การเดินทางโดยรถม้าผ่านไปแล้ว7วัน ด้วยเพราะโจวลี่เซียนใช้รถม้าที่ไม่มีสัญลักษณ์ของจวนราชครู จึงได้เดินทางราบรื่น เสมือนชาวบ้านที่กำลังเดินทางออกนอกเมืองหลวง มีผู้ติดตามของบิดานั่งประจำที่นั่งของคนขับรถม้าทั้งสองคน
“คุณหนูขอรับ เมื่อถึงโรงเตี๊ยมที่อยู่ข้างหน้า พวกเราต้องจอดรถม้าฝากไว้ที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ และนอนพักค้างแรมที่นี่สักคืน พรุ่งนี้เช้าพวกเราจะเดินเท้าเข้าไปในป่านะขอรับ เพราะต้องเดินขึ้นเขาที่มีเส้นทางยากลำบาก รถม้าไม่สามารถขับขึ้นไปได้”
“อืม พวกท่านทำตามที่เห็นสมควรเถิด”
หญิงสาวที่อยู่ในชุดสีดำรัดกุมเยี่ยงบุรุษ ทั้งยังสวมผ้าปิดบังใบหน้าเอาไว้ เพื่อความปลอดภัยในการเดินทางไกล ได้กล่าวตอบผู้ติดตามทั้งสองคนด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ได้หวั่นเกรงต่อความยากลำบากใดๆเลย
เพราะยิ่งกาลเวลาเคลื่อนผ่านไปมากเท่าไหร่ นับจากวันที่ลี่เซียนจดจำอดีตชาติของตนเองได้ ภาพความทรงจำตอนที่เป็น เอลิเซีย สายลับมือหนึ่ง ก็ยิ่งเด่นชัดมากเท่านั้น
ยามนี้ทุกความทรงจำในอดีตชาติ ได้หลวมรวมเข้ากับโจวลี่เซียนในภพนี้ กลายเป็นนางคนใหม่ที่มีแต่ความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว ฝีมือการต่อสู้ก็หวนคืนกลับมาเกือบจะเต็มร้อยส่วนแล้ว
ทั้งสามคนเข้าพักที่โรงเตี๊ยมขนาดกลาง ที่มีสภาพภายนอกทรุดโทรม แต่ภายในดูสะอาดสะอ้านดี คงมีไว้สำหรับต้อนรับนักเดินทางทั่วๆไป ลี่เซียนกวาดสายตามองไปรอบๆโรงเตี๊ยมด้วยความเคยชิน
พลันสายตาไปสะดุดเข้ากับบุรุษหน้านิ่งที่นางรู้จักดี ทั้งยังสงสัยว่าเขามาทำอันใดที่นี่ยามนี้ แต่ด้วยคิดว่าตนเองยังคงสวมผ้าปิดบังใบหน้าอยู่ ลี่เซียนจึงไม่ได้เดินไปทักทายบุรุษผู้นั้น และกำลังจะเดินผ่านขึ้นไปบนชั้นสอง เพื่อเข้าห้องพักที่นางจองไว้
“โจวลี่เซียน เจ้าจะไปไหน”
เสียงบุรุษที่ลี่เซียนตั้งใจไม่เดินไปทักทายดังอยู่ข้างหลังของนาง ลี่เซียนจำต้องหันหลังกลับมา เพื่อทักทายบุรุษผู้นั้นตามมารยาท
“คารวะท่านอ๋องเพคะ”
“อืม แล้วเจ้ามาทำอะไรที่นี่ ในเวลาเย็นค่ำเช่นนี้”
ทั้งๆที่พอจะรู้อยู่บ้าง แต่อ๋องหนานก็ยังเอ่ยปากถามโจวลี่เซียนออกไป เพราะอยากรู้ว่านางจะตอบเขาเช่นไร
“หม่อมฉันมาทำธุระส่วนตัวเพคะ”
คำว่าธุระส่วนตัว ก็บ่งบอกแล้วว่าไม่สะดวกตอบคำถาม อ๋องหนานจึงไม่ได้คาดคั้นเอาคำตอบจากนาง แต่เขากลับเดินนำหน้านางมุ่งหน้าไปยังห้องพักของตนเอง ซึ่งอยู่ห้องข้างๆกันกับห้องพักของโจวลี่เซียนนั่นเอง
ลี่เซียนเพียงแค่ปรายตามอง ไม่ได้สอบถามอะไรออกไป ให้อ๋องหนานกงชิงรำคาญใจ เพราะนางจดจำได้ว่าเขาไม่ชอบพูดคุยกับนาง จึงทำเพียงก้มหัวลงร่ำลา แล้วเปิดประตูห้องพักของตนเองอย่างแผ่วเบา เพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาทต่อหน้าเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์
ถ้าโจวลี่เซียนหันมามองด้านหลังสักนิด จะพบเห็นแววตาตัดพ้อน้อยใจ จากบุรุษหน้าน้ำแข็ง ที่นางเข้าใจมาตลอดว่าเขาไม่อยากสนทนากับนางให้รำคาญใจ
‘ใจคอเจ้าจะตัดขาดจากข้าไปจริงๆหรือ โจวลี่เซียน’
อ๋องหนานกงชิงก็มีนิสัยเช่นนี้ พอได้มาพบเจอกับโจวลี่เซียน ก็ไม่กล้าพูดคุยไปมากกว่านี้ เขาให้ฟานจงตามสืบข่าวว่านางเดินทางไปที่ไหน จนได้รับรู้ว่านางเดินทางมาร่ำเรียนวิชาแพทย์ กับหมอเทวดานามว่า ไท่จงเสียน
จึงได้เดินทางตามมาส่งห่างๆ ไม่ให้เป็นที่สังเกตของผู้ติดตามทั้งสองคน ที่ราชครูโจวสั่งการให้เป็นผู้มาส่งบุตรสาว แต่พอถึงโรงเตี๊ยมที่พัก เขาก็อดไม่ได้ที่จะแสดงตัวให้โจวลี่เซียนพบเห็น เพราะอยากพูดคุยด้วย ก่อนที่จะต้องจากลากันเนิ่นนาน
ถึงแม้นางจะแต่งกายมิดชิดเยี่ยงบุรุษ สวมอาภรณ์ที่เขาไม่เคยเห็นนางสวมใส่ ทั้งยังใช้ผ้าสามเหลี่ยมปิดบังใบหน้าเอาไว้ แต่เขาก็ยังจดจำดวงตาของนางได้เป็นอย่างดี ดวงตากลมโตที่มีแพขนตาหนา จนดูหวานซึ้งน่ามองยิ่งนัก
ตอนแรกนึกว่าโจวลี่เซียนจะเดินมาทักทายเขา แต่นางกลับเดินผ่านไปเสียอย่างนั้น จนเขาต้องเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายก่อน แต่ก็ได้พูดคุยกันแค่เพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้น ในเวลานี้อ๋องหนานกงชิง เริ่มเข้าใจความรู้สึกของโจวลี่เซียน ที่คอยวิ่งตามเกี้ยวเขามาตลอด3ปีแล้ว
.
.
.
.
เช้าตรู่ของวันใหม่ลี่เซียนรีบจัดการตนเองให้เรียบร้อย แล้วเดินลงมาด้านล่างโรงเตี๊ยม ด้วยรูปลักษณ์รัดกุมเยี่ยงบุรุษเช่นเดิม ใบหน้าก็ยังคงปกปิดด้วยผ้าสามเหลี่ยมผืนบาง เพราะสะดวกใจที่จะไม่ให้ใครพบเห็นใบหน้าของนาง ที่อาจนำพาความวุ่นวายมาให้ระหว่างการเดินทาง
“คุณหนู กินอาหารเช้าก่อนเดินทางเสียหน่อยเถิดขอรับ”
ฝานคง หนึ่งในผู้ติดตามเชิญคุณหนูของเขา นั่งลงกินอาหารเช้าที่เขาสั่งไว้เตรียมพร้อมแล้ว
“อืม พวกท่านก็มานั่งกินด้วยกันเถิด จะได้รีบเดินทาง”
“ขอรับ/ขอรับ”
ฝานคง กับไห่เทียน สองผู้ติดตามตอบรับคำสั่งอย่างว่าง่าย เพราะรับรู้นิสัยของคุณหนูของพวกเขาว่าเป็นคนไม่ถือตัว จากการเดินทางร่วมกันมาเป็นเวลา7วันแล้ว
เช้านี้ในห้องอาหารของโรงเตี๊ยม มีผู้คนที่มาใช้บริการห้องพัก ออกมานั่งกินอาหารเช้ากันอย่างคับคั่ง เพราะเส้นทางนี้เป็นเส้นทางผ่านเข้าสู่ยุทธภพ จึงได้พบเห็นผู้คนที่แต่งกายแบบชาวยุทธ์ นั่งกินอาหารเช้าอยู่ภายในโรงเตี๊ยมเป็นจำนวนไม่น้อยเลย
