ภายในจวนราชครูโจว บุตรสาวคนเล็กที่เกิดจากฮูหยินเพียงหนึ่งเดียว เร่งฝีเท้ารีบเดินเข้ามาในห้องโถงของจวนเพราะเกรงว่าจะไม่ทันกาล นางกลัวว่าบิดาจะออกเดินทางเข้าวังหลวงไปเสียก่อน
“ท่านพ่อให้ลูกเข้าร่วมงานนี้ด้วยนะเจ้าคะ ลูกอยากพบหน้าท่านอ๋องหนาน ลูกไม่ได้เจอท่านอ๋องเป็นเดือนแล้ว”
หญิงสาววัย18ปี แต่งกายด้วยอาภรณ์สีแดงเพลิง ตัดกับผิวพรรณที่ขาวเนียนละเอียดของนางได้อย่างลงตัว ใบหน้างามหยาดเยิ้ม วันนี้แต่งแต้มจนเข้มกว่าในยามปกติ ริมฝีปากแต้มชาดสีแดงสดสีเดียวกับอาภรณ์ มองอย่างไรก็เหมือนนางมารน้อยเข้าไปทุกที
“เฮ้อ!! ลี่เออร์ ท่านอ๋องไม่ได้สนใจเจ้าเลยสักนิด เมื่อไหร่เจ้าจะเลิกตามตอแยท่านเสียที”
โจวเยี่ยนลูบหัวบุตรสาวคนเล็กของเขา ด้วยแววตาห่วงหาอาทร ถึงบุตรสาวคนนี้จะมีนิสัยร้ายกาจ แตกต่างไปจากพี่น้องคนอื่นๆ และเอาแต่ใจสักเพียงใด แต่เขากับฮูหยินก็รัก และพร้อมจะมอบแต่สิ่งดีๆให้นางมาโดยตลอด
“ความรักต้องใช้เวลานะเจ้าคะท่านพ่อ ลูกจะให้เวลาท่านอ๋องได้รู้ใจตนเอง”
ริมฝีปากสีแดงสดแย้มยิ้มออกมาอย่างให้กำลังใจตนเอง เหมือนอย่างที่เคยทำมาตลอด 3 ปี ใช่แล้วนางตามเกี้ยวตามรักท่านอ๋องหนานกงชิง มา3ปีแล้ว ตามตอแยมานานเพียงนั้น แม้แต่ชายเสื้อท่านอ๋องนางก็มิเคยได้สัมผัส!!
ตำหนักอ๋องหนานกงชิง
“งานในวันนี้อย่าให้นางเข้าใกล้ข้าได้ รำคาญ”
เสียงเข้มกล่าวกับองครักษ์คนสนิท โดยไม่ต้องระบุว่าเขารำคาญใคร องครักษ์ก็เข้าใจในคำสั่งการได้ดี เนื่องจากในเมืองหลวงนี้มีสตรีแค่นางเดียว ที่ตามตอแยท่านอ๋องหนานกงชิงอยู่เสมอ
“ขอรับ แล้วท่านอ๋องไม่ชอบพอคุณหนูโจวบ้างเลยหรือ คุณหนูโจวนางมีใบหน้าที่งดงามล่มเมืองเสียขนาดนั้น”
ยามที่ไม่ได้อยู่ต่อหน้าพระพักตร์องค์ฮ่องเต้ องครักษ์หนุ่มกับท่านอ๋องหนาน จะพูดคุยกันด้วยถ้อยคำสามัญตามที่ท่านอ๋องต้องการ เพราะเขาไม่ใช่คนเจ้ายศเจ้าอย่าง อีกทั้งองครักษ์ฟานยังเป็นเพื่อนสนิท ที่ร่วมเรียนวิชามาด้วยกันตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็ก
“งามล่มเมืองแล้วอย่างไร นิสัยของนางข้าไม่ถูกใจก็เปล่าประโยชน์”
เพียงชั่วครู่ที่อ๋องหนาน นึกถึงใบหน้างามหยาดเยิ้มที่เคยตรึงใจ แต่ก็รีบสะบัดความคิดออกไปทันที เมื่อแรกพบเขาเคยใจเต้นแรงเมื่อเจอหน้านาง แต่พอได้เห็นนิสัยที่ร้ายกาจ และพฤติกรรมก้าวร้าวไม่ยอมใคร อ๋องหนุ่มก็เลิกสนใจโจวลี่เซียนทันที และไม่เคยใจเต้นแรงกับใครอีกเลย
“แล้วกับคุณหนูจ้าว บุตรีของเสนาบดีคลังล่ะขอรับ”
