บทที่3.2 ผิดใจ2

2454 คำ
ซ่งจิ้นมองชาวบ้านที่เดินผ่านไปแล้วทิ้งสายตารังเกียจในตัวเขาเอาไว้ ขณะที่พวกชาวบ้านบางกลุ่มก็ซุบซิบและมุงดูกันอยู่รอบนอก บ่งบอกว่าเข้าข้างบ้านใหญ่เต็มที่ “ท่านป้า...ในสัญญาแยกบ้าน ลงไว้ว่าข้าต้องส่งเงินให้ทางบ้านทุกเดือน เดือนละ1ตำลึง เพราะข้าแยกบ้านออกมาตั้งบ้านใหม่อยู่ในหมู่บ้านและไม่ได้สมบัติใดใดจากบ้านใหญ่เลย ที่ผ่านมาข้าไม่มีเงินจึงได้ส่งเนื้อที่ล่ามาได้ให้ท่านทั้งหมด นั่นไม่พอสำหรับเป็นส่วยให้ทางการงั้นหรือขอรับ” ซ่งจิ้นเอ่ยอย่างอ่อนใจ เฟิงลี่จับมือบิดาแน่น ซ่อนตัวอยู่ด้านหลัง ตัวนางไม่คุ้นชินกับการต่อกรกับชาวบ้านเลย พวกเขาช่างหน้าด้านหน้าหนาผิดจากที่นางเคยเจอ คนที่นางเคยเจอส่วนมากพวกนั้นล้วนเล่นเล่ห์เก่งกาจ ไม่ได้เอาเปรียบกันตรงๆ หน้าด้านๆเช่นนี้ “นี่เจ้า ทวงบุญคุณงั้นรึ? เจ้าเด็กอกตัญญู หากข้าไม่ได้ป่าวประกาศความหน้าไม่อายของเจ้าออกไปก็อย่ามาเรียกข้าว่าตี้เหวียน!!” นางตี้เหวียนโวยวายขี้นมาทันที ทำให้ชาวบ้านที่มามุงดูเริ่มส่งเสียงฮึขึ้นจมูกอย่างดูถูกสองพ่อลูก “ท่านป้า สัตว์ทุกตัวที่ข้าล่า ข้าส่งให้บ้านใหญ่ตลอดไม่เคยเก็บเอาไว้ นั่นไม่พอหนึ่งตำลึงที่ข้าต้องจ่ายให้แก่ท่านหรือขอรับ” “อย่ามาอ้างสัตว์น้อยนิดที่เจ้าล่าได้เลย ฮึ!! คิดว่าตนเองเป็นใคร เป็นเทพนักล่าหรืออย่างไร ฮึ!! เงินหนึ่งตำลึงไม่ใช่น้อยๆ ชาวบ้านอย่างพวกเราสามารถใช้ประทังชีพได้เป็นเดือน มีแต่เจ้านั่นแหละเจ้าเด็กไม่รักดี ที่นำเงินไปผลาญกับบุตรชาย บุตรสาวขี้โรคของเจ้า!” “ท่านป้า อย่างที่ข้ากล่าวไปแล้วข้าไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับถุงเงินบ้านใหญ่ของท่าน และข้าคงไม่อกตัญญูให้ท่านต้องมาเป็นห่วงกับถุงเงินของบ้านข้า” ซ่งจิ้นเอ่ยขึ้นเสียงเข้ม ทำให้เสียงรอบด้านเงียบลงในทันที ชาวบ้านไม่นึกเลยว่าบุตรตระกูลซ่งจะกล้าพูดคำพูดอกตัญญูเช่นนี้ออกมา แต่พวกเขาไม่ได้มองเลยว่าการกระทำของนางตี้เหวียนนั้นน่ารังเกียจเกินไป และออกจะบีบคั้นคน มีอย่างที่ไหนบังคับจ่ายส่วยบ้าบออะไรตั้งเดือนละหลายๆตำลึง หากว่าพวกเขาย้อนคิดสักนิดว่าถ้าตนเองเป็นคนบ้านตระกูลซ่ง จะยอมให้นางตี้เหวียนรีดไถมาตลอดหลายปีหรือไม่ “เจ้า เจ้า...ข้านึกแล้วเชียว เจ้ามันงูพิษเลี้ยงไม่เชื่อง เฒ่าชุน(สามีนาง)เลี้ยงเจ้ามานับสิบสิบปี แต่กลับไม่สำนึกบุญคุณและทำกับข้าเช่นนี้รึ เจ้ากล้าทำให้ข้าอับอายรึ” นางตี้เหวียนชี้หน้าตัวสั่นเทา คนภายนอกมองก็ดูน่าสงสาร แต่ในสายตาของซ่งจิ้นตอนนี้กลับรู้สึกว่าหญิงชราบีบคั้นเขามากเกินไปแล้ว “ท่านป้า ต่อไปนี้ข้าจะส่งเงินหนึ่งตำลึงให้ท่านทุกเดือนตามที่ตกลงไว้ในสัญญาแยกบ้าน เพื่อความเป็นธรรม ข้าจะให้เงินท่านผ่านทางหัวหน้าหมู่บ้านเป็นอย่างไร หากเดือนไหนข้าไม่ให้ท่าน ท่านจะให้ทหารทางการมาไล่ที่ข้าก็ย่อมได้” ซ่งจิ้นเอ่ยอย่างอ่อนใจอีกครั้ง เขาเป็นคนฉลาดและรู้ว่าสัตว์ที่เขาล่ามาในหนึ่งเดือน มีค่ามากกว่าหนึ่งตำลึงแน่ๆ แต่คนตรงหน้ากลับมองไม่เห็นและตาบอด อยากได้แต่เงินหนึ่งตำลึงของเขา นั่นย่อมได้!! งั้นต่อไปเขาจะให้เงินหนึ่งตำลึงนี้กับนางเอง “เช่นนั้นก็ดี เอามาสิหนึ่งตำลึง” ได้ยินอย่างนั้นนางตี้เหวียนก็ยิ้มอย่างดีใจ แบมือขอเงินทันที “ท่านพ่อ...” เฟิงลี่ดึงมือบิดา นางไม่สามารถสุ่มวงล้อโชคลาภได้ทุกวัน ท่านเทพที่นางอ้างก็ยังไม่มีภารกิจที่ทำให้ได้คูปองใช้งานวงล้อโชคลาภ ดังนั้น...เงินหนึ่งตำลึงไม่เหนือบ่ากว่าแรงไปหน่อยหรือ? อีกทั้งนี่เพิ่งผ่านฤดูหนาวมา การขึ้นเขาล่าสัตว์เป็นเรื่องอันตราย เพราะช่วงเดือนสองนี้เป็นช่วงฤดูผสมพันธุ์ สัตว์จะดุร้ายมาก “ไม่เป็นไรอาลี่ เดี๋ยววันนี้เราอดกินไก่ฟ้าไปก่อน วันมะรืนค่อยกินนะลูก” ซ่งจิ้นยิ้มให้บุตรสาว ก่อนจะดึงนางมายืนข้างกัน “ท่านป้า งั้นต่อไปข้าจะเป็นคนขายสัตว์ที่ล่ามาเองและนำเงินมาให้ท่านเพื่อแสดงความกตัญญู หนึ่งตำลึงต่อเดือน ขอบคุณท่านป้าที่มีเมตตาต่อครอบครัวข้ามาตลอด” ซ่งจิ้นคำนับลงกับพื้น ดึงบุตรสาวลงมาด้วย ชาวบ้านที่มุงดูเริ่มพูดคุยอีกครั้ง พวกเขาได้ยินทุกคำที่ซ่งจิ้นพูด นางตี้เหวียนอ้าปากเหวอ ไม่คิดว่าตนเองจะชวดเงินหลายตำลึงเพียงเพราะอยากได้เงินตำลึงเดียว ตอนนี้นางรู้แล้วว่าตนเองทำพลาดไป แต่จะอ้าปากอย่างไรก็เห็นลิ้นไก่ ถึงชาวบ้านจะอยู่ข้างนาง นั่นเพราะนางแสดงตนเป็นคนดีต่อหน้าพวกเขาต่างหาก ดังนั้นนางจึงต้องรักษาหน้าตนเองไว้ นั่นหมายความว่าต่อไปนี้ นางก็ไม่อาจเข้าไปวุ่นวายกับสัตว์ที่ซ่งจิ้นล่ามาได้อีกแล้ว ตี้เหวียนไม่อาจกล่าวคำใดได้อีก นางได้แต่เดินหนีไปอย่างหงุดหงิดงุ่นง่าน ซ่งจิ้นมองตามท่านป้า นางเป็นคนเห็นแก่ตัวและไม่เคยดีกับเขาและตี้จิงหรุยผู้เป็นหลานของนางเลย มีเพียงท่านลุงที่เป็นคนดีจริงๆ ขณะที่ฮูหยินเหวียนหรือท่านป้าเหวียนนั้นดีแค่ภายนอก คนส่วนมากไม่ค่อยรู้ฤทธิ์ของนาง และให้ความสำคัญกับนางเพียงเพราะชื่อเสียงที่ท่านลุงทิ้งเอาไว้ แต่ก่อนซ่งจิ้นเห็นใจบ้านใหญ่ เพราะพวกเขามีคนมาก อีกทั้งค่าใช้จ่ายก็เยอะเพราะต้องส่งน้องชายเล็กเรียนหนังสือ เมื่อท่านลุงตายโดยสั่งให้เขาแยกบ้านออกไป เขาก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือเข้าช่วย แต่ไม่คิดเลยว่าความช่วยเหลือของเขาจะกลายเป็นดาบสองคม เขาเคยคิดว่าต้องกตัญญูเพื่อชื่อเสียงของบุตรสาว นางอายุ10ขวบแล้ว อีก4-5ปีก็ต้องแต่งงานออกไป แต่ตอนนี้หากเขาถามชาวบ้านแถวนี้ เขาจะรู้ได้ว่าตนเองทำผิดมหันต์ เพราะท่านป้าที่เขาแสดงความกตัญญู ไม่วายทำลายชื่อเสียงของครอบครัวเขาจนย่อยยับ อย่าว่าแต่หาสามีให้บุตรสาวเลย กระทั่งบุตรชายของเขาก็ไม่มีใครต้องการแต่งเข้าเป็นสะใภ้ให้ นั่นคือเสียงซุบซิบที่เขาได้ยินมาตลอด แต่ตอนนี้กลับยิ่งแพร่สะพัดจนเพื่อนบ้านไม่คบหา คนรู้จักไม่ทักทาย คนในหมู่บ้านตีตัวออกห่างราวกับเห็นครอบครัวเขาเป็นเพียงปลิงที่จะสูบเลือดสูบเนื้อพวกเขา “ท่านพ่อ...” เฟิงลี่เขย่ามือบิดา เมื่อเห็นเขานิ่งไป นางประคองเขาลุกขึ้นยืน ชาวบ้านแยกย้ายไปแล้ว ท่านยายจากไปแล้ว แต่ท่านพ่อกลับมีสีหน้ากังวลอย่างยิ่ง “ลี่เอ๋อร์ ท่านเทพให้เจ้าทำอะไรอีกหรือไม่?” ซ่งจิ้นเอ่ยถามน้ำเสียงเหนื่อยใจอย่างยิ่ง ส่วนหนึ่งเขาอยากจะพิสูจน์ว่าที่บุตรสาวพูดเป็นเรื่องจริงหรือไม่ “ท่านพ่อ ท่านเทพให้เรารักษาร่างกายให้ดีเสียก่อน เดือนนี้ท่านพ่อจ่ายส่วยอะไรนั่นไปหรือยังเจ้าคะ” เฟิงลี่รู้ดีว่าเรื่องไม่จบง่ายแน่ๆ หากบิดานางไม่ได้ส่งเงินให้บ้านใหญ่ “เฮ่อ! พ่อมันโง่เอง ถึงเดือนนี้พ่อจะให้สัตว์ที่ล่าได้กับพวกเขาไปแล้วรอบหนึ่ง(หมายถึงหมูป่า)อีกทั้งโสมเมื่อหลายวันก่อน แต่พวกเขาคงไม่นับให้เราหรอก อาลี่เจ้ากลับบ้านไปก่อน พ่อจะออกล่าอีกสักพัก วันพรุ่งเราจะเดินไปในเมืองกัน เพื่อนำสัตว์ที่พ่อล่าไปขายและนำเงินมาให้ท่านยายของเจ้า” เฟิงลี่มองตามแผ่นหลังของบิดาที่เดินกลับเข้าป่าไป หลังเขางองุ้มบ่งบอกถึงภาระหนักที่เขารับ ไม่ได้น่าเกรงขามเช่นที่นางเห็นคราวแรก ท่านพ่อในชาติแรกของนางเป็นชายชาติทหาร ดังนั้นนางจึงได้เห็นท่าทางองค์อาจของเขาเสมอ ขณะที่บิดาในชาตินี้เป็นเพียงพรานป่า แต่ครั้งแรกที่เห็นเขานางสามารถบอกได้ว่าเขาเป็นยอดฝีมือ แต่กลับต้องมาจมปลักอยู่ที่เดิมเพียงเพราะครอบครัว ซ่ง...