โจวลี่เซียนปลดผ้าคลุมใบหน้าออก เพื่อจะได้รับประทานอาหารเช้าได้สะดวก ทันใดนั้นสายตาของบุรุษทุกคนที่อยู่ในห้องอาหาร ต่างจ้องมองมายังนาง ด้วยอาการตกตะลึงตาค้าง ด้วยไม่คาดคิดว่าจะพบเจอสาวงามล่มเมืองอยู่ในโรงเตี๊ยมโทรมๆเช่นนี้
บุรุษที่นั่งหลบอยู่โต๊ะมุมหนึ่งของห้องอาหาร รู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านในอารมณ์ เมื่อพบเห็นอาการของบุรุษหนุ่มทุกคนที่อยู่ในห้องอาหาร ซึ่งกำลังจ้องมองสตรีชุดดำที่ปลดผ้าคลุมใบหน้าออก กรามแกร่งกัดเข้าหากันด้วยความไม่พอใจ
“ฟานจง เจ้ามีหน้ากากครึ่งใบหน้าหรือไม่”
“เอ่อ ไม่มีขอรับ ท่านอ๋องจะใส่หน้ากากหรือขอรับ”
“อืม ช่างเถอะ”
ลี่เซียนกับผู้ติดตามทั้งสอง ต่างรีบกินอาหารเช้าให้อิ่ม เพื่อจะได้รีบเดินทางขึ้นเขาแต่เช้าตรู่ เพราะไม่อยากไปถึงที่พักของหมอเทวดามืดค่ำจนเกินไป
เพราะเส้นทางไปที่พักของหมอเทวดานั้น ค่อนข้างอันตราย ต้องเดินเลียบเส้นทางที่มีหุบเหวลึกหลายจุด และอาจจะมีโจรป่าผ่านทางมาได้ แต่ขณะที่ทั้งสามคนกำลังเร่งรีบรับประทานอาหารอยู่นั้น ก็มีเสียงบุรุษที่ไม่คุ้นเคยเอ่ยทักทายขึ้นมา
“แม่นาง เจ้าจะเดินทางไปที่ไหนหรือ ให้ข้านำทางหรือไม่ ยุทธภพนี้ข้าค่อนข้างรู้จักเส้นทางดี”
บุรุษผู้หนึ่งที่แต่งกายแบบชาวยุทธ์ เดินเข้ามาทำความรู้จักกับสตรี ที่มีใบหน้างดงามที่สุด ตั้งแต่เขาเคยพบเจอสตรีมา จึงไม่อยากปล่อยโอกาสดีๆเช่นนี้ ในการทำความรู้จักกัน
“ข้ามีผู้นำทางแล้ว ไม่รบกวนท่าน”
ลี่เซียนเอ่ยตอบไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เพราะไม่ได้อยากรู้จักบุรุษผู้นี้ แต่ก็ไม่อยากเสียมารยาทกับชาวยุทธ์ จนนำพาไปสู่ปัญหาใหญ่
“ใช่ นางมีผู้นำทาง และผู้ติดตามมากเพียงพอแล้ว”
บุรุษที่มีใบหน้าถมึงทึง บ่งบอกว่าอยู่ในอารมณ์ไม่พอใจ เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ ขณะเดินเข้ามาที่โต๊ะของโจวลี่เซียน
ชาวยุทธ์หนุ่มเมื่อเห็นว่าสตรีผู้งดงาม มีบุรุษติดตามมาด้วยหลายคน และบุรุษหนึ่งในนั้นก็ดูท่าทางสูงศักดิ์ จึงได้ล่าถอยเดินกลับไปที่โต๊ะของตนเอง เพราะไม่อยากมีปัญหากับผู้มีอำนาจให้ตนเองเดือดร้อน
“ข้าจะตามไปส่ง เจ้าก็เห็นแล้วว่าโลกภายนอกอันตรายเพียงใด ห้ามปฏิเสธด้วย ให้นึกถึงบิดามารดาของเจ้า ที่กำลังเป็นห่วงบุตรสาวอยู่ที่จวน”
น้ำเสียงเฉยชาเอ่ยขึ้น โดยไม่ยอมเปิดโอกาสให้ลี่เซียนพูดปฏิเสธตนได้ ทั้งยังยกเอาความห่วงใยของบิดามารดามาเป็นเหตุผล เพื่อให้นางไม่กล้าตัดรอนน้ำใจจากเขา