สองแม่ลูกช่วยพยุงร่างท้วมใหญ่กันคนละข้าง
เท้าของมานพแทบจะไม่ก้าว เขาแทบไม่เหลือสติรับรู้เลยว่าในเวลานั้น ด้วยร่างกายที่ใหญ่โตของเขา ได้สร้างความลำบากเป็นอย่างมาก ให้กับผู้หญิงตัวเล็กๆ สองคน ที่ต้องช่วยกันพยุง
เหตุการณ์ดำเนินไปอย่างทุลักทุเล… จนถึงหน้าประตูบ้าน
เมื่อเข้ามาในบ้าน ร่างของผู้เป็นพ่อเมาหลับราวกับไร้วิญญาณ ช่างไม่รับไม่รู้เลยว่าปัญหาที่ตนได้สร้างขึ้นนั้น… ทำให้ลูกสาวและภรรยาต้องเสียทั้งเงินและน้ำตา
ดวงแขไม่ได้พูดอะไรมาก หล่อนมักจะนิ่งเช่นนี้เสมอ… เหมือนคนที่ได้ทำใจยอมรับเอาไว้แล้ว กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกับหลายๆ ครั้งที่มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วในชีวิตของหล่อน
หลังจากดวงแขลากเสื่อและหมอนมาให้สามีนอน จากนั้นจึงหันกลับไปทำงานที่ค้างคาเอาไว้เมื่อครู่ ปล่อยให้รัตติกรหาผ้ามาชุบน้ำเช็ดหน้าเช็ดตาอันมอมแมมให้กับผู้เป็นบิดา
จากที่วางแผนเอาไว้ว่าจะทำห่อหมกเพื่อเตรียมไว้ขายในวันพรุ่งนี้เช้า มาถึงตอนนี้ ดวงแขต้องเปลี่ยนแผนใหม่
หล่อนต้องเร่งแล้ว ทำให้เสร็จโดยเร็วที่สุด… เพื่อที่จะขายในตอนเย็นวันนี้เสียเลย และอาจจะล่วงไปถึงค่ำ… หากขายไม่หมด เพราะเงินซึ่งทั้งบ้านเหลืออยู่ได้หมดลงแล้ว กับหนี้การพนันของสามีผู้ขาดสำนึกรับผิดชอบต่อครอบครัว
ครู่ต่อมา
รัตติกรรีบเข้ามาช่วยงานแม่อย่างแข็งขัน แค่มองตากันและกัน… ก็รับรู้ได้ในความเศร้าโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยเป็นคำพูดใดๆ ต่อกัน
“เราต้องรีบทำให้เสร็จนะลูก...” ดวงแขกล่าวกับลูกสาว
“ค่ะแม่… หนูจะแบกไปขายที่ตลาดนัดให้เอง” ลูกสาวขันอาสาอย่างไม่อิดออด
เวลาล่วงเลยไปอีกพักใหญ่ๆ
เธอกับแม่… ช่วยกันคนละไม้คนละมือ
แม้ว่าแม่เพิ่งบอกกับเธอว่าชีวิตไม่ต้องมีอะไรเร่งรีบ… มาถึงตอนนี้ แม่กลับเป็นฝ่ายต้องมารีบร้อนจนหืดขึ้นคอเสียเอง
ดวงแขหยิบแม็คหนีบกระดาษขึ้นหนีบที่มุมกระทงเพื่อความรวดเร็ว ไม่ได้ใช้ไม้กลัดกระทงตามที่กล่าว เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน กับชีวิตที่พร้อมจะพลิกผันได้ทุกเวลานาทีของเธอ…
ชีวิตที่ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าโชคชะตาได้ขุดหลุมพลางอะไรเอาไว้รอเธออยู่เบื้องหน้า
“พี่รัตติกร…..พ่อเป็นอะไรครับ”
เสียงใสๆ ของดนัยผู้เป็นน้องชาย ถลันร่างเล็กๆ เร็วรี่เข้ามาในบ้านทั้งชุดนักเรียน โยนกระเป๋านักเรียนลงโครมข้างๆ ร่างของผู้เป็นพ่อ
รัตติกรไม่ได้ตอบคำถามของน้องชาย เพราะรู้ว่าดนัยก็ไม่ได้คาดหวังในคำตอบอย่างจริงจัง
แล้วก็เป็นจริงอย่างที่หญิงสาวคิด
เพราะดนัยตรงรี่เข้าไปในครัวโดยไม่รอฟังคำตอบจากเธอ
เด็กชายสอดส่ายสายตามองหาข้าวอย่างคนที่หิวโซ เหมือนเช่นทุกๆ ครั้งที่กลับมาจากโรงเรียน
“ว่าแต่เอาปากไปกระแทกอะไรมาล่ะ…?”
หญิงสาวถาม เมื่อเหลือบไปเห็นริมฝีปากเจ่อแดงของน้องชายเข้าโดยบังเอิญ
“โธ่!...พี่นะพี่ จะถามแบบห่วงใยน้องชายซักกะนิ๊ดก็ไม่มี”
ดนัยตัดพ้อพี่สาว
รัตติกรส่งสายตาค้อนให้กับน้องชาย
“คงไปต่อยกับใครมาอีกละสิ!... พ่อนักเลงใหญ่” เธอสรุปโดยไม่รอให้คนตัวเล็กที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ได้อธิบายอะไร
“ก็… เอ่อ... มันทำผมก่อนนะพี่”
เสียงเล็กๆ อึกอัก หวังว่าจะได้รับความเห็นใจจากพี่สาว “แล้วยังไง…”
รัตติกรถามทั้งที่ยังงุดหน้าช่วยงานแม่ไม่ได้หยุด
“ผมก็สวนมันไปหลายหมัด คราวนี้ตะลุมบอน ต่างคนต่างใส่… มันก็อ่วมไปเหมือนกันนะพี่ เพราะผมซัดมันซะเยินไปเลย”
น้ำเสียงของดนัยซ่อนความภาคภูมิใจเอาไว้อย่างเห็นได้ชัด
“น่าจะรู้จักอดทนไว้บ้างนะดนัย” รัตติกรเตือนน้องชาย
“อดทนโดยไม่ตอบโต้เลยหรือพี่?”
