รัตติกรโบกมือตอบผ่านกระจก
กระทั่งรถแล่นออกมาไกล
หยาดน้ำตาใสๆ ที่หญิงสาวพยายามสะกดกลั้นเอาไว้ตลอดเวลา ด้วยไม่อยากให้แม่เห็นว่าเธอร้องไห้… ก็เริ่มไหลรินออกมาสู่ร่องแก้ม
เวลา 10.00 น. กรุงเทพฯ
ที่สถานีขนส่งหมอชิต
“เฮ้ย!...ทางนี้โว้ยรัตติกร”
ดาลัน หญิงสาวผู้มีใบหน้าเรียวได้รูป ดวงตาคมล้อมกรอบเอาไว้ด้วยแพขนตางอนระยับ ริมฝีปากเอิบอิ่ม แต้มแต่งด้วยลิปสติกสีแดงจัดจ้าน กำลังโบกไม้โบกมือพร้อมตะโกนเรียกเพื่อนสาวที่กำลังหันรีหันขวาง เงอะงะอยู่ตรงปากประตูทางออก ใกล้ๆ กับอาคารที่พักผู้โดยสาร พร้อมด้วยกระเป๋าสัมภาระใบใหญ่
“ดา!...”
คนที่เพิ่งเดินทางมาถึง เรียกชื่อของเพื่อนสาวด้วยน้ำเสียงสนิทสนม ดวงตาคมประกายเบิกกว้างด้วยความดีใจ
“โห!... เกือบจำไม่ได้แน่ะ...”
ดาลันดูเปลี่ยนไปมากจนรัตติกรจำแทบไม่ได้
“สวยขึ้นใช่ไหม”
ดาลันเอ่ยถามอย่างมีอารมณ์ขัน พลางยกนิ้วขึ้นชี้ที่จมูกโด่งเป็นสัน ที่คางแหลมเรียว จนใบหน้าเป็นรูปตัววี
“สวยมาก…”
“จ้ะ… มีดหมอทั้งนั้น”
ดารันบอกอย่างคนที่ยอมรับว่าศัลย์กรรมได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ทุกวันนี้
ยืนยันความงามของหล่อนด้วยสายตาของผู้ชายหลายคนที่กำลังจับจ้องมองมาเป็นตาเดียวกัน
“เธอก็ใช่ย่อยนะย๊ะ ยังสวยหวานเหมือนเดิม… แม่น้ำผึ้งบ้านไพร” ดาลันชมตอบเพื่อนสาว ตั้งฉายาให้เสร็จสรรพ
ในสายตาของคนภายนอกที่กำลังมองดูรัตติกรกับดาลันอยู่นั้น สองคนนี้ช่างดูเป็นเพื่อนซี้ต่างสไตล์ อีกคนเปรี้ยวเด็ดเข็ดฟัน ดูจี๊ดจ๊าด จัดจ้าน กระโปรงรัดติ้วสีดำที่ใส่อยู่นั้นนอกจากจะสั้นแล้วยังผ่า ขณะที่อีกคนใส่กระโปรงยาวคลุมเข่า กรอมลงเกือบถึงปลายเท้า ซ่อนความยาวของเรียวขาขาวๆ เอาไว้มิดชิด เสื้อเชิ้ตสีขาวติดกระดุมตั้งแต่เม็ดแรกลงมาถึงเม็ดสุดท้าย ดูเรียบร้อยถึงค่อนไปทางเชยด้วยซ้ำ
“มาทางนี้...”
ดาลันเรียก สะโพกผายของหล่อนบิดไขว้ไปตามจังหวะสับปลายเท้ากระฉับกระเฉง ก้าวฉับๆ นำหน้าเพื่อนสาวออกไปยังลานจอดรถ
รัตติกรมองตามด้วยแววตาฉงนฉงาย เมื่อเห็นว่าดาลันไม่ได้เดินตรงไปยังป้ายรถเมล์ที่แลเห็นอยู่ไม่ไกล
กระทั่งเพื่อนสาวควักกุญแจรถออกมาจากกระเป๋าถือแบรนด์
เนมยี่ห้อหรู กดรีโมทส่งสัญญาณให้ไฟหน้ารถบีเอ็มดับเบิ้ลยูซีรี่ส์ห้า กระพริบพราวขึ้นพร้อมๆ กับส่งเสียงสัญญาณ ปี๊บๆ… ดังลั่นสองสามครั้ง
“นี่… แม่น้ำผึ้งบ้านไพร ใครว่าฉันจะไปรถเมล์ล่ะจ๊ะ ซีรี่ส์ห้าคันนี้นี่แหละจ้ะรถฉัน”
ปลายเสียงตะหวัดขึ้นสูง ซ่อนความภาคภูมิใจเอาไว้ไม่มิด
“โห…!” รัตติกรอุทาน กับพาหนะซึ่งพอจะรู้มาว่าราคาของมันสามารถเอาไปซื้อบ้านได้หลายหลัง
“แล้ว…” รัตติกรขยับริมฝีปาก ทำท่าว่าจะถาม
ดาลันรู้ทัน
“จะถามใช่ไหมว่าคนที่เริ่มทำงานได้ไม่กี่เดือนอย่างฉัน... อีกทั้งพ่อแม่ก็ไม่ได้ร่ำรวย เอาเงินที่ไหนมาซื้อรถคันนี้? เออน่ะ… ถ้ารอเก็บเงินจากการทำงานเดือนละไม่เท่าไร เชื่อไหมว่าทั้งชาติฉันก็ไม่มีปัญญาซื้อรถคันนี้”
ดาลันบอกเพียงเท่านั้น
“ขึ้นรถเถอะ… จะพาไปกินข้าว” หล่อนว่า
ครู่ต่อมา ที่ร้านเสต็กแห่งหนึ่ง ทันทีที่สองสาวทรุดร่างบอบบาง
ลงนั่ง บริกรก็ถือเมนูมาวางลงตรงหน้าในทันที
ดาลันไม่ได้พลิกซ้ายพลิกขวาดูให้เสียเวลา เธอสั่งออกมาด้วยความเคยชิน “ริบอายเสต็คราดซอสเห็ด”
เธอหมายถึงเนื้อวัวเกรดเยี่ยมที่ทางร้านเตรียมไว้บริการลูกค้า
บริกรสาวจดออเดอร์ลงกระดาษโน้ตด้วยความคล่องแคล่ว ในขณะที่รัตติกรยังคงพลิกเมนูไปมา กวาดสายตาละล้าละลังไปตามตัวอักษรซึ่งแสดงตัวเลขต่ำสุดของราคา ซึ่งก็คือสองร้อยเก้าสิบเก้าบาท
หล่อนอดคิดไม่ได้…
ว่าราคาอาหารมื้อแรกที่กำลังจะกินเข้าไป สามารถซื้อกับข้าวกินกันสามคนได้สบายๆ… ถ้าอยู่กับแม่และน้องชายที่บ้าน
“สั่งเถอะน่ะ ไม่ต้องสนใจราคา... ฉันเลี้ยงเอง”
ดาลันตัดบทให้เพื่อนคลายกังวล
เพราะคบหากันมานาน… มีหรือที่หล่อนจะไม่รู้ว่าฐานะทางบ้านของรัตติกรเป็นยังไง
ยิ่งดาลันแสดงน้ำใจมากท่าไร ก็ยิ่งทำให้รัตติกรรู้สึกเกรงใจมากขึ้นเท่านั้น
“ขอเสต็กปลาค่ะ”
รัตติกรหันไปบอกกับบริกร
ทุกครั้งที่จะกินเนื้อ… มันทำให้เธออดไม่ได้ ที่จะนึกถึงวัวสองตัวซึ่งชาวบ้านเคยนำมาผูกเอาไว้ที่ทุ่งหลังบ้านของเธอ
เธอเคยเห็นมันแระเล็มหญ้ามาตั้งแต่ตัวเล็กๆ เคยเห็นแววตาคมสวยที่ดูซื่อและน่าสงสารของมัน กระทั่งมันเติบโตพอที่จะขายได้ ก็มีรถหกล้อมารับมันไปในวันหนึ่ง และจากนั้น… เธอก็ไม่เห็นมันอีกเลย
“อ้าว...! ไม่กินเนื้อหรอกหรือ?”
แววตาของดาลันบอกความสงสัย
ที่ตั้งใจพามายังร้านแห่งนี้ ก็เพราะอยากให้เพื่อนสาวได้ลิ้มรสชาติของเนื้อซึ่งทางร้านการันตีคุณภาพความอร่อยจนลูกค้าเอ่ยชมกันปากต่อปาก ทำให้ร้านนี้เป็นที่รู้จักไปทั่วกรุงเทพฯ
“ไม่ดีกว่า… ขอเป็นปลาละกัน”
รัตติกรไม่ได้บอกเหตุผลที่ไม่กินเนื้อ แม้จะเคยได้ยินคนให้เหตุผลว่า ‘อย่าไปคิดอะไรมาก วัวควายมันเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเกิดมาเป็นอาหารของมนุษย์’ แต่เธอมองว่าเหตุผลนั้นก็เกิดจากการถือเอาความได้เปรียบของมนุษย์มาเป็นผู้กำหนด ทั้งที่ยังมีทางเลือกอื่นในการแสวงหาโปรตีนจากแหล่งอื่น...ที่ไม่ต้องเบียดเบียนเอาจากเลือดเนื้อของสัตว์ร่วมโลกเหล่านั้น
“ริบอายสเต็ก...อร่อยมาก! ลองนะ”
ดาลันพลิกเมนูไปมา คะยั้นคะยอขึ้นอีกครั้ง
“ขอบใจมาก แค่ปลาก็พอแล้ว”
รัตติกรสรุป ความรู้สึกบอกว่าต้องการแค่ปลาจริงๆ
“ทานเสร็จเดี๋ยวพาไปคอนโด”
“คอนโด…” แววตาของรัตติกรฉายแววฉงนขึ้นมาอีก
“ใช่…”
“เธอหมายถึงห้องเช่าที่อพาร์ทเมนท์ใช่ไหม?”
รัตติกรขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัย เพราะเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ดาลันยังบอกว่าอยู่อพาร์ทเมนท์
“เปล่า… ฉันเพิ่งย้ายที่อยู่ใหม่”
บอกพลางจิ้มชิ้นเสต็กด้วยซ่อม
“ห้องรูหนูแบบนั้น...ใครจะทนอยู่ไหว ฉันย้ายมาอยู่คอนโดได้หลายวันแล้ว”
ดวงหน้าแช่มชื่นของดาลัน เงยขึ้นจากจานเสต็กตรงหน้า
หล่อนระบายยิ้มหวานให้รัตติกรที่ซ่อนคำถามมากมายเอาไว้บนใบหน้า
เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ถึงปีที่ห่างกัน ดาลันดูมีชีวิตหรูหราขึ้นจนน่าแปลกใจ ทั้งรูปร่างหน้าตาที่เปลี่ยนไป ราวกับไม่ใช่ดา