่มีใครเอาตีนมาก่ายหรือฟาดหน้าใคร
คนที่ตื่นก่อนคือชายตัวขาวเจ้าของดวงตาสีปีกกา เนื่องจากว่าตัวเขาเองอาจจะยังไม่คุ้นเคยกับสถานที่และค่อนข้างระวังตัว การนอนจนตะวันแยงตาจึงไม่ใช่เรื่องที่ดีนักสำหรับเขา
"ข้าว่าข้าตื่นเช้าแล้วหนา เอ็งตื่นก่อนข้าอีกหรือนี่"
หลังจากที่หนุ่มผิวสีสัมผัสไม่ได้ถึงคนที่นอนอยู่ข้างๆ เขาก็ตัดสินใจลุกออกมาจากกระโจมเพื่อไปหาอีกคน นั่นเองจึงได้เห็นว่าตอนนี้คนตัวขาวกำลังถอดพวกของสวมใส่ที่อยู่บนร่างกายตัวเองออก
"ทำอะไรน่ะ?"
"เครื่องประดับพวกนี้เกะกะ ข้าไม่รู้จะเก็บไว้ทำไม อีกอย่างมีมันติดตัวก็รู้สึกอันตราย เอ็งช่วยเอาไปขายให้ให้ข้าได้หรือไม่"
"มันจะดีรึ"
"เอ็งอยากโดนลูกหลงพวกโจรที่หวังของพวกนี้จากข้าหรืออย่างไร"
"ที่พูดมาก็มีเหตุผล แต่เอ็งไม่กลัวข้าจะขโมยส่วนที่ได้ไว้เองหรือ"
"อยากได้เท่าใดก็เอาไปสิ แต่ข้าว่าถ้าเอ็งอยากจะเอาจริงๆ เอ็งเอาไปตั้งแต่ข้านอนแล้ว"
ไกรทองถึงกับลอบยิ้มมุมปากให้คำตอบที่ได้รับ อย่างที่คนตัวขาวว่าถ้าหากเขาอยากจะขโมยของพวกนั้นไป ตอนนี้อีกคนคงไม่เห็นเขาอยู่ที่นี่แล้ว
อีกอย่างเจ้าตัวคงรู้ว่าของมีค่าพวกนั้นไม่มีประโยชน์หากตัวเองตกอยู่ในสถานะการณ์เช่นนี้ แล้วคนเดียวที่พอจะเป็นคนช่วยเหลืออีกฝ่ายได้ก็มีแค่ไกรทองเท่านั้น
"หึ ไม่ต้องกังวลใจไปคนงาม ไกรทองคนนี้เป็นคนดีมาก ประเดี๋ยวข้าจะเอาของพวกนี้ไปขายให้ รอครู่เดียวเท่านั้น"
"อื่ม เช่นนั้นระหว่างเอ็งไป ข้าจะอาบน้ำรอตรงน้ำตก "
ไกรทองพยักหน้าเป็นอันตกลง ส่วนคนตัวขาวก็เดินไปทางน้ำตกเพื่อชำระร่างกาย อันที่จริงเดิมทีเขาไม่ใช่คนที่จะเชื่อใจใครง่ายๆ แต่ในตอนนี้เขาแทบไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว
คนที่รู้จักเพียงคนเดียวในโลกนี้ก็มีแค่ไกรทอง อย่างไรเสียเขาก็ยังคงต้องพึ่งพาคนๆนี้อยู่
ร่างโปร่งเดินไปนั่งริมลำธารซึ่งมีน้ำตกอยู่ใกล้ๆ เขาค่อยๆถอดเครื่องสวมใส่ของตัวเองออกเพื่อชำระร่างกาย
ดีหน่อยที่สายน้ำเย็นๆช่วยชโลมจิตใจที่ฟุ้งซ่าน แต่ยามมองผืนน้ำใสมันก็ทำให้เขาอดคิดถึงช่วงเวลาที่โผล่มาที่นี่ไม่ได้เลย
ถ้าในตอนนั้นเขาไม่ไปช่วยเด็กที่จมน้ำ ตัวเขาจะมาโผล่ที่นี่ไหมนะ
"นี่มัน..อะไร..?"