แซ่เดียวกันกับแซ่เดิมในชาติแรกของนาง แปลว่าบิดาของนางอาจมีเชื้อสายรองของตระกูลซ่งที่พลัดหลงออกจากตระกูล ได้ยินว่าบิดาเป็นบุตรบุญธรรมของท่านตา อาจเป็นไปได้ว่าท่านพ่อจะมีความเกี่ยวพันทางสายเลือดกับตระกูลเก่าของนาง ด้วยรูปลักษณ์ของท่านพ่อก็คล้ายกับคนจากตระกูลทหารอยู่เหมือนกัน แต่นางก็ไม่ได้อยากจะเกี่ยวดองกับตระกูลเก่าหรอก อย่างไรนั่นก็ตระกูลกบฎ เฟิงลี่เดินกลับบ้านเอง นางจำทางได้นิดหน่อยจึงไม่หลง เมื่อกลับมาถึงนางก็เริ่มย่างเห็ดเพื่อใช้สำหรับแกงเห็ดไปส่งมารดาและพี่ชายในตอนเช้าวันพรุ่ง มือน้อยหยิบฟืนขึ้นมา ก่อนจะนำมากระทบกันแรงๆหลายครั้งเพื่อให้ติดไฟ แต่อย่างไรมันก็ไม่ติดเสียที ‘เอ...ปกติเขาก่อไฟกันยังไงล่ะ’ [โฮสต์สามารถเข้าไปดูเครื่องมือช่วยเหลือของระบบได้ อาจมีบางสิ่งที่ช่วยท่านได้] ‘เครื่องมือช่วยเหลือ...ใช่แล้ว!’ เฟิงลี่เปิดหน้าระบบขึ้นมา ก่อนจะเข้าไปในร้านค้าเครื่องมือที่เพิ่งจะปลดล็อกหลังจากนางทำภารกิจเสร็จสิ้น มี2อย่างที่ไม่เป็นสีทึบ อย่างหนึ่งคือ -แผนที่ระดับE ซึ่งจะแสดงแผนที่โดยรอบระยะ5เมตร รวมถึงความเคลื่อนไหวรอบๆ ทั้งสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ และมนุษย์ และทุกวันจะมีคำแนะนำสำหรับการตามหากิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับภารกิจให้วันละครั้ง ใช้10แต้มในการซื้อ และการอัพเกรดก็แพงมาก อีกอย่างเป็น -ตำราสมุนไพรระดับFซึ่งใช้100แต้มในการซื้อ แต่จะเป็นข้อมูลที่ละเอียดและจะแถมตำรายาสมุนไพรมา1ตำรับ ซึ่งเฟิงลี่อยากได้แผนที่ก็จริง แต่นางยังต้องใช้แต้มในการซื้อน้ำวิเศษบำรุงครอบครัวก่อน ดังนั้นนางทำได้แค่ใจเย็นและเฝ้ารอ กว่าท่านพ่อจะกลับมาก็เย็นแล้ว เฟิงลี่ที่ไม่ประสบความสำเร็จกับการก่อไฟก็ได้แต่รอท่านพ่อกลับมา โดยกินน้ำข้าวที่เหลืออยู่ในหม้อประทังความหิว เมื่อซ่งจิ้นกลับมา เขาแปลกใจที่เห็นในบ้านทั้งมืดและเงียบสนิท เขารีบวิ่งเข้าไปในบ้านทันที แต่เมื่อเห็นว่าบุตรสาวนั่งยิ้มอยู่หน้าบ้านเขาก็โล่งใจ “อาลี่ทำไมไม่ก่อไฟล่ะลูก ใกล้ค่ำแล้วยุงเยอะ” “ท่านพ่อ ลูกก่อไฟไม่ติดเจ้าค่ะ” เฟิงลี่เอ่ยบอกตรงๆ ซ่งจิ้นไม่ได้ถามอะไร เขาเดินไปก่อไฟที่ห้องครัว โดยมีบุตรสาวเดินตามไปด้วย เฟิงลี่พยายามจดจำวิธีการก่อไฟเพื่อฝึกทำด้วยตนเอง หลังจากนั้นซ่งจิ้นก็ถูกไล่ให้เข้าบ้าน ขณะที่นางย่างเห็ดที่หามาได้ และเตรียมตากสมุนไพรไว้สำหรับต้มพรุ่งนี้ หลังจากย่างเห็ดทั้งหมดจนแห้งแล้ว เฟิงลี่หันไปคว้าหม้อเก่าๆใบหนึ่งมา ก่อนจะต้มเห็ดกับสมุนไพรที่มีรสชาติเปรี้ยว ไม่นานกลิ่นหอมก็โชยออกมา นางคว้าหม้อต้มน้ำข้าวมาอุ่น ก่อนจะเทลงไปในชามดินเผาและนำไปให้ท่านพ่อ ตอนนี้นางหนาวจนมือแข็งไปหมดแล้ว โชคดีที่นั่งอยู่หน้าเตาเลยคลายหนาวได้บ้าง ซ่งจิ้นเห็นบุตรสาวเดินตัวสั่นออกมาจากครัวก็รีบหยิบผ้าคลุมผืนใหญ่ผืนเดียวในบ้านไปห่อตัวบุตรสาวเอาไว้ ก่อนจะรับถาดไม้ที่ใส่อาหารไว้สี่ถ้วยมาจากมือนาง “กินก่อนเถอะลูก ช่วงค่ำๆดึกๆอากาศจะเย็นลงมาก เจ้าต้องรีบเข้านอนไม่เช่นนั้นอาจนอนไม่หลับ” ซ่งจิ้นเอ่ยอย่างปวดใจ นั่นเพราะเขาไม่เคยสังเกตเลยว่าสภาพที่บ้านย่ำแย่แค่ไหนแล้ว เขามัวแต่ตาบอดและเป็นห่วงแต่บ้านคนอื่นจนลืมสนใจบ้านตนเอง “ท่านพ่อกินเยอะๆนะเจ้าคะ ลูกต้มเห็ดอร่อยมาก” เฟิงลี่เอ่ยยิ้มๆ รอให้บิดาคีบเห็ดไปก่อนตนจึงคีบบ้าง หลังจากนั้นพ่อลูกก็กินข้าวเงียบๆ น้ำข้าวแดงที่เหลือนั้นเพียงพอแค่อุ่นท้องเท่านั้น “พรุ่งนี้เข้าเมือง หากเงินเหลือพ่อจะซื้อข้าวมาเพิ่ม” ซ่งจิ้นเอ่ยขึ้นมา เฟิงลี่ไม่ได้ตอบ หลังจากกินอิ่มนางก็เก็บถ้วยชามไป เด็กหญิงยืนชั่งใจมองถ้วยชามที่วางไว้ในกะละมังใส่น้ำ ดูแล้วน่าจะเย็นอย่างมาก ซ่งจิ้นที่ตามมารีบดึงให้บุตรสาวถอยไปแล้วตนเองนั่งลงล้างจานเอง เฟิงลี่รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าตนเองช่างไร้ค่าเหลือเกิน ในชนบทเช่นนี้นางแทบไม่รู้ว่าตนเองจะช่วยเหลือครอบครัวอย่างไร นอกจากความสามารถในการมองแยกแยะสมุนไพรเท่านั้น วันพรุ่งนางต้องต้มยาให้ทั้งครอบครัวกิน โชคดีที่นางได้ผสมน้ำวิเศษลงในโอ่งน้ำกินแล้ว ทำให้เวลาดื่มน้ำในโอ่งทั้งเฟิงลี่และซ่งจิ้นรู้สึกสดชื่นมากขึ้น และหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เนื่องจากเฟิงลี่โตแล้ว ซ่งจิ้นจึงนอนอีกห้องหนึ่ง ขณะที่นางนอนอีกห้องหนึ่ง วันนี้หมดลงหนึ่งวัน เป็นหนึ่งวันที่สุดแสนจะวุ่นวาย ไม่น่าเชื่อว่าเฟิงลี่มาถึงโลกนี้ได้เพียงสองวันเท่านั้น นางจะต้องรีบทิ้งนิสัยเก่าที่ทำอะไรไม่เป็นโดยเร็ว...อย่างน้อยวันนี้นางก็รู้วิธีก่อไฟแล้วอย่างนึง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม