“เจ้ากลับขึ้นไปบนรถม้าเถิด ข้าจะขี่ม้าตามไปส่งถึงจวนราชครูเอง”
“ขอบพระทัยเพคะ”
โจวลี่เซียนเดินไปหยุดหน้ารถม้า แล้วเรียกลุงหยวนคนขับรถม้า ให้ลงมาบังคับรถม้า จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปบนรถม้าด้วยท่าทางคล่องแคล่ว ไม่ได้หันมาสนใจมองอ๋องหนาน ที่กำลังนึกสงสัยในตัวนางอยู่หลายอย่างอีกเลย
‘นางมีวรยุทธ์ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ถึงขั้นจัดการกับนักฆ่าทั้ง2คนได้ด้วยตัวคนเดียว’
เมื่อเดินทางถึงจวนราชครู อ๋องหนานกงชิง ได้เดินนำหน้าโจวลี่เซียนเข้าไปยังจวนราชครู พ่อบ้านจิ้งรีบออกมาต้อนรับผู้สูงศักดิ์ด้วยความประหลาดใจ ที่อ๋องหนานผู้เคร่งขรึมเย็นชา เดินทางมาเยี่ยมเยียนจวนราชครูอย่างกระทันหัน อีกทั้งยังเข้ามาพร้อมๆกับคุณหนูของจวนอีกด้วย
พ่อบ้านจิ้งรีบนำความไปแจ้งแก่ราชครูโจว ที่กำลังนั่งทำงานอยู่ในห้องหนังสือของจวน หลังจากที่พึ่งกลับมาจากการไปประชุม ที่ท้องพระโรงของวังหลวง
ลี่เซียนนั่งรอพูดคุยกับบิดาอยู่ในโถงรับแขกเงียบๆ ข้างๆกันก็มีบุรุษผู้เฉยชานั่งอยู่เงียบๆเฉกเช่นกัน ลี่เซียนไม่ได้เอ่ยพูดคุยสิ่งใดกับอ๋องหนานเลย
เพราะนางมัวแต่ครุ่นคิดไปถึงนักฆ่าทั้งสองคน ว่าใครเป็นผู้บงการส่งคนให้มาทำร้ายตนเองกันแน่ ทั้งๆที่วันนี้เป็นครั้งแรกที่นางได้ออกจากจวนในรอบ4เดือน
“เจ้ามีศัตรูที่ไหนบ้าง”
น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยถามขึ้นมา ท่ามกลางความเงียบสงบ จนตัวเขาชักจะอึดอัดเพราะเงียบเกินไปแล้ว ทั้งยังนึกสงสัยว่าเหตุใดโจวลี่เซียน จึงไม่เข้ามาพูดคุยกับเขาดังเช่นวันวาน
“หม่อมฉันยังนึกไม่ออกเลยเพคะ ว่าไปเดินทับเส้นทางของใคร เพราะตลอด3ปีกว่าๆมานี้ ก็พูดคุยอยู่กับท่านอ๋องเพียงคนเดียว ส่วนอีกคนก็จ้าวอิงเถา ซึ่งนิสัยแบบนางคงไม่ได้ใจร้ายส่งนักฆ่า มาทำร้ายหม่อมฉันหรอกเพคะ”
ลี่เซียนแสดงความคิดเห็นไปตามที่นางคิด และเมื่อได้ลองวิเคราะห์ลักษณะนิสัยของจ้าวอิงเถา ก็พบว่าหญิงนางนั้นเป็นเพียงดอกบัวขาวมือใหม่ ที่ไม่ได้ชั่วร้ายถึงขั้นคิดจะปลิดชีพคนอื่น
“อืม แล้วเหตุใดเจ้าจึงได้เลิกเข้ามาพูดคุยกับข้าได้ล่ะ หรือจะเป็นแผนปล่อยเพื่อจับ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นเจ้าคงเสียเวลาเปล่า”
อ๋องหนานคิดหาเหตุผลมาตลอดหลายเดือน ที่โจวลี่เซียนหายหน้าหายตาไป ไม่มาตามตอแยเขาเช่นเคย ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีแต่ก็ออกจะแปลกใจอยู่บ้าง และฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า นางอาจจะมีแผนปล่อยเพื่อจับก็เป็นได้ จึงได้ลองพูดหยั่งเชิงออกไป
“ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันขออภัยเป็นอย่างยิ่ง ที่หลายปีมานี้ได้เข้าไปรบกวนพระองค์จนเสื่อมเสียเกียรติ ตั้งแต่รอดพ้นจากความตายกลับมา หม่อมฉันก็เข้าใจแล้วว่า คนไม่รักทำเช่นไรก็ไม่รัก แต่พระองค์ทรงสบายใจได้ เพราะหม่อมฉันไม่ได้คิดเฉกเช่นเดิมกับพระองค์แล้วเพคะ”
ลี่เซียนก้มหัวลงขอโทษอ๋องหนานด้วยใจจริง เพราะนางคนเดิมมีนิสัยที่น่ารังเกียจมากจริงๆ บุรุษมิมีใจให้แต่นางกลับไม่ยอมแพ้ ทั้งยังตามตอแยเขามาตลอดหลายปี
“อืม เช่นนั้นเองหรอกหรือ”
“เพคะ”
เมื่อเสียงพูดคุยเงียบหายไป และกลับไปสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง อ๋องหนานก็มองเห็นราชครูโจวเยี่ยน ที่กำลังรีบเดินเข้ามาในโถงรับแขก ด้วยแววตาเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อราชครูโจวเยี่ยนได้รับแจ้งจากพ่อบ้านจิ้งว่า อ๋องหนานกงชิงเสด็จมาที่จวน พร้อมกับบุตรสาวของเขา ภายในใจของราชครูโจว นึกหวั่นเกรงว่าลี่เซียนไปทำสิ่งใด ให้ท่านอ๋องไม่พอพระทัยหรือไม่ จึงได้ติดตามกันมาที่จวนเช่นนี้
“คารวะท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
“ตามสบายเถิดขอรับท่านอาจารย์”
“ขอรับ ว่าแต่เกิดเหตุใดขึ้นหรือไม่ ลี่เออร์กับท่านอ๋องจึงได้เดินทางมาที่จวนพร้อมกันเช่นนี้”
อ๋องหนานส่งสายตาเป็นสัญญาณให้โจวลี่เซียน เป็นคนเล่าเรื่องราวของวันนี้ ให้บิดาของนางฟังด้วยตนเอง เพราะเขาไม่ได้เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่แรก
“ท่านพ่อเจ้าคะ ท่านอ๋องแค่ผ่านทางมาเจอเหตุการณ์ ที่มีนักฆ่าตามมาดักทำร้ายลูก ระหว่างทางที่กำลังนั่งรถม้ากลับจวนของเราเจ้าค่ะ”
“ห๊ะ ถูกนักฆ่าดักทำร้าย แล้วลี่เออร์เจ้าเป็นอันใดหรือไม่”
“ไม่เจ้าค่ะ ลูกปลิดชีพคนร้ายไป1คน เพราะมันกำลังจะยิงธนูใส่ลุงหยวนคนขับรถม้าหวังฆ่าให้ตาย ส่วนอีก1คนท่านอ๋องให้องครักษ์จับไปส่งให้กรมอาญาคุมขัง ไว้รอการสอบสวนหาผู้บงการแล้วเจ้าค่ะ”
ลี่เซียนอธิบายให้บิดาฟังด้วยน้ำเสียงสบายๆ ไม่ได้มีหวาดกลัว หรือหวาดวิตกกับเหตุการณ์ในวันนี้เลย จนบุรุษที่กำลังนั่งฟังอยู่เงียบๆ นึกชื่นชมในความกล้าหาญของนาง
“ขอบพระคุณท่านอ๋อง ที่เป็นธุระให้ลี่เออร์นะขอรับ”
“ไม่เป็นไรขอรับท่านอาจารย์ ข้าแค่ผ่านทางไปพบเจอเหตุการณ์ร้ายจึงได้ช่วยเหลือนาง ซึ่งก็นับว่าเป็นหน้าที่เช่นกัน เพราะตัวข้าก็มีหน้าที่การงานอยู่ในกรมอาญา”
หลังจากนั้นอ๋องหนานกงชิงก็ได้ขอตัวลากลับไป เพราะดูลักษณะของโจวลี่เซียนคงมีธุระส่วนตัว อยากพูดคุยกับบิดาของนางอยู่หลายเรื่อง เขาเลยไม่อยากรบกวนเวลาของราชครูโจว
เมื่ออ๋องหนานกลับไปแล้ว ลี่เซียนจึงหันมาสอบถามบิดา ในสิ่งที่นางกำลังสงสัยเป็นอย่างยิ่ง
“ท่านพ่อวันนี้ในที่ประชุม ณ ท้องพระโรง มีเรื่องใดเกี่ยวข้องกับลูกหรือไม่เจ้าคะ”
วันนี้ราชครูโจวเยี่ยน ถูกเรียกให้เข้าประชุมตั้งแต่เช้าตรู่ ณ ท้องพระโรงของวังหลวง ต่อหน้าพระพักตร์ขององค์ฮ่องเต้หนานเจ๋อติง
“อืม ลี่เออร์เจ้าช่างเฉลียวฉลาดยิ่งนัก สมแล้วที่ในอดีตเป็นถึงสายลับมือวางอันดับหนึ่ง”
“สรุปว่ามีหรือเจ้าคะ”
“อืม ฮองเฮาอยากแต่งเจ้าเป็นพระชายาเอก ขององค์ชายใหญ่หนานหลิงหยุน ว่าที่องค์รัชทายาท แต่ฝ่าบาทไม่อยากบังคับเจ้า จึงเรียกพ่อไปสอบถามในท้องพระโรงว่าคิดเห็นเช่นไร พ่อเลยทูลฝ่าบาท ไปตามที่เจ้าเคยบอกเอาไว้ว่า เจ้ายังไม่อยากแต่งงาน และต้องการหาบุรุษมาแต่งงานด้วยตนเอง”
“ขอบพระคุณท่านพ่อมากเจ้าค่ะ ที่ทำตามคำขอของลูก แล้ววันนี้มีใครอยู่ในท้องพระโรงบ้างเจ้าคะ”
“ขุนนางตำแหน่งสูงๆอยู่ครบทุกคน เราจึงยังเจาะจงยังไม่ได้ว่า ใครส่งนักฆ่ามาจัดการเจ้าในวันนี้”
ราชครูโจวมีความคิดเห็นตรงกันกับบุตรสาวว่า เรื่องการลอบทำร้ายในวันนี้ คงเกี่ยวข้องกับตำแหน่งพระชายาเอก ของว่าที่องค์รัชทายาทเป็นแน่
“ท่านพ่อ ลูกไม่อยากอยู่รอเป็นเป้าสังหารของใคร ชีวิตนี้ลูกต้องการเพียงความสงบและร่ำรวย ซึ่งความร่ำรวยลูกก็ได้สมบัติมาจากท่านตามากแล้ว ดังนั้นเวลานี้จึงอยากไปฝึกวิชาเพิ่ม ทั้งวรยุทธ์ และการแพทย์ เพราะเมื่อชาติที่แล้วลูกมีอีกอาชีพหนึ่งคือ เป็นแพทย์หญิงของยุคสมัยนั้น ท่านพ่อพอจะมีอาจารย์ที่เก่งทั้งวรยุทธ์ และการแพทย์ให้ลูกไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์หรือไม่เจ้าคะ”
โจวลี่เซียนได้ถือโอกาสนี้ บอกเล่าความต้องการของนางให้บิดาได้รับรู้ อันที่จริงนางอยากออกไปท่องยุทธภพตลอดชีวิตเสียด้วยซ้ำ แต่ด้วยความเป็นห่วงครอบครัว จึงไม่อยากไปอยู่ที่ไหนไกลๆ และอยู่ห่างจากบิดามารดา นานจนเกินไป
ลี่เซียนเลยมีความคิด ที่จะไปฝึกฝนวิชาแพทย์แผนโบราณเพิ่มเติมสัก 2ปี เพราะตัวนางในอดีตเป็นศัลยแพทย์มือหนึ่ง ของโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงในกรุงปักกิ่ง อีกทั้งอยากฝึกวรยุทธ์ของคนในยุคนี้เพิ่ม ในวันข้างหน้าจะได้ไม่มีใครมาทำร้ายตัวนาง และครอบครัวได้ง่ายๆ
“พ่อมีสหายสนิทที่เป็นหมอเทวดาอยู่คนหนึ่ง และเก่งด้านวรยุทธ์ด้วยเช่นกัน พ่อจะลองเขียนจดหมายไปสอบถามเขาดูเสียก่อน ว่าเต็มใจจะรับบุตรสาวของพ่อเป็นลูกศิษย์หรือไม่”
“ดีเจ้าค่ะท่านพ่อ เพราะกว่าลูกจะเรียนจบวิชาแพทย์กลับมา ก็คงใช้เวลาร่วมๆ2ปีได้กระมัง เวลานั้นฮองเฮาคงหาสตรีที่เหมาะสมมาแต่งเป็นพระชายาเอก ให้กับว่าที่องค์รัชทายาทได้แล้ว”
“แล้วเจ้าล่ะลี่เออร์ กลับมาเมืองหลวงอีกที ก็อายุ20ปีแล้ว ถือได้ว่าเป็นสาวเทื้อเต็มตัว เจ้าจะไม่อับอายชาวบ้านแน่หรือที่ยังไม่มีคู่หมาย”
“ฮ่า ฮ่า ไม่อายเลยเจ้าค่ะ ดีเสียอีก อายุ20ปี กำลังเป็นสาวเต็มตัวเลยนะเจ้าคะ ยามนั้นลูกคงงดงามมากกว่านี้ ใครไม่แต่งลูกก็หาได้สนใจไม่ ครอบครัวของเราร่ำรวยขนาดนี้ ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาเลี้ยงหรอกเจ้าค่ะ”
โจวลี่เซียนพูดปลอบใจบิดา เพราะเข้าใจได้ว่าท่านเป็นห่วง กลัวนางไม่มีคนคอยดูแลยามแก่เฒ่า
“อืม มันก็จริงของเจ้า เอาล่ะ ขอให้พ่อบอกกล่าวมารดาและพี่ชายของเจ้าเสียก่อน แล้วค่อยส่งจดหมายไปหาสหายสนิทของพ่อ”
“เจ้าค่ะ ท่านพ่อดีที่สุด ถ้าลูกจะมีสามีจริงๆก็ขอให้บุรุษผู้นั้นเขารัก และดีกับลูกให้ได้ครึ่งหนึ่งของท่านพ่อ ลูกก็พอใจแล้ว”
.
.
.
นับจากวันที่บอกกล่าวบิดา เรื่องความต้องการที่จะไปศึกษาวิชาแพทย์เพิ่มเติม ก็ผ่านมาได้สองอาทิตย์แล้ว เช้าวันนี้มีจดหมายมายังจวนตระกูลโจว ซึ่งพอเห็นลายมือที่เป็นระเบียบสวยงามมีเอกลักษณ์ ราชครูโจวก็รู้ได้ทันทีว่าผู้ใดส่งจดหมายมาหาเขา