บทที่ 14

1303 คำ
“ฮึๆ” ประมุขแห่งอัสดารานส์ทรงหัวเราะขำกับความคิดของโอรสหนุ่ม จากนั้นก็ได้ตรัสตอบกลั้วหัวเราะ “หากฟารีสต์ออกคำสั่งเช่นนั้น พ่อเชื่อว่าลูกคงได้เจอฤทธิ์แม่เสือสาวอย่างฟาติย่า อาละวาดจนพระราชวังแตกแน่” เจ้าชายฟารีสต์อมยิ้มตรงมุมปาก ก่อนจะตรัสตอบอย่างล้อเลียน “เพราะลูกรู้ว่ายายองค์หญิงฟาติย่าทรงไม่ยอมอย่างแน่นอนยังไงล่ะพ่ะย่ะค่ะ ลูกถึงกลัดกลุ้มใจในเรื่องนี้ คิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรให้ติย่านั้นอยู่ในโอวาทของลูก” สุ้มเสียงที่มกุฎราชกุมารแห่งแผ่นดินทะเลทรายได้ตรัสถึงขนิษฐานั้น เต็มไปด้วยความรักความเอ็นดู และสาบานว่าจะไม่ยอมให้หมู่ภมรใด มาทำให้หัวใจดวงเล็กอันแสนบริสุทธิ์ขององค์หญิงฟาติย่าต้องเจ็บช้ำน้ำพระทัย ชีคฟาซิซต์เงยพระพักตร์มององครักษ์อัสรัสส์ ซึ่งยืนอยู่ไม่ห่างเพื่อรอรับคำสั่ง จากนั้นก็ทรงออกคำสั่งกับบุรุษชาติผู้เกิดมาเพื่อทำหน้าที่เป็นนักรบแห่งแผ่นดินทะเลทราย “วันมะรืนก็จะถึงวันสถาปนาชีคพระองค์ใหม่แล้ว เตือนให้องครักษ์ทุกนายทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง อย่าได้หละหลวมแม้แต่วินาทีเดียว” องครักษ์อัสรัสส์ทรุดกายลงนั่งเบื้องพระพักตร์ของเจ้าเหนือหัวทั้งสองพระองค์ ก่อนจะลั่นวาจาคำสัตย์ออกมาจากใจจริง “กระหม่อมขอให้คำสัตย์สาบาน ว่าจะปกป้องราชวงศ์กษัตริย์แห่งอัสดารานส์ด้วยชีวิตของกระหม่อมเอง กระหม่อมจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้าย และแตะต้ององค์หญิงผู้งดงาม แห่งแผ่นดินทะเลทรายสีทองได้แม้แต่ปลายเล็บพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าชายฟารีสต์คลี่ยิ้มบางๆ ตบพระหัตถ์ลงไปบนบ่ากว้าง ของผู้ที่เป็นทั้งลูกน้องเป็นทั้งเพื่อนรักเพื่อนตายพร้อมสละชีพเพื่อพระองค์ได้เสมอ ก่อนจะตรัสขอบใจจากใจจริงเช่นเดียวกัน “ขอบใจเจ้ามากอัสรัสส์ สมแล้วที่เจ้าได้เกิดมาในต้นตระกูลของนักรบ” “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์อัสรัสส์แย้มยิ้มกว้าง เมื่อได้ยินคำชมที่เจ้าเหนือหัวได้ตรัสออกมา เจ้าชายฟารีสต์ทอดสายตามองไปข้างหน้า ชื่นชมกับคลื่นเม็ดทรายสีทองงามอร่ามตัดกับท้องฟ้าสีคราม ซึ่งเป็นภาพอันแสนงดงาม ที่พระองค์ทรงชื่นชอบยิ่งนัก จากนั้นก็พึมพำตรัสถามพระบิดาที่ทรงนั่งอยู่ใกล้ๆ กัน “ลูกอยากเห็นบุรุษผู้พิทักษ์องค์หญิงฟาติย่ายิ่งนัก อยากรู้ว่าบุรุษผู้ใดที่สามารถปกป้องนางฟ้าองค์น้อยๆ ของพวกเราได้” “พ่อก็อยากเห็นหน้าบุรุษผู้นั้นเช่นเดียวกัน และพ่อสังหรณ์ใจด้วยว่าไม่เกินปีหน้า พ่อจะได้ลูกเขยและลูกสะใภ้ในเวลาเดียวกัน” ผู้ที่เป็นพระบิดาตรัสออกมาอย่างมั่นพระทัย เรียกเสียงหัวเราะฮึๆ ในลำคอได้จากเจ้าชายฟารีสต์ ที่ไม่ทรงเชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะมั่นพระทัยว่าพระชายาของพระองค์ยังไม่เกิดอย่างแน่นอน “ดูท่าว่าท่านพ่อจะมั่นพระทัยเหลือเกิน แต่ลูกคิดว่าท่านพ่ออาจจะได้ลูกเขยแค่เพียงอย่างเดียว เพราะชายาของลูกคงยังไม่เกิดนะพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าชายฟารีสต์ตรัสตอบกลั้วหัวเราะ ก่อนจะนิ่งขึงไปนิดหนึ่ง เมื่อองครักษ์อัสรัสส์ได้เอ่ยเสนอความเห็นออกมา “พระองค์พ่ะย่ะค่ะ ทำไมพระองค์ไม่ทรงขอพรจากดวงจันทราในวันสถาปนาล่ะพ่ะย่ะค่ะ ในคืนวันนั้นพระจันทร์จะเต็มดวง ลอยเด่นสง่าอยู่ท่ามกลางท้องฟ้ากว้าง กระหม่อมเชื่อว่าหากพระองค์ทรงขอพรจากดวงจันทร์ พระองค์จะได้พบกับพระชายาในเร็วๆ วันนี้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าชายฟารีสต์แย้มยิ้มบางๆ ตรงมุมปาก ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นสูงขณะย้อนถามองครักษ์เอก “เจ้าเชื่อเรื่องนี้ด้วยอย่างงั้นหรืออัสรัสส์” “พ่อก็เชื่อนะฟารีสต์ เพราะพ่อเองก็ได้ยืนอยู่บนหอคอยของวิหารศักดิ์สิทธิ์ ในคืนที่พระจันทร์เต็มดวง พ่อได้ขอพรให้ตามหาแม่ของลูกพบ หลังจากที่ต้องพรัดพรากจากกันมานานหลายปี ซึ่งหลังจากนั้นไม่กี่เดือน แม่ของลูกก็ได้เดินทางมาที่ประเทศอัสดารานส์ ทำให้พ่อกับแม่ได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง ลูกอาจจะไม่เชื่อเรื่องนี้ แต่พ่อก็อยากให้ลูกลองพิสูจน์ความศักดิ์สิทธิ์ของตำนานที่เล่าขานกันมาด้วยตัวเอง” ผู้เป็นพระบิดาได้ยุส่งโอรสหนุ่ม ซึ่งในตอนแรกพระองค์ไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้สักเท่าไร แต่เมื่อได้พิสูจน์เห็นประจักษ์แจ้งด้วยพระองค์เองแล้ว ก็ทำให้เชื่อในมนต์ตราของวิหารศักดิ์สิทธิ์และดวงจันทราที่ได้สาดแสงนวลลงมาบนแผ่นดินทะเลทรายในค่ำคืนที่พระจันทร์เต็มดวง เจ้าชายฟารีสต์ตีสีพระพักตร์ราวกับไม่เชื่อ แต่กระนั้นก็ได้ตรัสแบ่งรับแบ่งสู้ออกมา “กระหม่อมจะลองดูพิสูจน์สักครั้งว่าคำเล่าลือเรื่องการขอพรกับดวงจันทร์ บนหอคอยของวิหารศักดิ์สิทธิ์จะเป็นจริงหรือเปล่า” “แล้วลูกจะรู้ว่าวิหารแห่งนี้ศักดิ์สิทธิ์เพียงใด และลูกจะได้รู้ด้วยว่าดวงจันทราที่ลอยเด่นกลางนภานั้น ได้ส่งพระชายาที่แสนงดงามมาให้ลูกจริงๆ” ผู้เป็นพระบิดาเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น พร้อมกับคลี่ยิ้มกว้าง มั่นพระทัยว่าพระองค์จะได้ต้องได้ลูกสะใภ้และลูกเขยในคราวเดียวกันอย่างแน่นอน จิลลาภัทรนั่งทำหน้าเมื่อย ขณะรอขึ้นเครื่องบินสายการบินอัสดารานส์แอร์ไลน์ เดินทางไปยังดินแดนที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์แห่งทะเลทราย ก็ถูกเลขาคนสวยบ่นไม่ได้หยุดปาก เรียกว่าบ่นตั้งแต่ก้าวแรกที่ออกจากบ้านจนมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิแล้ว แต่นวินดาก็ยังไม่เลิกบ่น จนเธอนึกโมโหว่าอีกฝ่ายถูกผีเจาะปากมาให้บ่นหรืออย่างไรกัน “นี่คุณนวินดา” จิลลาภัทรเรียกเพื่อนสาวเสียเต็มยศ ก่อนจะเอ่ยต่อว่าด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ “รบกวนคุณวินด้าเลิกบ่น เลิกพูดและสงบปากสงบคำสักห้านาทีได้ไหมคะ เพื่อให้ประสาทหูของคุณจันทร์เจ้าได้หยุดพักผ่อนบ้าง” นวินดาถึงกับหลุดเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อถูกนายสาวสัพยอกให้ แต่จะว่าไปแล้วก็เป็นจริงอย่างที่จิลลาภัทรได้เอ่ยพูดออกมา ถ้าหากจำไม่ผิดเธอยังไม่หยุดพูดยังไม่หยุดบ่นเลยแม้แต่นาทีเดียว “คุณจันทร์เจ้าคะ ที่วินด้าบ่นออกมานั้นก็เพราะเป็นห่วงคุณจันทร์เจ้านะคะ” “จันทร์เจ้ารู้น่าวินด้า แต่กรุณาเก็บความเป็นห่วงของวินด้า ใส่ไว้ในลิ้นชักสักพักได้ไหมคะ เท่าที่วินด้าบ่นออกมานั้นจันทร์เจ้าฟังจนหูชาไปหมดแล้ว” จิลลาภัทรไม่ได้พูดเกินความเป็นจริงเลยสักนิด เพราะนวิดาบ่นไม่ได้หยุดราวกับคนแก่ยังไงยังงั้น ตอนที่พี่ชายสุดหล่อได้เดินทางไปประชุมยังเมืองผู้ดี เธอก็ถึงกับลิงโลดด้วยความดีใจ ที่ไม่มีใครมาคอยบ่น มาคอยห้ามเธอ เรื่องการเดินทางไปเที่ยวที่ประเทศอัสดารานส์ แต่แล้วก็ต้องเซ็งสุดชีวิต เมื่อเจอนวินดาเลขาสาว ที่ได้เข้ามาทำหน้าที่แทนพี่ภูริชอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง นวินดามองค้อนผู้เป็นนายสาวแสนงดงามอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะบ่นออกมาอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ “ที่บ่นก็เพราะเป็นห่วงคุณจันทร์เจ้านะคะ นี่ถ้าหากไม่ติดว่าวินด้าต้องทำงานแทนระหว่างที่คุณตะวันกับคุณจันทร์เจ้าไม่อยู่ที่เมืองไทย วินด้าคงได้ตีตั๋วเดินทางไปที่ประเทศอัสดารานส์กับคุณจันทร์เจ้าแล้ว”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม