“เส้นทางที่หม่อมฉันกับผู้ติดตาม กำลังจะเดินเท้าเข้าไปในป่า เป็นเส้นทางที่ยากลำบากยิ่งนัก ท่านอ๋องทรงแน่ใจแล้วหรือเพคะที่จะตามไปส่ง”
ลี่เซียนที่ไม่ได้รู้สึกยินดี กับการที่อ๋องหนานจะตามไปส่งนางถึงที่พักของท่านอาจารย์ จึงได้บอกความจริงออกไปตามตรงว่า ตนเองกับผู้ติดตามจะเดินเท้าเข้าไปในป่าลึก ที่มีเส้นทางยากลำบากรออยู่ ทั้งยังคาดหวังให้อ๋องหนานกงชิง เปลี่ยนใจ และเดินทางกลับเมืองหลวงไปเสียตอนนี้
“สตรีตัวเล็กๆ ยังไม่หวั่นเกรงต่อความยากลำบากในป่าใหญ่ เหตุใดข้าที่เป็นบุรุษอกสามศอก ซึ่งได้ผ่านความลำบากมาก็มาก จึงต้องเกรงกลัวความยากลำบากในครั้งนี้ด้วยเล่า”
อ๋องหนานหยุดยืนต่อหน้าลี่เซียน แล้วก้มใบหน้าลงพูดคุยใกล้ๆใบหูขาวผ่อง ที่ไรผมถูกเก็บรวบเปิดเปลือยออกให้เห็นเต็มๆตา ลมหายใจอุ่นๆของเขา เป่ารดข้างหูของนางอย่างตั้งใจ
ลี่เซียนรู้สึกขนลุกแปลกๆ จึงโน้มตัวถอยหลังออกห่างๆ มุมปากของบุรุษหน้าหนาอมยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ที่ได้กลั่นแกล้งสตรีตัวน้อย ที่กำลังทำท่าทางรังเกียจเขาเสียเต็มประดา
“หม่อมฉันขอบพระทัยที่ท่านอ๋องทรงมีเมตตา และเห็นแก่ความทุกข์ใจของท่านพ่อท่านแม่ แต่หม่อมฉันไปกับผู้ติดตามเพียงลำพังได้จริงๆเพคะ ไม่อยากรบกวนท่านอ๋องให้ท่านเสื่อมเสียเกียรติไปมากกว่านี้ เพราะเรื่องที่ผ่านมาหม่อมฉันก็ละอายแก่ใจยิ่งนัก”
โจวลี่เซียนเอ่ยออกมาอย่างตรงไปตรงมา นางไม่อยากรบกวนอ๋องหนาน ให้ผู้คนเก็บเอาไปพูดนินทาว่าร้ายพระองค์ดังเช่นกาลก่อนอีก ในเมื่อยามนี้นางสำนึกในความผิดแล้ว จึงขอหลีกเลี่ยงคำนินทาทั้งปวง ที่จะเกิดขึ้นกับท่านอ๋องและตัวนางเอง
“เจ้าไม่ต้องคิดอันใดให้มาก ข้าบอกว่าจะไปส่งก็คือไปส่ง ไม่ต้องคัดค้านอะไรอีกแล้ว แล้วจงรีบเอาผ้าปิดบังใบหน้าของเจ้าไว้เช่นเดิมเสียเถิด ถ้ากินอาหารเช้าอิ่มแล้ว”
อ๋องหนานกงชิง ไม่รับฟังคำอธิบายยาวเหยียด ที่โจวลี่เซียนใช้พูดคัดค้านปฏิเสธ ไม่ให้เขาตามไปส่งถึงที่พักของหมอเทวดา ทั้งยังกล่าวเตือนให้นางรีบสวมผ้าปิดบังใบหน้าเอาไว้ ก่อนที่จะเกิดปัญหาตามมาอีกครั้ง
ท่านอ๋องรู้จักกับหมอเทวดา ไท่จงเสียน เป็นอย่างดี เพราะหมอเทวดาเป็นสหายสนิทของฮ่องเต้หนานเจ๋อติง เช่นเดียวกับราชครูโจว ที่เป็นสหายสนิทของฮ่องเต้มาตั้งแต่เยาว์วัย