คิ้วเล็กๆ ของดนัย ขมวดมุ่นด้วยความสงสัยกับคำแนะซึ่งไม่ง่ายเลยสักนิดที่จะทำตาม
“บางครั้งในการที่เราไม่ตอบโต้… ก็ไม่ได้หมายความว่าเราขี้ขลาดเสมอไป” เธอว่า
น้องชายขมวดคิ้วน้อยๆ ย่นหน้าผากอีกครั้ง เหมือนจะบอกว่าพี่สาวช่างไม่เข้าใจในวิถีของลูกผู้ชายเอาซะเลย
“โห… ได้ไงพี่ มันเล่นผมก่อนนะ” น้องชายเถียง
“กินข้าวเสียเถอะลูก… อย่ามัวพูดมากอยู่เลย กินไปพูดไปอยู่นั่นแหละ”
ดวงแขแทรกขึ้นบ้าง
แม้ลูกชายคนนี้จะแก่นแก้วและแสบซ่าหาใครปาน แต่ดนัยก็ช่วยงานบ้านได้อย่างขยันขันแข็ง ดนัยไม่ใช่เด็กเกเรหรือไร้เหตุผลจนสั่งสอนไม่ได้ ดวงแขมองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเป็นไปตามความคึกคะนองของเด็กผู้ชายมากกว่า
ได้ยินที่แม่ว่า… ดนัยก็รีบก้มหน้าก้มตาจ้วงข้าวในจานใส่ปากอย่างตั้งใจ ก่อนจะแหงนใบหน้าน้อยๆ ขึ้นมองแม่และพี่สาวที่เร่งงานกันอย่างขะมักเขม้น รีบทำห่อหมกให้เสร็จทันขายในตอนเย็น
ค่ำวันนั้น
เมื่อกลับจากขายห่อหมกที่ตลาดนัด ในคืนที่ผืนฟ้าข้างนอกมัวหม่นไปด้วยม่านฝน เสียงจิ้งหรีดร้องระงมอยู่หลังบ้าน ออกอาการเริงร่ากับหยาดน้ำฝนที่พร่างพรมลงมาเมื่อตอนหัวค่ำ
เสียงจั๊กกะจั่นยังคงขับกล่อมบทเพลงแห่งรัตติกาล แว่วมาเป็นระยะๆ จากหลังบ้านที่รกไปด้วยดงหญ้าและป่าไมยราบ แซมสลับด้วยต้นธูปฤาษีที่ดอกแก่จัดของมันมักจะแตกออกเป็นปุยขาวๆ ปลิวฟ่องเหมือนละอองความฝันในวันที่แดดแรง ลอยลมมาติดอยู่ตามเสื้อผ้าที่ตากเอาไว้หลังบ้านบ่อยๆ
รัตติกรรู้สึกได้ถึงเสียงร้องระงมของกบเขียดที่ดังอยู่ใกล้ๆ… ใกล้จนรู้สึกว่ามันห่างแค่เพียงแผ่นสังกะสีกั้น ภายในบ้านหลังเล็กๆ ที่ถูกแบ่งให้เป็นสองห้องด้วยตู้เสื้อผ้าพลาสติกและแผ่นไม้อัดบางๆ กั้นกลางเอาไว้เพียงง่ายๆ
ดนัยหลับอยู่ข้างๆ ร่างท้วมใหญ่ของมานพผู้เป็นบิดาที่นอนกรนสนั่นอยู่อีกฟากของฝาไม้อัด
คืนนี้ดวงแขไม่ได้นอนกับสามี หล่อนตั้งใจจะนอนกับรัตติกร เพราะรู้ว่าอีกไม่กี่วันลูกสาวจะต้องเข้าไปทำงานในกรุงเทพฯ
แม้จะเป็นเพียงเสียงพลิกตัวเบาๆ ของรัตติกร หากดวงแขที่ยังลืมตาโพลงอยู่ท่ามกลางความมืด… ก็รับรู้ได้ถึงอาการนอนไม่หลับของลูกสาว… เช่นเดียวกับตัวของหล่อนเองที่ไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้
“นอนไม่หลับหรือคะแม่?”
รัตติกรถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกระซิบ
“แม่ไม่ค่อยง่วงจ้ะ”
ดวงแขตอบ
หากรัตติกก็เข้าใจดี คำว่า ‘ไม่ง่วง’ ของแม่คงไม่ได้หมายความว่าแม่ไม่เหนื่อย หากแม่เหนื่อยล้าเกินจะหลับตาลงได้ต่างหาก เพราะแม่คงอดเป็นกังวลไม่ได้ กับเรื่องที่เธอได้งานทำที่กรุงเทพฯ และจะต้องเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ในอีกวันสองวันอันใกล้นี้
“แม่กังวลใช่ไหมคะ”
รัตติกรถาม ทั้งที่ก็รู้ดีในคำตอบ
“ก็มีบ้าง…”