บทที่5 เริ่มลงมือทำสวน1

3036 คำ
บทที่5 เริ่มลงมือทำสวน เช้าวันต่อมา เฟิงลี่และบิดาช่วยกันขุดคันสวนและพลิกหน้าดินใหม่ เนื่องจากเคยทำครั้งหนึ่งแล้วมันจึงง่ายขึ้นมาก หลังจากนั้นก็เตรียมแปลงด้วยการรดน้ำที่ผสมกับน้ำวิเศษ ซึ่งเจือจางไปมาก เพราะนางตักน้ำวิเศษที่ว่ามาจากโอ่งน้ำกินที่นางผสมเอาไว้ หลังจากนั้นบิดาก็เข้าป่าไปตัดหญ้าแห้งมาตามคำขอของเฟิงลี่ พอถึงต้นยามเฉินสองพ่อลูกกินข้าวและออกเดินทางไปที่โรงหมอทันที วันนี้เนื่องจากมีเนื้อกระต่ายมาด้วย ท่านแม่แปลกใจอย่างมาก ส่วนพี่ใหญ่ก็กินเหมือนไม่เคยกิน น่าเสียดายที่เขากินได้ไม่เยอะเพราะหมอห้าม ซ่งเฟิงจึงงอแงยกใหญ่และอยากหายเร็วๆขึ้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขายังซึมเศร้าอยู่เลย ที่ซ่งเฟิงซึมเศร้า เป็นเพราะเขารู้สึกผิดที่ตนเองทำให้ครอบครัวเสียเงินครั้งใหญ่ แถมขาเขาก็ไม่แน่ใจว่าหายดี อาจจะพิการไปเลยก็ได้ ดังนั้นเขาจึงซึมเศร้าไปสองสามวัน แต่เมื่อรู้ว่าบิดานำเนื้อมาให้ตนเองกิน ซ่งเฟิงก็ดีขึ้นในทันที นั่นทำให้ซ่งจิ้นยิ่งปวดใจ เขามองข้ามครอบครัวตัวเองจริงๆ ระหว่างทางกลับบ้าน เขาจึงแบกเฟิงลี่ขึ้นหลังโดยมีนางร้องเพลงคลออยู่ข้างหู เป็นความสุขของบิดาผู้มีบุตรสาวโดยแท้ เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว เฟิงลี่ให้ซ่งจิ้นประกอบโครงหลังคารูปสามเหลี่ยมแบบยาวเท่าแปลงผักแถวหนึ่งขึ้นมา จากนั้นนางก็นั่งมัดหญ้าแห้งให้กลายเป็นหลังคาและนำไปประกอบเป็นตัวอย่าง กลายเป็นว่าแปลงผักจะมีหลังคาคลุมซึ่งหลังคาจะสามารถเปิดได้ทั้งสองทาง เมื่อยกชายหลังคาขึ้นและพับไปอีกด้านก็จะเป็นการเปิดให้เห็นแปลงผัก นี่เป็นสิ่งที่เฟิงลี่ใช้ประสบการณ์ของตนเองคิดขึ้นมา นางทดลองทำหลายครั้งจนสามารถทำให้หลังคาพับเก็บไปอีกด้านได้สำเร็จ ซ่งจิ้นก็ยิ่งรู้สึกทึ่งกับภูมิปัญญาของบุตรสาว เขายังกังวลอยู่ว่า หากปลูกผักในฤดูนี้ อากาศจะยังเย็นเกินไป แต่เมื่อเห็นสิ่งประดิษฐ์ของบุตรสาวเขาก็วางใจไปหลายส่วน แม้ผักไม่งอกทั้งหมด อย่างน้อยก็ต้องงอกสักสองสามส่วนล่ะ แค่นั้นก็คุ้มแล้ว ราคาอาหารในยุคนี้ ผักถูกสุด1ชั่งก็มีราคา50-60อีแปะแล้ว ยิ่งเนื้อหมูนั้นอย่าพูดถึงเลย ราคาเกือบครึ่งตำลึง ส่วนธัญพืชหยาบเช่นที่พวกเขากินก็มีราคาชั่งละ300อีแปะ ขึ้นลงตามสภาพตลาด ค่าครองชีพของแถบนี้ยังถือว่าต่ำ ขณะที่ในเมืองหลวงหรือเมืองที่เจริญมากๆ บางทีราคาอาจมากกว่าเป็นเท่าตัว หรือหลายเท่าตัว ผ่านไปอีกวันหนึ่ง เฟิงลี่ก็นำเมล็ดพันธุ์ที่ผ่านการแช่น้ำแล้วมาปลูกลงดิน ส่วนเมล็ดที่ไม่ต้องแช่น้ำนางก็นำลงดินเลยเช่นกัน เฟิงลี่ไม่ได้มีความรู้เรื่องการเกษตร แต่นางเชื่อมั่นในน้ำวิเศษ ช่วงระยะ9วันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เฟิงลี่เองก็แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่บิดามารดาก็เริ่มผ่องใสขึ้นผิดหูผิดตา เนื่องจากการบำรุงของนาง ส่วนซ่งเฟิงผู้เป็นพี่ก็อาการดีขึ้นมาก แผลแห้งสนิทและกลับบ้านได้ตั้งแต่สามวันก่อน ครอบครัวนางจึงมีเงินสำรองอีก300อีแปะที่เหลือจากการรักษาซ่งเฟิง ส่วนบ้านใหญ่นั้นท่านพ่อจัดการเช่นไรไม่ทราบ นางตี้เหวียนไม่วนเวียนมาหาบ้านเล็กอีกเลย ได้ยินว่าท่านพ่อนำเงินตำลึงไปให้หัวหน้าหมู่บ้านเป็นพยานในการมอบให้นางเหวียน นางเหวียนจึงไม่อาจปริปากขอสิ่งใดจากบ้านเล็กได้อีกหากนางยังเห็นแก่หน้าบุตรชายที่เพิ่งสอบติดซิ่วไฉ แน่นอนว่านางเหวียนไม่ใช่คนโง่ นางไม่กล้าปริปากแม้แต่น้อย แต่ผู้ที่แวะเวียนมาที่บ้านประจำกลับกลายเป็นลูกหลานของบ้านใหญ่ที่ปกติไม่เคยโผล่หน้า แต่เมื่อพวกเขาเห็นพ่อลูกกินแค่เห็ดป่า พวกเขาก็ล่าถอยกลับไปแต่โดยดี นั่นเพราะบิดานางไม่ได้ขึ้นเขาอีกเลย ยกเว้นขึ้นเขาเก็บเห็ดกับนาง ซึ่งน้อยครั้งที่จะได้สัตว์เล็กๆกลับมาด้วย แน่นอนว่าวันนี้นางสามารถรับรางวัลภารกิจ [-ภารกิจ- ฟื้นฟูสภาพร่างกายของตนเอง รางวัล ยาเพิ่มพลังกาย1ขวด(บรรจุ10หยด)] เฟิงลี่จ้องมองยาเพิ่มพลังกาย10หยดนั้น ก่อนจะลองหยดลงในถ้วยข้าวให้บิดา มารดา พี่ชาย และของตนเอง แปลว่าใช้ไปแล้ว4หยด ในวันนั้นท่านพ่อแข็งแรงกว่าปกติมาก เขาสามารถแบกท่อนไม้กลับมาบ้านเพื่อเป็นฟืนขนาดใหญ่ได้ ทั้งที่เหงื่อแทบไม่มีไหล อีกทั้งยังผ่าฟืนกองใหญ่และขนไปขายให้เฒ่าตี้เจียงที่อยู่ท้ายหมู่บ้าน ซึ่งบ้านนั้นรับซื้อฟืนทุกสภาพเพื่อนำไปขายต่อในเมือง ทำให้วันนี้ครอบครัวมีเงินเข้าบ้านอีกหลายสิบอีแปะ เป็นที่แปลกใจของชาวบ้านอย่างมากที่เห็นบ้านตระกูลซ่งที่เคยถูกมองว่าขี้เกียจสันหลังยาว ทำนู่นทำนี่ แต่ความจริงเพราะพวกเขาไม่เห็นและถูกคำพูดโกหกของนางตี้เจวียนปิดตาต่างหาก ความจริงซ่งจิ้นขยันมาก แต่เขาใช้ความขยันปิดทองหลังพระให้บ้านใหญ่มาตลอด จึงไม่เคยมีคนเห็นเขาเป็นคนดีเลย เฟิงลี่ยิ้มน้อยๆมองบิดาที่แข็งแรงขึ้นมาก ตอนนี้เหลือเพียงสุขภาพของพี่ชายเท่านั้น ซึ่งเขาต้องรักษาตัวไปอีกเล็กน้อย แต่นางยังไม่มีภารกิจใหม่เลย แถมแต้มที่ได้ก็น้อยแสนน้อย เฟิงลี่จึงคิดจะออกไปเดินหาภารกิจสักหน่อย เผื่อจะมีให้ทำบ้าง “ท่านแม่ ลูกออกไปเดินเล่นสักพักนะเจ้าคะ” “พี่ไปกับเจ้าดีกว่า” ซ่งเฟิงรีบเสนอตัว แม้ขาเขาจะไม่หายดีและยังต้องใช้ไม้ค้ำ แต่ก็สามารถเดินได้แล้ว แถมยังมีแรงปกติราวกับไม่ใช่คนป่วย นั่นเป็นเพราะเขาได้รับการบำรุงต่างจากที่ผ่านมามาก “จริงด้วยลี่เอ๋อร์ พาพี่ชายเจ้าไปด้วยเถอะ เผื่อเจอเจ้าตี้เซียงมันจะมารังเกเจ้าได้” ตี้เซียงที่มารดาพูดถึงเป็นบุตรชายคนรองของลุงใหญ่ เขาเป็นคนหยาบคายชอบรีดไถและข่มขู่เด็กในหมู่บ้าน นอกจากนี้ยังชอบรังแกเฟิงลี่มากเป็นพิเศษ “จริงด้วยอาลี่ อาเฟิงเจ้าดูแลน้องดีดีเถอะ” ตอนนี้ซ่งจิ้นมอบตำแหน่งสำคัญให้ซ่งเฟิงลี่ในจิตใจของเขาแล้ว นางเป็นถึงร่างทรงที่สื่อสารกับเทพได้เชียวนะ “ขอรับท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าจะดูแลลี่เอ๋อร์เอง” ซ่งเฟิงรับคำ ก่อนจะคว้ามือน้องสาวมาจับไว้บนไม้ค้ำยันของเขา จากนั้นก็เดินไปด้วยกัน เฟิงลี่หยิบเหลียงมาสะพายหลัง เพราะนางเดินเล่นธรรมดาก็ได้สมุนไพรและเห็ดกินได้กลับมามากมายทุกครั้ง ดังนั้นนางจึงไม่ประมาท ต้องบอกว่าช่วงหลังนี้ครอบครัวซ่งอยู่ได้เพราะเห็ดที่เฟิงลี่เก็บมาได้จริงๆ “อาลี่เจ้าอยากไปที่ใดหรือ” เมื่อเดินมาถึงกลางหมู่บ้านแล้ว ซ่งเฟิงก็เอ่ยถามน้องสาว “ข้า...” ก่อนที่นางจะได้ตอบ เสียงระบบก็เด้งขึ้นมา [-ภารกิจ- ช่วยเหลือเด็กที่โดนอันธพาลกลั่นแกล้ง รางวัล แต้มบุญ2 ผู้ชื่นชอบเพิ่มขึ้น2] เฟิงลี่ไม่ค่อยเข้าใจนักเรื่องผู้ชื่นชอบ แต่พอเห็นภารกิจ นางก็คิดถึงคำพูดของมารดาทันที ผู้ที่รังแกคนอื่นคงจะเป็นตี้เซียงคนนั้น แต่คนที่โดนรังแกนั้นใครกันนะ? “พี่ใหญ่ท่านสู้ พี่เซียงได้มั้ยเจ้าคะ” เฟิงลี่หันไปถามพี่ชายตน “เจ้าไม่รู้อะไร อาเซียงกลัวข้าที่สุดแล้ว” ซ่งเฟิงเอ่ยอย่างมั่นใจ แต่เขาลืมไปว่าตนเองนั้นกลายเป็นคนบาดเจ็บอยู่ ดังนั้นเด็กน้อยผู้ที่เคยเกรงกลัวเขา ยามนี้กลับไม่เกรงกลัวแล้ว เมื่อได้ยินคำยืนยันหนักแน่นของพี่ชาย เฟิงลี่ก็ฮึดขึ้นมา นางรีบสอดส่องสายตามองไปทั่วเพื่อหาว่าผู้ที่นางต้องช่วยอยู่ตรงไหน กระทั่งได้ยินเสียงกรีดร้องเล็กๆแว่วมา เฟิงลี่ไม่รอช้ารีบดึงมือพี่ชายไปทางนั้นทันที เมื่อไปถึงลานของหมู่บ้านทางด้านตะวันออกจึงเห็นว่าตี้เซียงกำลังข่มขู่เอาขนมจากเด็กสองคนจริง