บุรุษทั้งสามคน เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์เดียวกัน ที่ศึกษาร่ำเรียนวิชาต่างๆมาด้วยกันตั้งแต่ยังเล็ก เมื่อเติบใหญ่จึงได้แยกกันไปศึกษาเล่าเรียน ตามความชอบและความถนัดของแต่ละคน
“ตามแต่พระทัยเถิดเพคะ แล้วอย่ามาโวยวายบ่นหม่อมฉันทีหลังก็พอ”
ในเมื่อยืนยันขนาดนั้น ลี่เซียนก็ขี้เกียจจะพูดคัดค้านอันใดอีกแล้ว แต่ก็ยังมิวายเอ่ยเหน็บแนมค่อนขอด ออกไปสักเล็กน้อย เพราะนึกหมั่นไส้ใบหน้าคมสัน แต่มีแววตาหยิ่งผยองนั้นเสียเต็มประดา และบางครั้งก็แลดูกรุ้มกริ่มแปลกๆจนไม่น่าไว้วางใจ
“หึหึ ใครกันแน่ที่จะบ่นเรื่องเส้นทางยากลำบาก”
มุมปากหยักอมยิ้มออกมาเล็กน้อย เหมือนคนที่ไม่คุ้นเคยต่อการแสดงอารมณ์ดีใจออกมา แววตาที่เคยเฉยชาอยู่เป็นนิจ บัดนี้ทอประกายอบอุ่นออกมาเล็กน้อย แต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้นเขาก็รีบเก็บอาการ แล้วกลับไปเฉยชาเฉกเช่นเดิม
องครักษ์คนสนิทได้แต่ส่ายหัวไปมา อย่างอิดหนาระอาใจที่เจ้านายของตนช่างถือทิฐิยิ่งนัก ทั้งๆที่ก่อนที่จะเดินทางตามมานั้น อ๋องหนานใช้งานเขาสืบหาข่าวของสตรีตรงหน้าอย่างกับม้าศึก แทบไม่ได้กินไม่ได้นอน จนกว่าจะหาข่าวได้ว่าคุณหนูโจวเดินทางไปที่ใด
องครักษ์ฟานจง ต้องเข้าไปอ้อนวอนถามไถ่เอาจากโจวสืออี้ พี่ชายของโจวลี่เซียน ที่เป็นสหายสนิทของเขาคนหนึ่ง ในครั้งแรกเจ้าเพื่อนสนิทคนนั้น ก็ไม่ยอมพูดหรือให้ข้อมูลใดๆ จนเขาต้องเอาใบหน้าทรุดโทรมใกล้ตายไปให้เห็น โจวสืออี้จึงยอมให้ข้อมูลมา
.
.
.
เมื่อทุกคนพร้อมแล้วคณะเดินทางที่แต่เดิมมีเพียง3คน เวลานี้ก็เพิ่มเข้ามาเป็น5คน ลี่เซียนมีสัมภาระไม่เยอะ มีเพียงห่อผ้าห่อเดียว ที่สะพายหลังเอาไว้ และอาวุธดาบ กับธนูที่นางนำติดตัวมาด้วย นอกเหนือจากมีดสั้นที่พกติดกายอยู่เป็นประจำ
“เอาห่อผ้าของเจ้ามาสิข้าจะช่วยถือ เพราะมือของข้าว่างมากเกินไป”
ท่านอ๋องที่ชำเลืองมองสตรีตัวเล็กๆ สะพายห่อผ้าไว้บนหลัง ทั้งยังมีอาวุธครบครัน ที่สะพายพาดบ่าบอบบางของนางอยู่ จึงนึกเป็นห่วงกลัวจะสะดุดล้มเป็นอันตรายได้
“ดีเหมือนกัน ขอบพระทัยนะเพคะ ทรงมีน้ำใจไม่น้อย”
ตอนแรกลี่เซียนตั้งใจจะปฏิเสธความช่วยเหลือ เพราะไม่อยากพูดคุยกับบุรุษที่ทำนางเสียใจมานานหลายปี แต่พอเห็นใบหน้าเฉยชาหยิ่งผยองนั้น ก็นึกหมั่นไส้ขึ้นมาทันที
จึงได้ถือโอกาสนี้ใช้งานผู้สูงศักดิ์สักหน่อย คงจะรู้สึกดีไม่น้อย มุมปากสวยแย้มยิ้มออกมาเล็กน้อย อย่างสาแก่ใจในความคิดของตนเอง