ฟานจงกำลังกล่าวถึงจ้าวอิงเถา บุตรีคนรองของเสนาบดีจ้าวเถียน สตรีที่มีความงดงามอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อเทียบกับโจวลี่เซียน ก็ยังถือว่าด้อยกว่าอยู่หลายส่วน
“ค่อยๆดูไป ข้ายังไม่ได้รู้สึกรัก หรือชอบสตรีนางใดทั้งนั้น”
“ดีนะขอรับที่ท่านอ๋อง มีป้ายอาญาสิทธิ์จากฝ่าบาทพระองค์ก่อน ในการขอเลือกคู่ครองด้วยตนเอง ไม่เช่นนั้นฝ่าบาทคงได้มอบสมรสพระราชทานให้พระองค์นานแล้ว”
ฟานจง เอ่ยไปตามที่คิดเพราะท่านอ๋องหนานปีนี้ก็อายุ30ปีแล้ว แต่ก็ไม่เคยมีแม้แต่สตรีอุ่นเตียงเลยสักคน ถ้าฝ่าบาทองค์ก่อนกับไทเฮายังมีชีวิตอยู่ คงได้ปวดหัวกับโอรสองค์เล็กของทั้งสองพระองค์มากแน่ๆ ที่ไม่ยอมแต่งพระชายาเข้าตำหนักเลยสักคน
“อืม เอารถม้าออกเถอะจวนจะได้เวลาเริ่มงานเลี้ยงแล้ว”
“ขอรับ”
งานเลี้ยงวันพระราชสมภพของฮ่องเต้หนานเจ๋อติง แห่งแคว้นหนาน จัดขึ้นบริเวณโถงพิธีการของวังหลวง
“ท่านพ่อท่านแม่ พี่ใหญ่ พวกเราไปนั่งใกล้ๆท่านอ๋องหนานไม่ได้หรือเจ้าคะ”
น้ำเสียงหวานกระซิบถามคนในครอบครัว เมื่อเห็นว่าตระกูลของตนเอง ได้ที่นั่งห่างไกลจากบุรุษที่นางเฝ้าคิดถึงอยู่ทุกวันเวลาเสียเหลือเกิน จะมองใบหน้าก็เกือบจะไม่เห็นเช่นนี้ไม่ดีแน่ๆ
“ที่นั่งฝั่งตรงนู้นมีตระกูลอื่นจับจองที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว พวกเรามาทีหลังก็ต้องนั่งบริเวณที่ว่าง ลี่เออร์เจ้าอย่าเสียมารยาท”
ราชครูโจว เอ่ยเตือนบุตรสาวด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม สิ่งใดที่ต้องตักเตือนบุตรสาวให้รับรู้กาละเทศะ เขาก็ต้องกระทำ ถึงแม้ว่านางจะรับฟังหรือไม่ก็ตาม
“เฮ้อ ท่านแม่ช่วยลูกให้ได้เข้าไปพูดคุยกับท่านอ๋องด้วยนะเจ้าคะ”
“ลี่เออร์ เชื่อฟังท่านพ่อของเจ้าเถิด งานในวันนี้เป็นงานสำคัญ เจ้าอย่าเสียมารยาทกับท่านอ๋องเลย” โจวฮูหยินเอ่ยปรามบุตรสาวเบาๆ
“เจ้าค่ะท่านแม่”
ถึงแม้ในใจจะไม่ยอมรับ แต่โจวลี่เซียนก็จำต้องยอมรับปากมารดาไปเสียก่อน เอาไว้นางค่อยหาโอกาสเข้าใกล้ท่านอ๋องในภายหลังให้จงได้
เมื่อนั่งอยู่ในงานเลี้ยงนานจนรู้สึกเบื่อหน่าย โจวลี่เซียนจึงได้เอ่ยขออนุญาตมารดา ออกจากห้องโถงจัดเลี้ยง เพื่อออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์บริเวณสระบัวของวังหลวง
เนื่องจากงานเลี้ยงในวังหลวงนั้น สาวใช้คนสนิทในจวนไม่สามารถเข้าร่วมงานเลี้ยงด้วยได้ โจวลี่เซียนจำต้องออกไปเดินเล่นเพียงลำพัง เพราะท่านแม่ต้องอยู่กับท่านพ่อของนาง ส่วนพี่ชายใหญ่ของนาง ก็ปลีกตัวไปนั่งรวมกลุ่มกับสหายสนิทของเขาแล้ว
“ท่านแม่ ลูกอยู่ในงานเลี้ยงนี้ช่างน่าเบื่อยิ่งนัก ขอออกไปเดินเล่นด้านนอกสักครู่นะเจ้าคะ”
“ดูแลตัวเองดีๆ เจ้าโตแล้วแม่เลยอนุญาตให้ออกไปคนเดียวได้”
“เจ้าค่ะท่านแม่ ยามนี้เป็นเวลากลางวันไม่มีอะไรน่ากังวล สตรีคนอื่นๆก็ออกไปเดินเล่นชมสวนกันทั้งนั้น”
โจวฮูหยินจำต้องปล่อยให้บุตรสาว ออกไปเดินเล่นที่สวนด้านนอกของพระราชวังเพียงลำพัง เพราะชีวิตก็เป็นเยี่ยงนี้นางจำต้องฝึกฝนที่จะทำอะไรคนเดียวดูบ้าง เผื่อในภายภาคหน้าที่ไม่มีบิดามารดาอยู่เคียงข้างแล้ว นางจะได้เอาตัวรอดได้
บริเวณสระบัวของพระราชวัง
ดวงตากลมโตจ้องมองไปยังหนึ่งบุรุษองอาจ ที่อยู่ในห้วงคะนึงฝันของนางอยู่ทุกค่ำคืน ยืนเคียงคู่อยู่กับสตรีที่เปรียบดั่งคู่แค้นของนางมาแต่ชาติปางก่อน ทั้งสองยืนพูดคุยกันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มมีความสุข ช่างแตกต่างจากยามที่เขาเห็นหน้านางเสียเหลือเกิน
ใจดวงน้อยๆเจ็บปวดจนแทบยืนไม่ไหว แต่ด้วยนิสัยไม่เคยยอมแพ้ใคร จึงได้เดินเข้าไปขัดจังหวะการสนทนา ที่ช่างหอมอบอวลไปด้วยกลิ่นของดอกหลันฮวาในยามเช้านั้นเสีย
“ท่านอ๋องเพคะ ทรงประทับอยู่ที่นี่เอง หม่อมฉันมองหาพระองค์อยู่ตั้งนาน”
“มีอะไร ถ้าไม่มีข้าขอเวลาส่วนตัว” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่ไว้หน้าสตรีที่เดินเข้ามาใหม่เลย
เมื่อเห็นว่าท่านอ๋องหนาน ไม่ต้องการเสวนากับนางมากเท่าไหร่ ในใจก็ยิ่งเกิดความอิจฉาริษยา สตรีที่เขาเต็มใจพูดคุยด้วยมากเท่านั้น จึงได้หันไปจัดการศัตรูหัวใจแทนที่จะดันทุรังพูดคุยกับท่านอ๋องต่อ
“หม่อมฉันขอพูดคุยกับจ้าวอิงเถาสักครู่นะเพคะ”
เมื่อพูดขออนุญาตจบ โดยที่ไม่รอให้ใครตอบรับคำขอ โจวลี่เซียนก็ดึงแขนจ้าวอิงเถาให้เดินตามนางมา พอเห็นว่าอยู่ห่างจากจุดที่อ๋องหนานยืนอยู่แล้ว ลี่เซียนก็ตะคอกด่าจ้าวอิงเถาทันที
“จ้าวอิงเถา ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้วว่า อย่ามาเข้าใกล้ท่านอ๋องหนานของข้า”
“ฮ่า ฮ่า เจ้าเป็นใครโจวลี่เซียน จึงมาสั่งการข้าแล้วข้าจักได้เชื่อฟังเจ้า เรื่องแบบนี้ห้ามข้าคนเดียวได้อย่างไร เจ้าก็เห็นแล้วว่าท่านอ๋องหนานพึงใจข้าสักแค่ไหน”
“จะ….เจ้า สงสัยคงต้องได้เจ็บตัวก่อนใช่หรือไม่ ถึงจะยอมเชื่อฟังคำพูดของข้า”
น้ำเสียงเกรี้ยวกราดเอาแต่ใจ ตวาดขึ้นเสียงดังยิ่งกว่าเดิม จนบุรุษสูงศักดิ์ที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ห่างๆ ได้ยินเสียงทะเลาะกันอย่างชัดเจน
ลำขาแกร่งกำลังก้าวเดินเข้าไป เพื่อจะจัดการกับสถานการณ์อันน่ารำคาญตรงหน้า แต่กลับกลายเป็นว่าเขาต้องได้กระโดดลงไปในน้ำ เพื่อช่วยชีวิตสตรีที่ร่างจมดิ่งลงไปในสระบัว
ตู้มมมมมมม!!!!
“กรี๊ดดดดด”