ตอนที่10 เข้าถ้ำเสือ
2ชั่วโมงก่อนหน้า
"พราว นั่นหนูจะไปไหน"
ภรรยาของพ่อมองฉันด้วยน้ำตาเอ่อคลอ ฉันสะบัดหน้าหนีไปอีกทางเพราะไม่อยากจะเห็นหน้าของเธอ มือที่กระชับสายสะพายกระเป๋าเป้บีบแน่นพร้อมกับก้าวเท้าลงบันได
"พราว... พราวไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว" ทั้งที่พยายามบังคับควบคุมตัวเองดีแล้ว ทว่าเสียงที่ฉันเปล่งออกไปยังแฝงเอาไว้ด้วยความสั่นเครือ
"พราว ลูก ฟังแม่ก่อน" ฉันจงใจเอี้ยวตัวหลบมือของเขาที่เอื้อมมาคว้าแขนของฉัน
"พราวไม่มีอะไรจะคุยกับแม่ ตอนนี้พราวไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น สิ่งที่แม่ทำมันเลวร้ายมากสำหรับพราว สำหรับพ่อ" หยาดน้ำตาแห่งความผิดหวังเสียใจของฉัน พรั่งพรูลงมานองหน้าอีกครั้งจนทำให้ดวงตาของฉันพร่ามัวไปหมด พร่ามัวไม่ต่างจากอนาคตข้างหน้า
"พราว แม่ขอโทษ แม่รู้ว่าแม่ทำผิด แต่หนูจะออกไปไหนมืดค่ำแบบนี้"
"พราวไม่รู้ แต่พราวไม่อยากอยู่บ้านหลังนี้อีกแล้ว ไม่อยากเห็นหน้าแม่อีก และถ้าแม่ไม่ยอมปล่อยให้พราวไป พราวจะบอกเรื่องนี้กับพ่อ"
ฉันวิ่งออกมาจากบ้านทันทีที่พูดจบ ไม่แยเเสเสียงร้องไห้โฮจากเบื้องหลัง พอออกมาถึงหน้าปากซอยฉันโบกรถแท็กซี่และขึ้นไปนั่ง ในหัวมันมีแต่เรื่องราวมากมายวนเวียนตีกันยุ่งเหยิงเต็มไปหมด ภาพของแม่ที่กำลังมีเพศสัมพันธ์กับชายแปลกหน้า ภาพใบหน้าของพ่อและรอยยิ้มของพ่อที่ลอยแทรกเข้ามา เรื่องราวแห่งความทรงจำเมื่อครั้งวันวานอันแสนสุขเกี่ยวกับครอบครัวของเรา ตัดไปที่ภาพพ่อกับแม่ทะเลาะกัน ภาพของเพื่อนๆ ที่โรงเรียนจับกลุ่มซุบซิบนินทาฉันเมื่อพวกเขารู้ว่าครอบครัวของฉันแตกแยกเพราะแม่ของฉันมีชู้ แม่ของฉันเป็นผู้หญิงไม่ดีนอกใจพ่อของฉัน เรื่องราวอัปยศนี้เพื่อนๆ ของฉันคนใดคนหนึ่งจะรู้ไม่ได้เป็นอันขาด แม้แต่ตาต้าก็เถอะ ฉันไม่แน่ใจสักนิดว่าตาต้าจะเก็บความลับอันเจ็บปวดรวดร้าวของฉันเอาไว้ได้
แม้แต่แนนซึ่งเหมือนจะสนิทกับตาต้าไม่แพ้ฉัน ตาต้ายังนินทาแนนซี่ให้ฟังอยู่บ่อยๆ คนพวกนี้แข่งขันกับแทบทุกอย่างทั้งในเรื่องข้าวของเครื่องใช้แบรนด์แนม การเรียน หรือแม้นแต่เรื่องผู้ชาย
หูฉันแว่วได้ยินเสียงโชว์เฟอร์แท็กซี่ชวนคุยในเรื่องที่เขาอยากพูด แต่มันไม่ได้ซึมเข้าหัวของฉันเท่าไหร่ เอาจริงๆ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปที่ไหน ฉันคิดเพียงแค่อยากไปให้พ้นๆ จากแม่ จากบ้านหลังนั้น ฉันบอกแท็กซี่ซึ่งเป็นคุณลุงแก่ๆ ให้ไปส่งฉันที่สถานีขนส่ง บางทีพอถึงที่นั่นฉันอาจคิดได้ว่าต้องไปไหนต่อ
แต่แล้วใบหน้าของผู้ชายคนหนึ่งก็ลอยเข้ามาในหัว
พี่แดนสรวง!!
ลูกชายของเพื่อนสนิทพ่อของฉัน แม้ว่าเราจะเจอกันแค่ครั้งเดียวแบบตัวเป็นๆ แต่ฉันก็ได้พูดคุยกับพี่เค้าหลายครั้งในโลกของโซเชียล และเราก็สนิทกันระดับหนึ่งในความรู้สึกของฉัน ด้วยความที่พี่เค้าเป็นผู้ชายหน้าตาดีดูอบอุ่น แน่นอนว่ามันทำให้ฉันรู้สึกพิเศษต่อพี่เค้าบ้าง จนกลายเป็นความผูกพันขึ้นมา
"ค่าโดยสาร256บาทครับ" เสียงลุงแท็กซี่หันมาบอกฉันเมื่อรถจอสนิท ฉันหยิบเงินให้ไปสามร้อยบาทแล้วก้าวลงจากรถโดยไม่ได้รอรับเงินทอน คว้าโทรศัพท์ขึ้นมาและตัดสินใจกดไปหาเบอร์ของพี่แดนที่ฉันเมมเอาไว้แต่ไม่เคยโทร.ไปหาพี่เค้าเลยสักครั้งเดียว ฉันตื่นเต้นมากตอนที่คุยกับพี่แดน พี่เค้าทำเสียงประหลาดใจเมื่อรับโทรศัพท์จากฉัน ฉันไม่แน่ใจเหมือนกันว่าพี่เค้าจะยอมช่วยหรือเปล่า แต่อย่างที่บอกในตอนต้นว่าตัวเลือกของฉันไม่มีเท่าไหร่นัก
แต่แล้วก็เหมือนสวรรค์ยังเมตตาอยู่บ้างเมื่อพี่แดนจะมาหาฉันหลังจากเราสองคนได้คุยกัน
ผู้คนที่นี่เดินกับขวักไขว่ ดูวุ่นวาย เต็มไปด้วยคนแปลกหน้าที่ไม่อาจคาดเดาความร้ายดีได้จากใบหน้าและการแต่งตัว ฉันนั่งอยู่ไม่กี่นาทีก็มีเสียงคนทะเลาะกันเสียงดัง พวกเขาด่าทอกันด้วยถ้อยคำหยาบคายบันดาลโทสะขึ้นขั้นลงไม้ลงมือกันฉันนั่งกอดกระเป๋าเป้แน่นตัวสั่นด้วยความกลัว ผ่านไปสักครู่ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาระงับเหตุ ทำไมโลกภายนอกมันดูป่าเถื่อนโหดร้ายเหลือเกิน ฉันคิดภาวนาให้พี่แดนรีบมาหาฉันไวไว อย่างน้อยเขาก็น่าจะเป็นคนดีเป็นที่พึ่งของฉันได้ในเวลาแบบนี้
"น้องพราวครับ" เสียงทุ้มดังขึ้นจากด้านหลัง
"พี่แดน...." ฉันลุกพรวดขึ้น พุ่งตัวเข้าไปซบอกของพี่เค้าที่ยืนนิ่งเหมือนจะงงงงกับการกระทำของฉัน ฉันเหมือนคนไร้ที่พึ่งและเขาเปรียบเสมือนกับที่พักพิงในยามนี้ น้ำหูน้ำตาของฉันไหลรินออกมาอีกครั้ง
"น้องพราวใจเย็นๆ ก่อนนะครับ มีอะไรไปคุยกันในรถพี่นะครับ ตรงนี้คนมองกันใหญ่แล้ว" มือใหญ่ประคองไหล่ของฉันเดินผ่านผู้คนมากหน้าหลายตา ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ฉันรู้สึกลอยๆ สมองไม่ค่อยรับรู้อะไรพอรู้ตัวอีกทีฉันก็นั่งอยู่ในรถของพี่เค้าแล้ว
รถยนต์เคลื่อนตัวออกใบหน้าของฉันฟุบอยู่กับกระจกด้านข้าง แสงไฟถนนยามรถแล่นผ่านเป็นสายสีส้มอมแดงวิ่งเป็นเส้นสายลายริ้ว ในห้องโดยสารเงียบกริบเหมือนพี่แดนต้องการให้ฉันอยู่กับความคิดตัวเองตามลำพัง เขาไม่เซ้าซี้ซักถามโน้นนี้ได้แต่ขับรถไปเรื่อยๆ ซึ่งฉันเองก็ไม่รู้จุดหมายปลายทาง
เวลาผ่านไปไม่รู้เท่าไหร่พี่แดนก็จอดรถ พวกเราอยู่บนสะพานแห่งหนึ่ง
"ลงมาก่อนสิครับพราว วิวสวยๆ อากาศดีดีบนนี้อาจทำให้พราวรู้สึกดีขึ้น" พี่แดนสรวงส่งยิ้มอบอุ่นให้ฉัน ก่อนจะเอื้อมมือมาช่วยพยุงให้ฉันลุกออกจากรถ ภายนอกเต็มไปด้วยแสงสีส้มจากไฟถนน ทุกอย่างดูเป็นสีส้มไปหมด
"พราวทำให้พี่แดนลำบากเหรอเปล่าคะ"
"ไม่หรอกครับ เรื่องเล็กน้อยเอง ไปพักที่คอนโดของพี่สักวันสองวันก่อนก็ได้แล้วค่อยๆ คิดกันไปว่าจะเอาไงต่อ โอเคมั้ย"
"ขอบคุณนะคะ" ฉันยกมือขึ้นไหว้พี่เค้า
"พี่บอกแล้วไงครับว่าไม่เป็นไร" มือใหญ่ที่วางลงบนหัวของฉันสร้างความรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด
"พี่แดนจะไม่ถามสักคำเหรอคะว่าเกิดอะไรขึ้นกับพราว"
"เอาไว้พราวพร้อมจะเล่าให้พี่ฟังเมื่อไหร่ ค่อยเล่าก็ได้ครับ พี่เคยเป็นวัยรุ่นแบบพราวมาก่อนพี่เข้าใจดีว่าบางครั้งโลกใบนี้มันก็ไม่ได้น่าอยู่นักหรอก แต่ในอีกมุมหนึ่งมันก็มีเรื่องราวอะไรสนุกๆ และสวยงามอีกเยอะ เหนื่อยก็พักแล้วพรุ่งนี้ค่อยลุยต่อ" เราสองคนมองสบตากัน ดวงตาดำใหญ่คู่นั้นทำให้หัวใจฉันสั่นเต้นระทึกด้วยจังหวะประหลาดๆ
เสียงโทรศัพท์ของฉันดังขึ้น...
เมื่อฉันยกมันขึ้นดูจนเห็นว่าเป็นเบอร์ของตาต้า จริงสิ! ถึงเวลานัดของเราแล้ว คืนนี้มีงานปาร์ตี้วันคล้ายวันเกิดของแนนซี่ ฉันจงใจที่จะไม่รับสายของหล่อน
"ทำไมไม่รับละครับ" พี่แดนสรวงมองหน้าฉัน "เผื่อว่าเขามีธุระสำคัญ"
"เพื่อนของพราวน่ะค่ะ" ฉันเงยหน้าขึ้นมองสบตาพี่แดน เค้าเลิกคิ้วเข้มขึ้น "อันที่จริงคืนนี้เรานัดกันไปงานวันเกิดเพื่อนคนหนึ่ง แต่ตอนนี้พราวลงไปไม่ได้แล้ว" มีลมพัดเข้ามาฉันปัดปอยผมที่ปรกหน้าปรกหน้าออก
"มันขึ้นอยู่กับพราวว่าอยากไปเหรอเปล่า"
"พี่แดนหมายความว่า..."
"ราตรีนี้ยังอีกยาวไกล ขึ้นรถกันเถอะเดี๋ยวพี่พาไปเอง"
ฉันไม่รู้ว่าควรปฏิเสธหรือตอบรับคำชวนของพี่เค้าดี แต่ที่รู้ก็คือฉันควรหาอะไรทำสักอย่างเพื่อให้ลืมเรื่องราวที่บ้านของฉัน และที่อยากรู้อีกอย่างก็คือตาต้าและเพื่อนๆ ในงานจะทำหน้ากันอย่างไงเมื่อเห็นฉันควงหนุ่มหล่อเข้าไปในปาร์ตี้
ฉันกดโทรศัพท์กลับไปหาตาต้า...
แต่อีกเดี๋ยวก็คงได้รู้!!!