‘มีเชื้อพระวงศ์มาถือของให้ก็ดีเช่นกัน ข้าเลยดูงดงามขึ้นมาอีกเท่าตัว’
ยามเหม่า (05:00-07:00) คณะเดินทางได้เดินเท้าเข้าไปในป่า ที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์อยู่มาก ลี่เซียนกวาดสายตามองบรรยากาศรอบๆป่าไม้ ด้วยความรู้สึกตื่นเต้น และสดชื่น เพราะในชีวิตนี้นางพึ่งเคยมีโอกาสได้เดินป่าสักครั้ง
กลุ่มของลี่เซียนเดินเข้าไปในป่าลึก มาร่วมๆ1ชั่วยามแล้ว เมื่อถึงจุดที่อยู่ใกล้ๆกับเหวลึกที่อันตราย ทุกคนในกลุ่มเดินทางต่างได้ยินเสียงของอาวุธ ดังกระทบกันอยู่ไม่ไกล จึงได้หยุดเดินแล้วหาที่หลบซ่อนตัว ตามสัญญาณมือที่อ๋องหนานกงชิงส่งสัญญาณมาให้
เคร้ง เคร้ง เคร้ง!!
“ลี่เซียนเจ้ามาหลบอยู่ข้างๆข้า จะได้มองเห็นเหตุการณ์ได้ชัดเจน”
น้ำเสียงกระซิบแผ่วเบาดังขึ้น จากบุรุษที่ตั้งใจเอาปากไปใกล้ๆกับใบหู ของสตรีที่มีกลิ่นกายหอมกรุ่น จนเขาต้องละทิ้งอาการเมินเฉย ที่พยายามปั้นแต่งมาตั้งแต่เช้ามืด
“ตรงนี้ก็มองเห็นเพคะ ท่านอ๋องอย่าพึ่งพูดคุยรอดูเหตุการณ์ก่อนสักครู่ แล้วขยับออกห่างๆหม่อมฉันด้วย”
น้ำเสียงดุดันส่งไปให้บุรุษหน้านิ่ง ที่ขยับตัวบดเบียดเข้ามาใกล้ๆร่างอรชนอวบอิ่ม ทั้งยังมากระซิบข้างๆใบหูนางอย่างผิดแผกแปลกไป
ทันใดนั้นกลุ่มบุคคลที่มีจำนวน6คน ที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดเลือดสาด ก็ได้เคลื่อนกายเข้ามาอยู่ในระยะสายตา ของคนทั้ง5 ที่หลบซ่อนตัวอยู่ ตั้งแต่ได้ยินเสียงกระทบกันของอาวุธแล้ว
ภาพที่ทุกคนเห็นคือกลุ่มคนชุดดำ4คน ที่แต่งกายคล้ายนักฆ่าเช่นเดียวกัน กำลังไล่ฟาดฟัน บุรุษหนุ่มที่แต่งกายคล้ายผู้สูงศักดิ์ และบุรุษอีกคนที่แต่งกายคล้ายองครักษ์ในวังหลวง
“องค์ชายใหญ่!!!”
ฟานจงหลุดปากส่งเสียงออกมา ดีที่เขาไม่ได้ตะโกนเสียงดังออกไป จนกลุ่มคนร้ายได้ยิน ทุกคนต่างตกใจกับภาพตรงหน้าที่พบเห็น เมื่อได้รู้ว่าใครกำลังถูกผู้ร้ายรุมทำร้าย จนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด
โจวลี่เซียนส่งสายตาให้อ๋องหนานกงชิง เข้าไปช่วยเหลือหลานชายของเขา ส่วนนางของหลบดูเหตุการณ์ต่ออีกสักครู่ หากมีเหตุการณ์คับขัน จึงจะออกไปช่วยเหลืออีกแรง
เคร้ง เคร้ง เคร้ง!!
อ๋องหนาน กับองครักษ์ฟานจง พุ่งตัวออกจากที่หลบซ่อนทันที เพื่อเข้าไปช่วยเหลือหลานชายคนโตของเขา