หลัวหลิวหยางไม่ยอมเสียเวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เขรอะไปด้วยฝุ่นจากการไล่ล่าโจรป่า หากเขาไม่ได้นำทหารออกลาดตระเวนผ่านไปพอดี เรื่องจะหนักหนาเพียงใด มีผู้ใดเดินทางโดยไร้ผู้อารักขากันบ้าง เขาเข้ามาประจำการที่ชายแดนตะวันออกสองปี แม้จะสงบมากขึ้นกว่าแต่เดิมแต่ยังกวาดล้างโจรถ่อยไม่หมด รอยต่อระหว่างชายแดนสองแคว้นคือที่ซ่อนตัวที่ดีของโจรเหล่านั้น และเอกสารลงนามในสัญญาไม่ล่วงล้ำเขตแดนของแคว้น เขาจึงทำได้เพียงไล่ล่าไปสุดเขต เมื่อพวกโจรชั่วหลบเร้นเข้าไปในแนวป่าก็ไม่อาจข้ามเขตเข้าไปได้จับกุมได้
“หูซาน!”
“ขอรับท่านแม่ทัพ”
“ให้คนไปดูซากรถม้า ดูตราบนรถม้าและข้าวของที่มีในรถมาด้วย”
“รับทราบ”
หูซานเป็นทหารคนสนิทร่วมรบมาหลายปี เมื่อได้รับคำสั่งก็หมุนตัวออกไปอย่างไม่ลังเล เขาเดินสวนกันบ่าวที่เดินนำหมอทหารเข้ามาด้านใน
“ท่านแม่ทัพ ท่านหมอมาแล้วขอรับ”
มือที่แกะเสื้อเปื้อนเลือดอยู่ชะงักไป หัวคิ้วขมวดยุ่งเหยิง เขาสูดลมหายใจลึกก่อนแหวกสาบเสื้อของเด็กหนุ่มออก หลัวหลิวหยางเงยตัวขึ้นแล้วยกมือเป็นสัญญาณให้ทั้งหมอและบ่าวรับใช้ชายหยุดที่ประตู
“เจ้าไปเชิญแม่นมเหมยกุ้ยมาที่นี่ก่อน”
“ขอรับ”
บ่าวไพร่ในจวนแม่ทัพพิทักษ์บูรพาเคยชินกับการรับคำสั่ง ไม่ว่าผู้เป็นนายสั่งอะไรไม่มีใครกล้าตั้งคำถามหรือขัดคำสั่ง เขาหันมาทางหมอทหารแล้วเอ่ย
“ท่านหมอโปรดรอสักครู่” แม้น้ำเสียงที่ใช้จะเบาลงแต่ความหนักแน่นผสานแรงกดดันทำให้คนเป็นหมอถึงกับเหงื่อตก
หรือจะเป็นคนพิเศษของท่านแม่ทัพอหังการ์ผู้นี้
หลัวหลิวหยางรู้ดีว่าการรักษาคนไม่ควรประวิงเวลา แต่สถานการณ์นี้เขาไม่มั่นใจว่าจะทำอย่างไรกับ ‘เด็กหนุ่ม’ ผู้นั้น จะว่าไปเขาไม่ได้สนใจชื่อเสียงของตนเองจะมัวหมอง และตอนที่เข้ามาทุกคนคงเห็นแล้วว่าเขา ‘อุ้ม’ คนเจ็บเข้ามาด้วยตนเอง
เสียงครางด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น เรียกสติของแม่ทัพหนุ่มวัยยี่สิบหกให้หันไปมอง เขาหมุนตัวเดินไปก้มมอง แขนซ้ายมีรอยบาดเป็นทางยาว ดูแล้วไม่น่าจะลึกแต่เลือดไหลออกมามาก แต่ส่วนที่น่าจะเจ็บที่สุด น่าจะเป็นข้อเท้าขวาของนาง
“แม่นมเหมยกุ้ยมาแล้วขอรับ”
“ท่านแม่ทัพ”
แม่นมเหมยกุ้ยเป็นสตรีวัยสี่สิบสองที่ท่านแม่ทัพให้ความเคารพดุจญาติผู้ใหญ่ นางยกชายกระโปรงก้าวเร็วๆ เข้าไปหา พอเห็นสภาพคนที่นอนหมดสติบนเตียงก็อุทานออกมา
“รบกวนแม่นมแล้ว”
“ได้ๆ ทางนี้ข้าจัดการเอง” นางรับคำอย่างรู้หน้าที่ “เด็กๆ ไปยกน้ำอุ่นมา ผ้าสะอาดด้วย ห้ามผู้ชายเข้าใกล้ และขอเชิญท่านมาทางนี้เจ้าค่ะ”