และเขากำลังจะลงไม้ลงมือกับเด็กคนนั้นเพราะเด็กไม่ยอมให้ขนมเขา เฟิงลี่รีบวิ่งออกไปก่อนที่จะทันได้คิด นางจึงโดนตี้เซียงตบเข้าที่หลังเสียงดัง ปึก! ก่อนที่ร่างเล็กของนางจะเซเข้าหาเด็กทั้งสอง และกอดพวกเขาเอาไว้อย่างปกป้อง “ลี่ลี่นี่เอง ข้าก็นึกว่าใคร ได้ยินว่าช่วงนี้เจ้าได้เห็ดป่ามาเยอะ ไหนเอามาให้ข้า พี่ใหญ่ผู้นี้กินซิ!” ตี้เซียงไม่ได้สนใจรอบด้านสักนิด เขารีบเปลี่ยนเป้าหมายเมื่อเห็นว่าคนที่โผล่มาคือเฟิงลี่ที่แสนจะขี้ขลาด “อาเซียง!! เจ้าบังอาจมากที่รังแกคนอื่นไปทั่วเช่นนี้ วันนี้ข้าจะไปบอกลุงใหญ่ให้ตีเจ้า โทษฐานที่เจ้าตีอาลี่!” ซ่งเฟิงตวาดลั่น เขาเดินเข้ามาบังระหว่างเด็กๆและตี้เซียง คราวแรกตี้เซียงก็ตกใจอยู่ แต่เมื่อเห็นสภาพของซ่งเฟิงแล้ว เขาก็หัวเราะเย็นออกมา “หึหึ คิดว่าตัวเองเป็นใครหรือถึงมาสั่งข้า พี่ใหญ่คนนี้ เจ้าก็แค่คนพิการจะมาสู้อะไรข้าได้ คิดว่าข้ากลัวเจ้ารึ!” เฟิงลี่ได้ยินอย่างนั้นก็หันไปมองตี้เซียงให้ดี เขามีใบหน้าน่ากลัวและอายุมากกว่าซ่งเฟิงปีหนึ่ง แต่กลับมีจิตใจดำมืด ไม่เกรงกลัวความผิดของตนเองสักนิด “ถึงขาข้าจะพิการ แต่ข้าก็เอาเลือดหัวเจ้าออกได้ แน่จริงก็เข้ามาสิ!!” ซ่งเฟิงเอ่ยอย่างดุร้าย ยกไม้เท้าข้างหนึ่งขึ้นขู่ เมื่อเห็นว่าซ่งเฟิงเอาจริง ตี้เซียงได้แต่จิ๊ปากแล้วเดินหนีไป ไม่ลืมตะโกนฝากแค้นเอาไว้ก่อน “ฝากไว้ก่อนเถอะ ข้าจะไปบอกแม่ข้าว่าเจ้ารังแกข้าอีกแล้ว เจ้าจะโดนท่านน้าตี!” กล่าวจบร่างของตี้เซียงก็หายไปแล้ว “ท่านพี่ ท่านป้าจะไม่ว่าหรือเจ้าคะ” “เฮอะ ก็แค่เรื่องเด็กทะเลาะกัน ผู้ใหญ่มายุ่งด้วยก็มีแต่จะโดนถอนหงอก” ซ่งเฟิงเอ่ยขึ้น เขารู้นิสัยคนบ้านใหญ่ดี ผู้ใหญ่พวกนั้นไม่กล้าทำอะไรออกหน้า อย่างมากก็คงแอบไปบอกให้แม่เขารู้เท่านั้น “พี่สาว พี่ชาย ขอบคุณที่ช่วยพวกเรา” เสียงหวานดังขึ้น เฟิงลี่หันกลับไปดูก็เห็นว่าเด็กคนนี้เป็นหลานของท่านตาเจียงที่รับซื้อไม้ “อ้าว หลานของท่านตาตี้เจียงนี่นา” ซ่งเฟิงเองก็จำได้ “ท่านตาออกไปขายไม้ยังไม่กลับมาเจ้าค่ะ พี่สาวพี่ชายเข้ามากินน้ำในบ้านเราก่อนสิ” เด็กอีกคนหนึ่งเอ่ยชวนอย่างใจดี แต่เฟิงลี่กำลังกดรับรางวัลภารกิจจึงไม่ได้สนใจ แต่พอเห็นพี่ชายเดินตามเด็กทั้งสองไปนางก็เดินตามไปเงียบๆ [-ภารกิจ- ช่วยเหลือเด็กที่โดนอันธพาลกลั่นแกล้ง รางวัล แต้มบุญ2 ผู้ชื่นชอบเพิ่มขึ้น2 (สำเร็จ)] หลังจากเดินมาถึงท้ายหมู่บ้าน ก็ถึงบ้านของท่านตาตี้เจียงซึ่งอาศัยอยู่กับลูกสะใภ้และหลานสองคน เนื่องจากบุตรชายของเขาไปเป็นทหารในเมืองหลวง นานๆจึงจะส่งข่าวกลับมา “ท่านแม่พวกเจ้าไม่อยู่รึ?” ซ่งเฟิงเอ่ยถามอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นทั้งบ้านเงียบ ไร้วี่แววผู้ใหญ่ “ท่านแม่ป่วย จึงไม่มีแรงเดินออกจากบ้านเลย ท่านปู่เข้าเมืองคิดว่าน่าจะได้เงินพาท่านแม่ไปหาหมอ แต่ถ้าขายไม่ดีก็อาจจะไม่ได้พาไป” “ข้าอยากให้ท่านปู่ขายของหมด จะได้พาท่านแม่ไปหาหมอ ท่านแม่ป่วยมาหลายวันแล้วไม่หายเสียที” เด็กทั้งสองสลับกันพูด เฟิงลี่ขมวดคิ้วน้อยๆ เมื่อมีภารกิจเด้งขึ้นมาอีกแล้ว แถมคราวนี้ยังหนักหนามากถึงขนาดที่ระบบให้แต้มบุญถึง5แต้ม [-ภารกิจ- ช่วยชีวิตนางอู๋เหริน รางวัล กล่องปฐมพยาบาลขั้นต้นระดับD แต้มบุญ5 หากภารกิจล้มเหลวนางอู่เหรินตายจะโดนหักแต้มบุญ5] คราวนี้กลับมีโทษถ้าภารกิจล้มเหลวมาด้วย เฟิงลี่แทบสำลักน้ำเมื่อเห็นภารกิจ นางรีบเงยหน้าขึ้นและมองไปยังห้องนอนที่ปิดเงียบ คาดว่านางอู๋เหรินน่าจะอยู่ในห้องนั้น “พี่ใหญ่ เราช่วยดูอาการแม่เด็กๆดีกว่ามั้ยเจ้าคะ ไหนๆเราก็มาแล้ว” เด็กๆอายุเพียงสามขวบ และห้าขวบเท่านั้น พวกเขาจึงยังดูแลคนไข้ไม่เป็น และการปล่อยคนป่วยไว้คนเดียวก็เป็นเรื่องที่ไม่ดีเอามากๆ ดังนั้นเฟิงลี่จึงเสนอออกมา “นั่นสิ ท่านน้าดูท่าจะป่วยหนัก อาลี่เจ้าเคยเรียนหมอมาบ้าง ลองเข้าไปดูหน่อยเถอะ เด็กๆพี่ชายพี่สาวขอเข้าไปเยี่ยมมารดาเจ้าได้หรือไม่” ซ่งเฟิงหันไปถามเด็กๆ “ได้ๆ ความจริงท่านปู่ให้พวกเราไปตามท่านน้าข้างบ้านมาช่วยดูท่านแม่ แต่ว่าท่านน้าไม่อยู่พวกเราจึงได้...” แค่กๆๆ เสียงไอดึงขึ้นขัด “ท่านแม่” เด็กทั้งสองร้องลั่นและวิ่งไปเปิดประตูห้องนอน เผยให้เห็นฟูกนอนที่ปูกับพื้นและร่างของหญิงสาวนอนอยู่ตรงนั้น เฟิงลี่ไม่รอช้า นางเดินตามเด็กทั้งสองเข้าไป พอเห็นสภาพของนางอู๋เหรินแล้ว นางก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา เมื่อนางเพ่งมองก็สามารถเห็นข้อมูลทั่วไปของนางอู๋เหรินได้แล้ว [ ชื่อ อู๋เหริน อายุ22ปี สถานะ ป่วยหนัก] “ให้พี่สาวดูมารดาพวกเจ้าหน่อย” เฟิงลี่แทรกตัวเข้าไป ก่อนจะหยิบข้อมือของท่านน้าผู้นี้มาจับ ใบหน้าเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย เพราะนางเป็นโรคปอดบวมจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เฟิงลี่หันไปสังเกตอาการของท่านน้า