หลังจากปล่อยให้สายน้ำไหลผ่านกายไปสักพัก ดวงตาคู่สวยก็เปลือบไปเห็นช่วงแขนตัวเองที่มีบางอย่างผุดขึ้นมา
มันเป็นเหมือนเกล็ดสีเขียวบางอย่างซึ่งขึ้นเป็นหย่อมๆอยู่บนกายเขา และมันไม่ได้มีเพียงช่วงแขน แต่ลามไปยันขาด้วย
"นี่กูเป็นเจ้าแม่นาคีหรอวะ"
คิดไปก็งงไป พอลองเอามือจับๆดูก็รู้ว่าที่ขึ้นตามตัวเขาไม่ได้ตาฝาด มันคือเกล็ดจริงๆที่เป็นส่วนหนึ่งของผิวหนังของเขา
"ดูท่าว่าเจ้าของร่างนี้จะไม่ใช่คนธรรมดาๆซะแล้ว"
คนตัวขาวรีบพาตัวเองขึ้นจากน้ำแล้วเช็ดตัวให้แห้ง หากมีใครมาเห็นตัวเขาในตอนนี้เขาคงจะต้องถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวประหลาดแน่ ยิ่งไกรทองคนนั้นมีมนต์คาถา หากมาเห็นเข้าคงไม่วายถูกคนๆนั้นจัดการ
"เป็นอย่างไรบ้าง"
หลังจากที่กลับมารอไกรทองแถวๆกระโจมได้ระยะหนึ่ง คนที่เข้าหมู่บ้านไปก็กลับมามายังที่พักพร้อมถุงเงินถุงใหญ่พอดี
เจ้าของใบหน้าหล่อเหลายังคงมีรอยยิ้มประดับหน้า เขาล้มตัวลงข้างๆคนงามแล้วบอกเล่าสิ่งที่ไปเจอมาในหมู่บ้านให้อีกฝ่ายฟังอย่างอารมณ์ดี
"เป็นโชคดีของเรายิ่งนักที่ตอนข้านำของไปขายเจอพ่อค้าจากนอกเมืองพอดี เขารับซื้อของที่เอ็งให้มาในราคาสูงลิ่ว เรียกได้ว่าแพงกว่าราคาตลาดเป็นเท่าตัว"
"เป็นโชคดีของเราจริงๆนั่นแล"
คนตัวขาวรับถุงเงินจากคนข้างกายมาลองเปิดดู จึงได้พบว่าภายในเต็มไปด้วยเหรียญเงินตราของยุคนี้ ในตอนนั้นเองเขาจึงได้แบ่งส่วนหนึ่งใส่ถุงเล็กๆที่เจอ พร้อมกับมอบให้ไกรทองเอาไว้
"เอามาให้ข้าทำไม?"
"ค่าตอบแทนที่ช่วยเหลือข้าไว้มากมาย อย่างน้อยๆก็รับไว้เถอะ"
เจ้าของใบหน้างดงามผู้ไม่รู้ว่าเหรียญที่พึ่งได้มาค่อนข้างมีค่า มอบถุงบรรจุเงินให้คนข้างกายได้หน้าคาเฉย ไกรทองถึงกับนิ่งค้างมองคนงามที่มองตนตาแป๋วก่อนจะดันถุงเงินนั้นกลับไป
"ใจเย็นๆหนาคนงาม ที่ข้าช่วยเหลือเพราะข้าเต็มใจไม่ได้หวังผลตอบแทน อย่างไรเสียหากเอ็งพบคนรู้จักค่อยให้ข้าก็ยังไม่สาย"
"ข้าเกรงว่าจะไม่พบน่ะสิ เช่นนั้นถือว่านี่เป็นมัดจำค่าจ้าง ไว้ข้าพบคนรู้จักจริงๆจะมอบให้อีก"
"เอ็งไปได้นิสัยรวยเช่นนี้มาจากไหนกัน?"
"นิสัยดั้งเดิมของข้ากระมัง"
"ข้าไม่แปลกใจเท่าไหร่ เพราะเอ็งก็ดูเป็นลูกคนมีเงินจริงๆนั่นแล"
ไกรทองว่าพลางมองสำรวจคนงามตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนที่เขาเหมือนจะพึ่งคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
"จริงสิข้าลืมไปเลย"
"อะไรหรือ?"
"ข้ามาเมืองพิจิตรเพราะจะมาทำภารกิจ"
คนตัวขาวเอียงคอเป็นเชิงถาม ไกรทองจึงค่อยๆเล่าเรื่องราวของตัวเองให้อีกฝ่ายฟัง
แท้จริงแล้วไกรทองคนนี้เป็นชาวนนทบุรี แต่ได้ข่าวมาว่าเศรษฐีเมืองพิจิตรต้องการมือปราบจระเข้ฝีมือดีมาช่วยจัดการจระเข้
แน่นอนว่าเงินรางวัลที่ได้มันล่อตาล่อใจเขามาก อีกทั้งไกรทองคนนี้ก็ค่อนข้างมั่นใจในฝีมือตัวเอง เขาจึงเดินทางมาเพื่อปราบจระเข้เพื่อรับรางวัล
"ถึงแม้เศรษฐีนั่นจะเพิ่มลูกสาวอีกคนมาเป็นรางวัล แต่เดิมทีแล้วข้าอยากได้เพียงแค่เงิน.."
ระหว่างที่ไกรทองกำลังพูดอยู่ คนฟังตอนนี้นิ่งค้างไปแล้ว ในใจก็เอาแต่คิดว่าสิ่งที่ได้ฟังเป็นเรื่องบังเอิญ ไม่มีทางหรอกที่ตัวเขาเองจะหลุดมาในวรรณคดีซึ่งเคยได้ฟังมาตอนสมัยเรียนอยู่
"จะว่าไปเหมือนข้าเคยได้ยินชื่อของจระเข้ที่ชอบออกอาละวาดแถวนี้มาแว่วๆ"
"ชื่อ..ชื่ออะไรหรือ"
"ดูเหมือนจะชื่อ ชาละวันน่ะ"
นี่มันไม่ใช่เพียงความบังเอิญแล้วแต่มันใช่เลยต่างหาก ตั้งแต่ตัวเอกในวรรณคดีที่ชื่อไกรทองมาทำภารกิจที่เมืองพิจิตร
ซ้ำยังเป็นภารกิจของเศรษฐีที่มีลูกสาวและเงินมากมายเป็นรางวัล แต่สิ่งที่ทำให้เขามั่นใจที่สุดว่าได้มาอยู่ในวรรณคดีเรื่องนี้แล้ว คือจระเข้ที่ชื่อชาละวันต่างหาก
กระนั้นเขาก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่ว่าตอนนี้ที่ตัวเองอยู่คือโลกแห่งความเป็นจริงซึ่งวรรณคดีเรื่องไกรทองนำมาปรับแต่ง หรือเขาอยู่ในวรรณคดีจริงๆกันแน่
แต่จากที่ไกรทองคนนั้นสามารถใช้คาถาได้ อีกทั้งตอนที่อาบน้ำผิวบางส่วนของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลง เขาก็พอเดาได้แล้วว่าเรื่องเหนือธรรมชาติเช่นนี้คงไม่ใช่โลกแห่งความเป็นจริง
แต่มันคือเรื่องราวในวรรณคดี
"นี่คนงามเหตุใดจึงนิ่งเงียบเช่นนั้น หรือเอ็งกลัวที่ข้าพูดถึงจระเข้นั่น"
"ข้า.."
ดวงตาคู่สวยสบมองนัยตาสีรัตติกาลนิ่ง ไกรทองมองคนงามที่ทำหน้าเหมือนหวาดกลัวอะไรสักอย่างด้วยความเอ็นดู
ก็เจ้าตัวเล็นทำตัวอย่างกับลูกแมวเจอเสือ จะไม่ให้เขาเอ็นดูยังไงไหว
ร่างสูงค่อยๆเอื้อมมือไปลูบหัวคนตัวขาวอย่างอ่อนโยนเป็นการปลอบประโลม ไม่รู้ทำไมร่างกายที่เคยแข็งทื่อกับทุกสิ่งถึงได้ดูอ่อนโยนกับคนตรงหน้านัก
แต่ดูจากความน่าทะนุดถนอมของคนตรงหน้าแล้ว คำตอลของคำถามก็ตอบได้ไม่ยาก
"แล้วนี่เอ็งจะไปจัดการจระเข้นั่นตอนไหนหรือ"
เจ้าของใบหน้างดงามถามอย่างสงสัย ชายร่างสูงจะละมือออกจากอีกฝ่ายแล้วลุกออกไปหาของบางอย่างในกระโจม
"คงต้องดูฤกษ์ก่อน"
ไกรทองว่าพลางยกกระดานชนวนมานั่งข้างคนงาม ก่อนจะเริ่มขีดเขียนภาษาบางอย่างที่คนยุคปัจจุบันอย่างเขาอ่านไม่ออก
ร่างโปร่งนั่งนิ่งไม่พูดไม่จาปล่อยให้คนตัวสูงข้างๆมีสมาธิกับการดูฤกษ์ของเจ้าตัวไป จนกระทั่งไกรทองผละตัวออกมา
"ยังไม่ถึงเวลา"
"หมายถึง?"
"ยังไม่ถึงเวลาตายของเจ้าจระเข้นั่น"
"ทำไมถึงมั่นใจขนาดนั้นว่าตัวเองจะจัดการมันได้"
"ข้ามีของดีอยู่"
พอไกรทองพูดจบเขาก็เดินไปหยิบของบางอย่างออกมาให้คนงามดู มันคือหอกยาวมันวาวท่าทางเข้ามือ นี่เองก็น่าจะเป็นหนึ่งในอาวุธคู่ใจของวไกรทอง
"นี่คือหอกสัตตะโลหะ"
มันคือหอกปลุกเสกอย่างดีเพื่อนำมาใช้จัดการจระเข้โดยเฉพาะ เนื่องจากสัตว์จำพวกนี้มีเกล็ดที่แข็ง อาวุธธรรมดาๆทำอะไรมันไม่ได้อยู่แล้ว
ยิ่งจระเข้ชื่อชาละวันตัวนั้นเป็นจระเข้ที่มีพลังทิพย์สูงส่ง อาวุธที่จะใช้กำราบมันยิ่งต้องเป็นอาวุธวิเศษ
"..."
คนตัวขาวมองหอกยาวนั่นนิ่งงัน ขนาดว่าตัวเขาเองไม่ใช่ผู้ที่ถูกหอกนั้นแทง แต่แค่ได้เห็นเขาก็รู้สึกหวาดหวั่นกับมันมากแล้ว
"ไหนๆก็ไหนๆ ข้าจะประกอบพิธีเพิ่มกำลังให้หอก เท่านี้ไม่ว่าจะขระเข้ตัวไหนก็ต้องมาสยบแทบเท้าข้า"
ไกรทองว่าพลางยืดอกอย่างมั่นใจ สหายข้างกายจึงปล่อยให้พ่อหนุ่มผิวเข้มจัดการธุระของตัวเองตามลำพัง
"เช่นนั้นเชิญตามสบาย"
ไม่ว่าเปล่าเขาก็ถอยเท้าออกไปหลายก้าว ไกรทองจึงได้ตั้งพิธีจุดกองไฟเตรียมหนังสือสวด ภายใต้สายตาสนอกสนใจของคนผิวขาว
"นะโมพุทธายะ..."
พอไกรทองเริ่มสวดพลันร่างกายของคนที่อยู่นอกพิธีก็เหมือนจะมีบางอย่างแผดเผา ทีแรกเขาก็ยังทนไหวกัดฟันพยายามเดินออกห่าง
ทว่ายิ่งไกรทองสวดคาถามากเท่าไหร่ร่างของเขาก็ยิ่งร้อนมากเท่านั้น
'ตุ๊บ!'
ร่างโปร่งทรุดตัวลงกับพื้นเนื่องจากทนความเจ็บปวดไม่ไหว กระนั้นเขาก็ไม่ได้ร้องโวยวายแสดงถึงความเจ็บปวดออกมาสักแอะ
กระนั้นอาการเท่านี้มันก็พอจะทำให้เขามั่นใจอะไรหลายๆอย่างในตัวเองได้มากขึ้นแล้ว มีอย่างที่ไหนคนปกติจะมาปวดแสบปวดร้อนเพราะคาถาจัดการจระเข้กัน
"เอ็งเป็นอันใดหรือไม่ แล้วเหตุใดผิวจึงได้ลอกเหมือนถูกน้ำร้อนลวกเช่นนี้"
"ข้า-- อุก!"
ยังไม่ทันพูดอะไรเจ้าของใบหน้างดงามก็กระอักเลือดคำโตออกมาเสียแล้ว ดูท่าว่าคาถานั้นของไกรทองคงจะร้ายกาจจริงๆ
"อดทนหน่อย ถึงข้าจะไม่รู้ว่าเอ็งเป็นอันใด แต่ประเดี๋ยวข้าจะพยายามช่วยรักษาให้"
ยามเห็นร่างโปร่งล้มพับไปใจของเขาก็เหมือนถูกกดทับอย่างแรง คนตัวสูงรีบช้อนอุ้มอีกฝ่ายเข้าไปพัก พยายามมองหาสาเหตุจนเริ่มตะหงิดใจอะไรบางอย่าง
ทว่าตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการช่วยเหลือคนตรงหน้าอย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง
ฉันจำได้นะว่าลูกฉันไม่ได้ตัวเล็กๆ
แต่พ่ออุ้มลูกดิฉันมา2ตอนละนะ
???
*เจอคำผิดแก้ได้นะคะ ไรท์เองอาจจะมีตกหล่นไปบ้างต้องขออภัยด้วย*