แม่นมเหมยกุ้ยสั่งการรวดเร็ว หลัวหลิวหยางถอนหายใจเบาๆ แล้วหมุนตัวเดินออกมา เพียงยกเท้าพ้นธรณีประตู เสียงแม่นมก็ดังไล่หลังมาทันที
“ข้าสั่งคนเตรียมน้ำอุ่นให้ท่านแม่ทัพแล้ว ท่านควรผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้วนะเจ้าค่ะ”
“ข้าทราบแล้ว”
มุมปากของหลัวหลิวหยางยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม แต่เพราะใบหน้าดุดันอยู่เป็นนิจจึงแทบไม่เห็นรอยยิ้มนั้น ในจวนแห่งนี้มีสตรีน้อยมาก บ่าวไพร่ที่เป็นหญิงล้วนมีแม่นมเหมยกุ้ยคัดเลือกเข้ามาทำงาน เขาจึงวางใจเรื่องเหล่านี้บ้าง รวมทั้งพ่อบ้านที่แม่นมคัดเลือกมา จวนที่ไร้ฮูหยินมาดูแล จึงมีแต่แม่นมเหมยกุ้ยที่เลี้ยงดูเขาตั้งแต่กำเนิดคอยจัดการเรื่องต่างๆ ด้วยนางไร้ญาติขาดมิตร บิดามารดาของเขาตั้งใจเลี้ยงดูนางให้อยู่เมืองหลวง แต่เมื่อเขาต้องมาประจำการที่ชายแดน มารดากลัวจะไม่มีผู้ใดดูแลความเป็นอยู่ของเขา มารดาจึงส่งแม่นมเหมยกุ้ยมาที่นี่
หลัวหลิวหยางกลับมาถึงห้องพักของตนเอง บ่าวชายมาช่วยปลดเสื้อเกราะออก เขาโบกมือไล่แล้วพาร่างเปลือยเปล่าลงแช่น้ำอุ่นที่ห่างหายไปนานเจ็ดหรือแปดวัน ใช้ชีวิตทหารจนชินชา แต่ผู้อื่นนั้นไม่ชินเช่นเขา เหมือนภรรยาคนงามที่มารดาคัดเลือกให้ เขาแต่งภรรยาคนแรกตอนอายุสิบแปด เข้าพิธีเสร็จวันรุ่งขึ้นก็ต้องเดินทางออกรบ ออกรบครั้งนั้นการศึกยืดเยื้อเขาถูกฝ่ายตรงข้ามจับกุมตัวไปสิบวัน ปล่อยข่าวว่าเขาถูกฆ่าแล้ว ทำให้ภรรยาคนงามตรอมใจจนป่วยไข้ กว่าเขาจะเอาชีวิตรอดกลับมาได้กับชัยชนะ นางป่วยหนักจนตายจากไป หลังจากนั้นสามปี มารดาหมั้นหมายบุตรสาวเสนาบดีเป็นภรรยาให้เขา แต่ยังไม่ทันไรนางก็ตกน้ำเสียชีวิตไปก่อน นับจากนั้น ชื่อเสียงของเขาก็โด่งดังไปทั่วเมืองอย่างที่เขาไม่อยากให้มันเป็นนัก
หลังผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว บ่าวรับใช้เข้ามารายงานว่าท่านหมอได้ทำการรักษาเรียบร้อยแล้วและรอเขาไปพบเพื่อรายงาน แม่ทัพหนุ่มพยักหน้ารับ เขาก้าวยาวๆ เดินกลับมาที่เรือนรับรอง ท่านหมอล้างมือเสร็จพอดีจึงประสานมือคารวะและรายงาน
“โชคดีมาก บาดแผลที่ศีรษะเป็นแค่ฟกช้ำ ส่วนที่แขนซ้ายนั้นเป็นรอยบาดไม่ลึก ห้ามเลือดและพันแผลเรียบร้อยดี ที่รุนแรงที่สุดเป็นข้อเท้าขวา เส้นเอ็นที่ข้อเท้าฉีกขาด ทำให้เจ็บปวดมากต้องรักษาอย่างน้อยหนึ่งเดือนจึงจะกลับมาเดินได้ปกติ”
“อย่างนั้นรึ”
ท่านหมอค้อมตัว “ข้าจะเขียนเทียบยาให้ ระวังอย่าให้...เดินลงน้ำหนักเท้าข้างที่เจ็บ ถ้าเป็นไปได้นอนนิ่งๆ อยู่บนเตียง ขยับตัวให้น้อยจะดีที่สุดขอรับ”
“อืม ขอบคุณท่านหมอ”