ปรากฎว่านางเริ่มหายใจหอบ เวลาหายใจจมูกจะบาน มีน้ำมูก มีอาการไอ ซูบผอมจนสามารถมองเห็นได้แปลว่านางกินข้าวไม่ลง “มารดาพวกเจ้าเป็นไข้มากี่วันแล้ว” เฟิงลี่เอ่ยถามเสียงต่ำ “พี่สาว ท่านแม่เริ่มไข้และไม่กินข้าวมาห้าวันแล้ว” ได้ยินอย่างนั้นเฟิงลี่ยิ่งเครียดมากขึ้น นางพยายามมองว่าอู๋เหรินมีอาการปากเขียวหรือไม่ โชคดีที่นางยังไม่ถึงขั้นนั้น ดังนั้นเฟิงลี่จึงลุกพรวดขึ้น “เอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตามมือตามเท้าให้มารดาเจ้าก่อน แล้วก็ใช้ผ้าผืนหนึ่งชุบน้ำบิดหมาดวางไว้บนหน้าผากให้นางด้วย ท่านพี่ข้าจะกลับไปเอาสมุนไพรที่บ้านมาให้ท่านน้าก่อน ท่านอยู่กับเด็กๆก่อนนะเจ้าคะ” เฟิงลี่รีบสั่งงาน ก่อนจะวิ่งผลุนผลันออกไป ซ่งเฟิงไม่อาจเรียกไว้ได้ทัน แต่หลังจากนั้นไม่นานนางก็กลับมาพร้อมกับเหยือกน้ำเหยือกหนึ่ง “น้ำนี้พี่สาวใส่สมุนไพรลงไปแล้ว มันจะช่วยให้มารดาเจ้าไอน้อยลง ค่อยๆป้อนให้นางเถอะ” เฟิงลี่หันไปบอกเด็กทั้งสอง ก่อนจะมองพี่ชายที่ทำท่าเหมือนอยากจะถามอะไรบางอย่าง “พี่ใหญ่ ท่านพ่อให้ท่านกลับบ้านก่อน ให้ข้าช่วยดูแลอาการท่านน้าเอาไว้จนกว่าท่านปู่เจียงจะกลับมา ท่านกลับไปก่อนเถอะเจ้าค่ะ” เฟิงลี่พูดความจริง เมื่อนางอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นให้บิดามารดาฟัง พวกท่านก็บอกให้นางมาดูแลนางอู๋เหริน ต้องบอกว่าคนทั้งหมู่บ้าน มีเพียงท่านตาเจียงที่ดีกับครอบครัวนาง จึงไม่แปลกที่พวกเขาอนุญาตนางโดยง่าย “ได้ เจ้าต้องระวังตนเอง เจ้าก็เพิ่งฟื้นไข้” ซ่งเฟิงอดเป็นห่วงไม่ได้ “ไม่ต้องกังวลไปเจ้าค่ะ ตอนนี้ข้าแข็งแรงแล้ว” เฟิงลี่ยิ้มอวดฟันขาว ก่อนจะเดินไปส่งซ่งเฟิงกลับบ้านไป ขณะที่ตนเองเดินไปดูอาการท่านน้าอู๋เหรินตลอดเวลา ต้องบอกว่าอู๋เหรินโชคดีจริงๆ ความจริงนางควรจะหมดลมหายใจก่อนที่ปู่ตี้เจียงจะกลับมาจากตลาด แต่เพราะได้พบกับเฟิงลี่นางจึงยังหายใจอยู่จนถึงตอนที่ปู่เจียงกลับมา เขากลับมาพร้อมเงิน1เฉียน และสามารถพาลูกสะใภ้ไปหาหมอได้แล้ว เขาเพียงกล่าวขอบใจเฟิงลี่และมอบขนมที่เก็บไว้ให้หลาน มาให้นางหนึ่งชิ้น จากนั้นก็พาลูกสะใภ้ไปหาหมอ ขณะที่เฟิงลี่ดีใจอย่างมาก เมื่อนางกดรับรางวัลภารกิจ นางก็จะมีแต้มสะสม10แต้ม พอที่จะซื้อแผนที่แล้ว ดังนั้นนางจึงไม่ลังเลที่จะกดซื้อเครื่องมือแผนที่ทันที
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม