ตอนที่ 9 ผมรู้จักคนคนนั้นดี
เพราะการเสนอตัวว่ารู้จักของเขา ทำให้ฉันดีใจ ดีใจจนลืมไปคิดถึงอันตรายที่กำลังจะตามมา
“ถ้างั้นฉันต้องขอรบกวนคุณด้วยค่ะ ขอบคุณมากเลยนะคะที่จะมาช่วยเป็นธุระให้”
ฉันฉีกยิ้มกว้างรีบกล่าวขอบคุณเขาในทันที เอาเถอะ...เรื่องคืนนั้นบางทีเขาอาจจะจำไม่ได้ว่าเป็นฉันจริง ๆ ก็ได้ เพราะงั้นฉันก็ควรลืม ๆ มันไป
จะว่าไปบางครั้งในเรื่องร้าย ๆ ก็ยังมีเรื่องดี ๆ ซ่อนอยู่ ฉันนึกชื้นใจขึ้นมาเพราะหวังผลกับงานตรงหน้าที่สำคัญอีกอย่างเขากำลังจะมาเป็นสามีของไอด้าในอนาคต คงจะไม่เสียหายถ้าฉันจะควรทำความสนิทด้วย...แต่ในฐานะว่าที่สามีของเพื่อนนะ
“ว่าแต่...คุณรู้จักกับคุณวาคิมแบบไหนคะ เออหมายถึงคุณกับเขา...คือเขาเป็นเพื่อนคุณ หรือหุ้นส่วนธุรกิจอะไรของคุณหรือเปล่า ขอโทษนะคะฉันเผลอนินทาเพื่อนของคุณระยะเผาขนเลย แหะ แหะ”
ฉันถามพลางหันไปยกแก้วน้ำขึ้นมาจิบเพราะว่าพูดมากไปหน่อยจึงเริ่มรู้สึกคอแห้งขึ้นมา
“ผม...”
“คะ...” ฉันตั้งตาตั้งตารอฟังคำตอบ แม้จะรู้สึกอึดอัดนิดหน่อยกับสายตาของเขา
“ผมคือวาคิม คนที่คุณกำลังพูดถึงครับ”
เฮือกกกก!!!
“แค่กๆๆ!” อะไรนะ! เมื่อกี้เขาพูดว่าอะไรนะ นี่ฉันหูเพี้ยนหรือว่าฉันกำลังเมาน้ำเปล่าอยู่หรือเปล่า
“ว.. ว่าไงนะคะ..”
“ครับ ผมคือวาคิมที่คุณพูดถึงเองครับ”
เมื่อฟังจบขนก็ลุกซู่ ราวกับว่ากำลังนั่งฟังเรื่องผีอยู่ก็ไม่ปาน ใบหน้าอีกฝ่ายดูไม่พอใจเล็กน้อย คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันทำฉันเกร็งจนแทบจะฉี่ราด
“แค่ก! อ..เอ่อ… ฉันขอโทษนะคะ..”
แม้ว่ากำลังสำลักน้ำแต่ฉันก็ต้องรีบกล้ำกลืนเก็บกลั้นมันเอาไว้ก่อนที่จะรีบกล่าวคำขอโทษ พลางรีบมองไปหายัยไอด้าที่นั่งทำหน้าถอดสีที่ซีดเผือดเป็นไก่ต้มไม่ต่างจากฉันเช่นกัน
แง...ทำไมไม่บอกให้มันเร็วกว่านี้นะ ยัยไอด้า
ฉันจะเบนสายตากลับมามองที่ฝ่ายสนทนาอีกครั้ง มองได้ไม่นานก็รู้สึกเสียวสันหลังจนต้องก้มหน้างุดลงต่ำไม่กล้าสบตา สายตาของเขามันเป็นอะไรที่ฉันบอกไม่ถูก...ในนัยต์ตาสีดำขลับราวกับพญาเหยี่ยวที่จ้องฉันอยู่ สะกดให้หัวใจฉันมันรู้สึกแปลก ๆ
เห้อ... วันนี้เป็นวันอะไรเนี่ย ทำไมชีวิตฉันเจอแต่เรื่องอะไรก็ไม่รู้
“ไม่ต้องขอโทษก็ได้ครับ ผมไม่ได้ถือสาอะไร เพราะที่คุณพูดมาคุณบอกเองนี่ครับว่ามันเป็นแค่ข่าวลือ”
เป็นการบอกไม่ถือสาแต่น้ำเสียงฟังดูประชดประชันเป็นที่สุด เพราะไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิดกลับรู้สึกสำนึกผิดยิ่งกว่าเก่า
“นี่ครับนามบัตรของผม...วาคิม” เขาเน้นคำโดยเฉพาะตรงชื่อของเขา
“ต่อไปถ้าคุณอยากรู้จักอะไรเกี่ยวกับผม รบกวนคุณช่วยมาถามผมตรง ๆ ดีกว่าครับ เพราะการฟังเรื่องราวของผมจากปากคนอื่นโดยที่ไม่มีมูลความจริงมันเป็นสิ่งที่ไม่สมควรเอามาพูดลอย ๆ และ...หวังว่า นับจากนี้ คุณคงจะได้รู้จักผมดีขึ้นเรื่อย ๆ ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งนะครับ” รอยยิ้มเล็กน้อยที่มุมปากผุดขึ้นทำให้ฉันรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
ไม่พอ...เขายังยื่นนามบัตรหรูระดับพรีเมี่ยมเคลือบเงามาอย่างดีมาให้ ฉันมองนามบัตรในมือเขาด้วยสีหน้าที่ยิ้มไม่ออกเพราะบนนามบัตรตรงหน้าระบุอย่างชัดเจนว่าเขาคือคนที่ฉันกำลังพูดถึงอยู่ก่อนหน้านี้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ฉันพยายามบังคับไม่ให้มือตัวเองสั่นในขณะที่ยื่นมือไปรับนามบัตรของเขามาอย่างเก้ ๆ กัง ๆ สีหน้าไม่ถูก ส่วนเขาก็แค่ยกยิ้มออกมาเล็ก ๆ
นี่สรุปว่า...ฉันจะได้งานหรือจะได้เรื่อง แทนล่ะเนี่ย โอ๊ย!... อยากจะบ้าตาย T T
แม้ว่าข้างในจะอยากกรีดร้องออกมาแค่ไหน แต่สุดท้ายแล้วฉันก็ต้องจำใจแสร้งทำเป็นยิ้มออกไปราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกคนในนี้ก็คงจะรู้ดีถึงบรรยากาศแปลก ๆ ที่สุดแสนกระอักกระอ่วนที่ยังไม่คงจางหาย ถึงอีตาวาคิม เอ๊ย คุณวาคิมจะดูเหมือนไม่ได้ถือโทษโกรธฉันต่อหน้าไอด้า แต่แหงล่ะ ฉันนินทาเขาระยะเผาขนขนาดนี้ ใครบ้างจะพอใจ!
สายตาของฉันเหลือบไปหาไอด้าอีกครั้งเพื่อขอความช่วยเหลือ ในขณะที่ไอด้าที่นั่งอยู่ฝั่งข้ามก็มองฉันกลับมาหน้าตาเจื่อนๆ ก่อนจะทำทีเริ่มเปลี่ยนเรื่องให้
“แค่เรื่องเข้าใจผิดเนอะ มันเป็นแค่ข่าวลือใช่ไหมคะคุณวาคิม งั้นไอด้าว่า เรากินข้าวกินดีกว่าเนาะ เดี๋ยวไอด้าตักให้”
ไม่ว่าเปล่า หญิงสาวที่เป็นเพื่อนสนิทเริ่มที่จะตักชิ้นเนื้อปลาแซลม่อนย่างหอมกรุ่นที่บริกรเดินมาเสิร์ฟตอนที่เราคุยกันใส่จานของวาคิมด้วยท่าทางออดอ้อน ส่วนชายหนุ่มก็ยอมที่จะหันกลับไปแล้วเริ่มตักเนื้อปลาให้ไอด้ากลับ บรรยากาศเริ่มดีขึ้นทำลายบรรยากาศที่ดูกรุ่นก่อนหน้านี้จนหมดสิ้น ทำให้ฉันคลายยิ้มออกมาอย่างโล่งออก
อาหารมื้อนี้แม้จะดูเฝือนคอนิดหน่อย แต่ฉันก็เอาแต่ก้มหน้าก้มตากินเพราะไม่กล้าพูดอะไรมากอีก ที่สำคัญเวลาที่ฉันเผลอเงยหน้าขึ้นมา กับต้องปะทะกับสายตาคมกริบที่จ้องฉันอย่างเอาเรื่องจนฉันแทบจะบ้าตาย
เมื่อได้จังหวะ ฉันเลยรีบขอตัวออกมาก่อน ก็แหงล่ะ เจอแบบนี้ไปกระเพาะของฉันก็รู้สึกอิ่มตื้อขึ้นมาทันที ใครจะไปกินอะไรต่อลง
“งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ พอดีมีงานที่จะต้องกลับไปทำ”
เขาเหลือบสายตาขึ้นมามองฉันแวบนึง ในตอนที่ฉันกำลังลุกขึ้นยืน แต่มุมปากยังคงมีรอยยิ้มเยาะเล็กน้อย ฉันเริ่มรู้สึกหมั่นไส้ ก็ดูสิมีอย่างที่ไหน เขานั่งฟังเงียบ ๆ ปล่อยให้ฉันนินทาระยะเผาขนเสียตั้งนาน แทนที่จะรีบ ๆ พูดเบรกไม่ให้ฉันขายขี้หน้าไปมากกว่านี้ ฉันเม้มปากบางเป็นเส้นตรงก่อนที่จะรีบทำสีหน้าให้เป็นปกติแล้วหันไปคุยกับไอด้า
"ไปก่อนนะ ไว้เจอกันค่ะ"
“ไว้เจอกันใหม่นะครับ" เสียงทุ้มนุ่มยอมพูดกับฉันแม้จะเป็นประโยคบอกลาธรรมดาแต่ฉันรู้สึกไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย ทำให้ฉันเผลอชักสีหน้าใส่เขาออกมาไม่รู้ตัว
เชอะ...พูดมาได้ว่าเจอกันใหม่ นี่ถ้าไม่ติดว่าฉันต้องทำงานโปรเจคนี้ให้ได้ ไม่มีวันซะละ
แต่จะว่าไป....ความจริง ฉันไม่ควรรับงานนี้เลยนะ เพราะต่อให้ตอนนี้เขาจำเรื่องราวระหว่างฉันกับเขาในคืนนั้นไม่ได้ (อย่างที่ฉันคิด) แต่...ถ้าอยู่ ๆ เขาเกิดจำได้ขึ้นมาล่ะ ฉันดูสับสนขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อไม่ค่อยแน่ใจกับพฤติกรรมของเขา
“แก โอเคไหมเนี้ย ยืนเอ๋อ ๆ " เสียงไอด้าท้วงขึ้นทำให้ฉันดึงสติกลับมา
"อ้อ โอเค แค่เผลอคิดอะไรเพลินนิดหน่อย งั้นฉันกลับก่อนดีกว่า"
"จะให้ฉันเดินไปส่งป่ะ?”
ไอด้าเสนอ ก่อนที่ฉันจะรีบปฏิเสธทันที ไม่ใช่เพราะเกรงใจ แต่เพราะต่างรู้กันดีอยู่แล้ว จริง ๆ ไอด้าแค่พูดขึ้นเป็นพิธี เวลาแบบนี้จะไปรบกวนช่วงเวลาส่วนตัวของแม่เสือสาวที่กำลังสวีทกับชายหนุ่มได้อย่างไร ฉันรีบโค้งคำนับให้คุณวาคิมอีกครั้งก่อนจะรีบเดินออกมาให้เร็วที่สุด และเพราะสายตาน่ากลัวนั่นที่มองฉันอย่างไม่วางตา จนทำให้ฉันเกือบจะชนประตู
บ้าเอ๊ย ... น่าอายชะมัด