ระหว่างเดินทางจากเมืองฉือหลิงไปเมืองหน้าด่านของแคว้นต้าฉีที่อยู่ห่างไปประมาณห้าสิบลี้* เซี่ยอีอิ่งและลู่จื่อพยายามหาทางหลบหนีแต่ก็ไม่ได้โอกาส การเดินทางยาวนานกินเวลาถึงห้าชั่วยาม**แต่ก็ยังไม่ถึงจุดหมายเสียที พวกทหารเร่งให้พวกเชลยเดินทาง มีทั้งคนเจ็บและล้มตายไปจำนวนไม่น้อย ส่วนใหญ่จะเป็นคนแก่และคนที่มีโรคประจำตัว
“องค์หญิง จะทำอย่างไรต่อไปดีเพคะ” ลู่จื่อแอบกระซิบถามผู้เป็นเจ้านาย ช่วงนี้กองทัพใหญ่ได้หยุดพักผ่อนเพื่อเอาแรงจึงทำให้พวกเชลยได้หยุดพักเหนื่อยไปด้วย “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน” ด้วยความที่เซี่ยอีอิ่งไม่เคยตกระกำลำบากมาก่อนแล้วอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าก็ดูเหมือนว่าจะ
หมายเหตุ *ลี้ หน่วยวัดของจีนโบราณ 1 ลี้ = 500 เมตร
** 1 ชั่วยาม = 2 ชั่วโมง
ระบมมากยิ่งขึ้น แม้กระทั่งน้ำสักหยดก็ยังไม่ได้ดื่ม นางกำนัลเห็นอาการขององค์หญิงไม่ค่อยดีนักเลยรีบไปเรียกให้พวกทหารไปหาคนมารักษาอาการแต่ก็ถูกรังแกกลับมา
“เป็นพวกเชลยมีสิทธิ์อะไรมาสั่งให้ข้าพาหมอมารักษาอาการคุณหนูเจ้า” ทหารนายนี้ไม่รู้เรื่องที่องค์หญิงฮวาเป๋ยถูกหวังอ๋องหมายตา
“เจ้าต้องการเงินเท่าไร คุณหนูข้าจ่ายให้ได้หมด ขอเพียงเจ้าช่วยหาคนมารักษาอาการข้อเท้าแพลงของนางก่อน” ลู่จื่อพยายามต่อรอง ตอนหนีออกมาจากเมืองฉือหลิงทุกอย่างกะทันหันมากเกินไปเลยหยิบฉวยสมบัติมีค่ามาไม่มากนัก
“ข้ามีเพียงกำไลหยก เจ้าเอาไปก่อนเถิด” ลู่จื่อยอมสละกำไลที่หวงแหนที่สุดเพื่อขอร้องทหารนายนั้น
“ข้าเป็นบุรุษจะเอากำไลไปทำไมกัน ถ้าเปลี่ยนจากกำไลเป็นเจ้านอนกับข้าสักครั้งแทน...” ทหารนายนั้นพูดและมองลู่จื่อด้วยสายตากะลิ้มกะเหลี่ย เซี่ยอีอิ่งเห็นว่าบ่าวของตนหายไปนานจึงฝืนลุกขึ้นยืนหลังจากที่มียายแก่คนหนึ่งใจดีตักน้ำมาเผื่อนาง แล้วค่อย ๆ เดินกะเผลกออกตามหาจนมาพบว่าลู่จื่อกำลังถูกฉุดกระชากไปที่ป่าข้างทาง
“นี่เจ้า หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” ด้วยความกล้าหาญ เซี่ยอีอิ่งหยิบก้อนหินที่หาได้ในเวลานั้นขึ้นมาแล้วปาใส่หัวของทหารนายนั้น
“คุณหนู!” ลู่จื่อรีบสะบัดมือชายหยาบโลนนั่นทิ้งแล้วรีบวิ่งมาหาองค์หญิงทันที
“บังอาจนัก!” เมื่อทหารนายนั้นหันหน้ามาตวาดเซี่ยอีอิ่งก็ต้องตกใจจนหน้าถอดสีรีบวิ่งมาคุกเข่าตรงหน้า ทำให้สตรีทำหน้างุนงงทันที รังสีดำทะมึนแผ่กระจายไปทั่วทุกทิศทาง ทหารทุกนายที่อยู่ในสถานที่แห่งนั้นกลัวจนหัวหดเมื่อร่างสูงใหญ่ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของโฉมสะคราญ
“ท่านแม่ทัพใหญ่ขอรับ!” เคอเคอนั่งคุกเข่าตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด ทหารในกองทัพล้วนรู้ดีว่าหวังอ๋องไม่ชอบให้ใครก็ตามในสถานที่แห่งนี้เรียกเขาว่าท่านอ๋อง ยกเว้นนายทหารและองครักษ์ส่วนพระองค์เท่านั้น แล้วเซี่ยอีอิ่งก็รู้สึกว่าตัวเบาเมื่ออยู่ ๆ ทั้งร่างของนางก็ถูกรวบเอวคอดกิ่วขึ้นในท่าที่ถูกจับหิ้ว
“ปล่อยข้านะ ปล่อยเดี๋ยวนี้!” และเป็นครั้งแรกที่มีคนตวาดใส่หวังหย่วนเหอที่มีตำแหน่งเป็นถึงชินอ๋อง ทหารทุกนายคิดว่าชีวิตของสตรีผู้นี้คงไม่รอดพ้นเงื้อมมือมัจจุราชแล้ว แต่พวกเขาก็คิดผิดเมื่อหวังอ๋องไม่เพียงจะไม่ห้ามปรามนาง ยังใช้เท้าถีบไปที่บ่าของทหารนายนั้นที่คิดจะข่มขืนลู่จื่อผู้ซึ่งเป็นนางกำนัลส่วนพระองค์ขององค์หญิงแห่งฮวาเป๋ยอีกด้วยราวกับจะระบายอารมณ์หงุดหงิดที่ตื่นบรรทมมาแล้วไม่เห็นคนพาอีอีไปพบเขาที่รถม้า
“ใครที่มีหน้าที่ดูแลเชลยศึก ออกมาเดี๋ยวนี้!” และแล้วก็ถึงคราวที่ต้องมีผู้รับเคราะห์ เคอเคอที่ถูกถีบจนกลิ้งไปไกลรีบลุกขึ้นมาแล้วยกมือขึ้น สีหน้าพยายามอ้อนวอนร้องขอชีวิต
“ท่านแม่ทัพใหญ่ โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยขอรับ” แต่ยังไม่ทันได้พูดมากความ กระบี่ที่องครักษ์ยื่นมาให้ท่านอ๋องก็ถูกเขวี้ยงไปปักที่หน้าอกของคนดูแลเชลยศึกทันที ท่ามกลางความเงียบไม่มีทหารนายใดกล้าร้องออกมาสักเพียงครึ่งคำ แต่สำหรับองค์หญิงฮวาเป๋ยนั้นไม่ใช่ ยามนี้นางไม่อยากปกปิดฐานะของตัวเองอีกต่อไปแล้ว
“รีบปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้นะ เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร!” น้ำเสียงที่แสดงออกอย่างมีอำนาจนั้นทำให้คนที่กำลังอารมณ์ไม่ดีแสยะยิ้มเย็นขึ้นร่างสูงรีบเปลี่ยนท่าทางจากที่หิ้วสตรีในท่าหิ้วตะกร้ามาเป็นอุ้มแบบที่อุ้มเด็กน้อยแทน ด้วยความที่กลัวว่าตัวเองจะตกลงไป เซี่ยอีอิ่งจึงรีบใช้สองแขนกอดรอบคอของบุรุษองอาจเอาไว้ ใบหน้าของหวังอ๋องในยามนี้ไม่มีคราบเลือดดูน่ากลัวอีกต่อไป เขาแต่งกายในชุดผ้าไหมสีดำเนื้อดี ทรงผมที่ปกติรวบขึ้นทั้งหมดบัดนี้มัดเพียงครึ่งศีรษะ ความหล่อเหลาสง่างามนั้นทำให้โฉมงามตกตะลึงไปในทันที
“แล้วเจ้าเป็นใครกันเล่า พูดต่อสิ ข้าฟังอยู่” แทบไม่เชื่อหู พวกทหารเข้าใจได้ในทันทีว่าเหตุใดหวังอ๋องถึงได้ฆ่าเคอเคอที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว ที่แท้โฉมสะคราญผู้นี้คือคนที่พระองค์หมายปองไว้
“ข้า...เอ่อ” เซี่ยอีอิ่งได้สติ นางรีบหันไปมองหน้าลู่จื่อที่พยายามส่ายหน้าห้ามปรามองค์หญิง และนั่นก็ทำให้หวังอ๋องรู้สึกขัดใจนัก
“ถ้าเจ้าไม่รีบบอกความจริงข้ามา คนที่ต้องตายเป็นรายต่อไปคือนาง” หวังหย่วนเหอให้โอกาส ซึ่งโอกาสเช่นนี้ถือว่าหาได้ยากยิ่ง ทหารทุกนายรวมทั้งเชลยที่อยู่ในเหตุการณ์แทบไม่มีใครกล้าหายใจเสียงดัง
เซี่ยอีอิ่งกัดริมฝีปากครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยอมบอกความจริง
“ข้าเป็นองค์หญิงห้าแห่งแคว้นฮวาเป๋ย และนั่นก็นางกำนัลคนสนิทของข้า ถ้าหากท่านแม่ทัพใหญ่ให้สัญญาว่าจะไม่ทำสิ่งใดที่ล่วงเกินต่อกัน สงครามระหว่างแคว้นต้าฉีและแคว้นฮวาเป๋ย ข้าสัญญาว่าจะทูลขอเสด็จพ่อให้และมันจะไม่มีวันเกิดขึ้น” เซี่ยอีอิ่งทำใจกล้ายกเรื่องสงครามมาต่อรอง ถึงอย่างไรแคว้นฮวาเป๋ยของนางก็ยิ่งใหญ่ไม่แพ้แคว้นต้าฉีและแคว้นเสวี่ยในตอนนี้เลยสักนิดเดียว
เมื่อหวังหย่วนเหอได้ฟังคำขององค์หญิงฮวาเป๋ยจบ เขาก็หัวเราะเสียงดังลั่น ทุกคนในที่แห่งนี้หน้าถอดสีไปตาม ๆ กัน โดยเฉพาะลู่จื่อที่สังเกตเห็นว่าแม่ทัพหนุ่มผู้นี้มององค์หญิงตาไม่กะพริบดูไม่น่าไว้วางใจ
“องค์หญิงห้าแคว้นฮวาเป๋ยอย่างนั้นหรือ ที่แท้เจ้าก็เป็นคู่หมั้นของข้านี่เอง” หวังหย่วนเหอเข้าใจผิด ความจริงแล้วคู่หมั้นที่เขาปฏิเสธไปเป็นองค์หญิงสามแคว้นฮวาเป๋ยต่างหาก
“ใครเป็นคู่หมั้นท่านกัน! ข้ามีองค์ชายเก้าแคว้นเสวี่ยเป็นคู่หมั้นเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น” หวังอ๋องขมวดคิ้วในทันทีที่สตรีปฏิเสธคำพูดของเขา
“อื้อ!” แก้มของโฉมสะคราญถูกบีบแน่นเมื่อพูดถึงองค์ชายเก้าที่หวังหย่วนเหอรังเกียจเป็นนักหนา
“ว่าอะไรนะ! เจ้าเป็นคู่หมั้นของตงหรุ่ยอย่างนั้นหรือ” แววตาของหวังอ๋องดำมืดลง เพราะถ้าหากว่านางเป็นคู่หมั้นขององค์ชายเก้า นั่นก็หมายความว่านางเป็นศัตรูของเขาด้วยเช่นกัน
“ท่านปล่อยองค์หญิงห้าเดี๋ยวนี้นะเจ้าคะ ท่านแม่ทัพใหญ่” ลู่จื่อร้องโวยวายเสียงดัง บุรุษองอาจปล่อยมือออกจากแก้มขององค์หญิงแล้วก็แบกสตรีพาดบ่าพาเดินไปขึ้นม้าเพื่อขี่ไปที่หัวขบวนกองทัพ
“คนบ้า! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ บอกให้ปล่อยอย่างไรเล่า ลู่จื่อช่วยข้าด้วย” เซี่ยอีอิ่งเกิดความกลัวขึ้นมา ขนาดนางพูดถึงขนาดนี้แล้วแม่ทัพผู้นี้ก็ยังไม่เกรงกลัว ดูท่าแล้วชะตาชีวิตนางจะกลายเป็นของเล่นให้ผู้อื่นเชยชมอย่างนั้นจริง ๆ หรือ
“องค์หญิงเพคะ!” ลู่จื่อตะโกนตามไป แต่ไม่นานนักตัวนางก็ถูกองครักษ์นายหนึ่งอุ้มขึ้นม้าพาติดตามไปหน้าขบวนด้วยกัน สตรีสองคนถูกหอบหิ้วมาด้วยความไม่เต็มใจ สุดท้ายหวังอ๋องก็ให้หมอทหารมารักษาอาการข้อเท้าแพลงขององค์หญิง ยินยอมให้โฉมสะคราญนั่งรถม้าที่โอ่อ่าและกว้างขวางสามารถนอนอย่างสบายได้ถึงสี่คน ส่วนลู่จื่อนั้นก็ได้นั่งอยู่ที่ด้านหน้าของรถม้า ไม่มีสิทธิ์เข้ามายุ่งวุ่นวายด้านในและมีหน้าที่คอยปรนนิบัติเซี่ยอีอิ่งตามเดิม
กระทั่งหมอทหารพันผ้าที่ข้อเท้าข้างซ้ายให้องค์หญิงฮวาเป๋ยเสร็จก็แจ้งให้นางงดเดินหนึ่งอาทิตย์ จากนั้นก็ต้มยาขมเพื่อดื่มลดอาการบวมและลดอาการอักเสบให้ “ขอบคุณท่านหมอมาก” อีอิ่งส่งยิ้มไปให้หมอชราผู้นั้น แต่ท่านหมอรีบก้มหน้าหลบสายตาทันทีเพราะเกรงว่าท่านอ๋องจะทรงไม่พอพระทัย สายตาคมจดจ้องสตรีในทุกการกระทำ เขาชมชอบองค์หญิงห้าฮวาเป๋ยผู้นี้นัก โชคดีที่เขาปฏิเสธการหมั้นหมายกับองค์หญิงสามไป มิเช่นนั้นคงหักห้ามใจไม่ให้แย่งองค์หญิงห้ามาเป็นชายาของตนอีกคนอย่างแน่นอน
“ท่านมองข้าพอหรือยัง” ตอนนี้เซี่ยอีอิ่งรู้แล้วว่าแม่ทัพใหญ่ผู้นี้ที่แท้ก็เป็นถึงชินอ๋องของแคว้นต้าฉี นางมิอาจล่วงเกินเขาไปมากกว่านี้ได้ แต่คนห่าม ๆ อย่างหวังอ๋องหรือจะยอมฟังผู้ใด คนที่ออกคำสั่งกับเขาได้มีเพียงฮ่องเต้องค์ปัจจุบันและองค์รัชทายาทเพียงเท่านั้น
“ว้าย!” เซี่ยอีอิ่งถูกร่างสูงที่นั่งอยู่ห่างออกไปเพียงสองช่วงตัวดึงทั้งร่างของนางที่กำลังนั่งอยู่มุมหนึ่งให้ขึ้นมานั่งบนตักเขาอย่างหน้าตาเฉย
“เจ้านี่นุ่มไปทั้งตัวเสียจริง” หวังหย่วนเหอไม่ปิดบังความคิดที่ไม่ดีและพูดจาเปิดเผยต่อหน้าสตรี
“อย่ามาหยาบคายกับข้าแบบนี้นะ ปล่อย!” เซี่ยอีอิ่งไม่ยอมเรียกชินอ๋องว่าท่านอ๋องด้วยซ้ำ ลึก ๆ ในใจของนางเริ่มเกลียดชังความหยาบคายของบุรุษผู้นี้
“เหตุใดข้าจะทำไม่ได้กัน หรือว่าเจ้ากับตงหรุ่ยได้เสียเป็นผัวเมียกันแล้ว” หวังอ๋องกวนประสาท เขารู้ว่าเซี่ยอีอิ่งยังคงบริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่นึกมันเขี้ยวคนตรงหน้านี้ยิ่งนัก นึกอยากจับนางกดลงกับตั่งที่ใช้เป็นเตียงนอนบนรถม้าคันใหญ่โตที่ใช้กำลังม้าลากถึงห้าตัว
“นี่ท่านจะหยาบคายมากเกินไปแล้วนะ!” เซี่ยอีอิ่งเผลอใช้มือข้างที่ว่างตบใบหน้าของหวังอ๋องเข้าเต็มฝ่ามือ แล้วหลังจากนั้นไม่ถึงสามวินาที ท้ายทอยขององค์หญิงฮวาเป๋ยก็ถูกฝ่ามือหยาบกร้านกระชากเข้าหา ริมฝีปากหยักสวยบดขยี้ที่ริมฝีปากอวบอิ่มของสตรี เซี่ยอีอิ่งเม้มปากไม่ทันเลยถูกลิ้นร้อนรุกรานด้วยความรุนแรง
“อื้อ! อือ! อ่อย (ปล่อย)” แทบไม่มีอากาศให้นางได้หายใจหายคอ บุรุษองอาจที่มีนิสัยร้ายกาจนั้นกวาดต้อนน้ำหวานในโพรงปากสาวจนหมดสิ้น มิหนำซ้ำฝ่ามืออีกข้างที่ซุกซนก็ไล่ลูบไล้ไปทั่วร่างกายของโฉมสะคราญ