"เธอจะบ้าเหรอ!!...หนีไม่ได้ ถ้าเธอหนีฉันก็ถูกอูฐเหยียบตายสิ ห้ามออกจากกระโจมนี้ หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ให้ไป" ซัลมารีบวิ่งไปกางแขนดักหน้าไว้ทันทีด้วยความตกใจ การที่ได้ยินจัสซีเนียว่าไปแบบนั้นทำให้เธอนึกกลัวกับบทลงโทษที่จาห์มาล์กล่าวทิ้งท้ายไว้ก่อนไป
"............" แต่คนดื้อก็ไม่ยอมฟัง ยังดันทุรังเดินหลบไปอีกฝั่ง ไม่พูดจากหรือให้ความสนใจกับซัลมาสักนิด
"จัสซีเนีย! ฟังกันบ้างสิ" แต่ด้วยคำสั่งที่น่าเกรงขาม ทำให้ซัลมาต้องใช้ความพยายามเหนี่ยวรั้ง วิ่งไปยังประตูดักทางไว้
"หลบไป!" เสียงแข็งกร้าวตะเบ็งขู่ ประกอบด้วยสายตาดุเพ่งพิศจ้องมองอย่างไม่นึกกลัว
"ฟังฉันนะจัสซีเนีย...เธอไม่มีทางหนีออกไปจากที่นี่ได้ โดยที่ยังมีลมหายใจ คนมากมายรายล้อมที่นี่อย่างหนาแน่น ถ้าใครจะออกไปจากที่นี่ได้ มันผู้นั้นจะออกไปโดยที่ไร้ลมหายใจ...แม้จะหนีไปพ้นเขตนี้ยังไงก็ถูกตามตัวจนเจออยู่ดี" ซัลมาพยายามหว่านล้อมด้วยคำพูด หวังให้คนดื้อรั้นเข้าใจ
"มันต้องมีสักทางให้ฉันหนี.....อยู่ก็เหมือนตายอยู่ดี" แต่มันกลับเหมือนจะไม่เป็นผลเอาเสียเลย
"โอ้ย!! ทำไมดื้อแบบนี้นะ" จนซัลมาต้องใช้สองมือกุมหัวด้วยความกลัดกลุ้ม เพราะพูดยังไงจัสซีเนียก็ไม่มีทีท่าจะฟังเอาเสียเลย
"พวกมันไม่อยู่ นี่คือโอกาสของฉัน" จัสซีเนียที่ชะโงกคอมองออกไปด้านนอก ไร้เวรยามเฝ้าหน้าประตู แต่หล่อนหารู้ไม่ว่า คนเหล่านั้นแค่ไม่อยู่ในกรอบสายตา
"งานนี้ตายหมู่แน่ ๆ" ซัลมากลัดกลุ้มจนแทบอยากกัดลิ้นตาย เมื่อห้ามยังไงจัสซีเนียก็ไม่มีท่าทีจะฟัง
("จะไปไหน!")
กึก! หล่อนแทบชะงักขาไม่ทัน เสียงกร้าวแผดดังมาจากมุมลับสายตา ทำเอาหัวใจดวงน้อยของจัสซีเนียเต้นโครมคราม
"นั่นไง หาเรื่องให้เราแท้ ๆ ถ้าพวกนี้รายงานนายท่านฉันต้องโดนอูฐเหยียบตายแน่นอน"
เสียงเหี้ยมทักท้วง เพียงจัสซีเนียก้าวขาได้เพียงสามก้าวเท่านั้น นั่นทำให้ซัลมาต้องรีบวิ่งไปประกบทันที หล่อนก็กลัวในบทลงโทษอันโหดเหี้ยมเช่นกัน ทุกคนล้วนกล่าวขานถึงความโหดร้ายของผู้เป็นนายว่าจริงจัง และไร้ความปรานี ไม่ยอมปรนแม้จะอ้อนวอนเพียงใด คำไหนคำนั้นไม่มีเปลี่ยนแปลง หากผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่ง
"นางแค่ละเมอเท่านั้น นางป่วยอยู่ สติเลยเลอะเลือนไปหน่อย...ไปกันเร็วเข้า เดี๋ยวเราเอาน้ำให้ดื่มนะจะได้สดชื่น" ซัลมาแก้ต่างอย่างเลิ่กลัก ก่อนจะลากแขนจัสซีเนียเข้ามาในกระโจมดังเดิม
"นี่!" จัสซีเนียทมึงตาใส่ด้วยความขุ่นเคือง เมื่อซัลมาพากลับเข้ามายังสถานที่เดิม
"เกือบตายแล้วไหมล่ะ ก้าวขาออกจากกระโจมก็กลัวนายท่านจะแย่แล้วนะ เห็นไหมฉันบอกเธอแล้ว ว่ายังไงก็ไม่พ้นสายตาคนเหล่านั้นไปได้" ซัลมาว่าขึ้น
"ต้องทำยังไงดีนะ" จัสซีเนียเดินวนไปมาภายในกระโจมที่พักอย่างใช้ความคิด หล่อนจะไม่ยอมแพ้และจะต้องหาทางออกไปจากที่นี่ให้จนได้
"ทางที่ดีคืออยู่เฉย ๆ หากยังอยากมีชีวิตอยู่" ซัลมาที่นั่งกุมขมับเอ่ยอีกครั้ง
"ฉันว่าต้องมีสักโอกาสแหละที่ต้องหนีได้ พระผู้เป็นเจ้าไม่ใจร้ายกับฉันหรอก"
"วุ่นวายไปถึงพระผู้เป็นเจ้านะเธอเนี่ย....มา ๆ กินข้าวดีกว่า ฉันหิวไส้จะขาดอยู่แล้ว"
ยังมีความคิดเฉกเช่นเดิมอย่างไม่ท้อถอย จนซัลมาหมดวาจาจะพูดต่อ ดึงแขนหล่อนให้นั่งลงเคียงข้าง เมื่อสายตาเห็นแม่ครัวเดินเข้ามา กอปรกับถาดอาหารในมือ...
ฟากฝั่งของจาห์มาล์ ในเวลาวิกาลอันมืดสนิท ผ้าคลุมหัวสีดำทมิฬปกปิดใบหน้าแทบมิดชิด เว้นไว้เพียงดวงตาเท่านั้นเพื่อใช้ในการมอง เพ่งพิศมองไปยังตัวบ้านเป้าหมายที่ไม่ได้รู้การณ์ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น กำลังพลที่ตระเตรียมพลเพื่อทำการที่วางไว้ ซุ่มมองความเคลื่อนไหวของเหยื่ออย่างเงียบ ๆ รอเวลาที่เหมาะสมในการปล้น
"เราจะทำการณ์นี้เป็นครั้งสุดท้าย...ในเมื่อเราพบสิ่งที่เราตามหาแล้ว ก็ไม่มีอันจำเป็นต้องทำต่อ" จาห์มาล์ยื่นคำสัตย์ขึ้นมาลอย ๆ ท่ามกลางความเงียบสงัดและมืดมิดในพุ่มไม้ลับตา
"กระผมวิงวอนให้เป็นเช่นนั้นมาแสนนาน...แต่ที่ผ่านมาไม่อาจทัดทานท่านได้ ด้วยความเอาแต่ใจของท่าน" ริฎวานเอ่ยสำทับด้วยความเห็นดีเห็นงาม นึกโล่งใจกับนายเหนือหัวที่คิดจะหยุดสิ่งที่เคยทำ
"นี่ว่าเรารึ?" คนหัวร้อนหันขวับมองหน้าทันที เมื่อริฎวานเอ่ยแซวทีเล่นทีจริง
"ชู่~~ เดี๋ยวมีใครได้ยินครับ" อดที่จะกลั้นขำแทบไม่ได้ กับสีหน้าและท่าทางของนายเหนือหัว ที่แทบอยากบีบคอเขาให้ตาย
"ฝากไว้ก่อนริฎวาน"
"ครับ"
ชี้หน้าอย่างคาดโทษจนริฎวานส่ายหัว ความไม่ยอมคนมีมาแต่ไหนแต่ไร นิสัยเบื้องลึกที่ยากจะเปลี่ยนแปลง ก็คงมีแต่คนอย่างริฎวานกระมังที่ทนได้
คนที่คิดคดต่อผู้อื่น ไม่ต้องให้กฎหมายตัดสิน แต่จะเป็นเขาที่มอบผลของการกระทำตอบแทนให้ สิ่งลับที่ลักลอบทำโดยบิดามารดาไม่ล่วงรู้ ถึงแม้จะรู้ดีว่าเป็นสิ่งที่ผิดก็ยังดื้อรั้นที่จะทำ ด้วยเป้าหมายที่ยังไม่สำเร็จ เลยต้องเดินหน้าต่อ...
เรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องง่ายนิดเดียวหากคนอย่างบิดาเขาจะจัดการ แต่สิ่งที่ทำเขานั้นมีนัยเป็นตัวแปร เพื่อไม่ให้ไร้ประโยชน์จึงกระทำร่วมกับเป้าหมายที่แท้จริง และเมื่อเดินหน้ามาแล้วก็ยากที่จะถอย นั่นคือสิ่งที่คิดในก่อนหน้า แต่ตอนนี้สิ่งที่รอคอยตระเวนตามหามานาน ได้คืบคลานเดินเข้ามาหาเองแล้ว....
จัสซีเนีย คนที่หักหลังจนเขาเจ็บปวดแทบเสียคน ลวงหลอกจนเขาเกิดความเคียดแค้นฝังใจ ผันกลายเป็นคนโหดร้ายป่าเถื่อนยิ่งกว่าเดิม เมื่อคนที่ปักใจมั่นหนีหายไปกับชายอีกคน พร้อมกับทรัพย์สินจำนวนหนึ่งที่เขาเก็บไว้ ด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจเพราะรักเธอ
ตามหาอยู่เนิ่นนานก็ไร้วี่แวว แต่แล้วโชคก็เข้าข้างเมื่อได้นำพาหล่อนมาหาถึงที่....
"ไอ้ชั่วนั่นมันคิดคดบิดาเรา มันสมควรได้รับกรรมที่เราจะมอบให้...ไม่ต้องรอให้เวรกรรมตามทัน แต่เรานี่แหละจะสนองมันเอง" สายตาเข้มดุเพ่งพิศอย่างมุ่งมั่นด้วยความเจ็บใจ อยากจัดการคนร้ายให้สาสม
"ที่จริงท่านไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้ มือของท่านไม่ควรแปดเปื้อนเช่นนี้"
"เราอยากจัดการมันด้วยตนเอง...กล้าดียังไงคดโกงธุรกิจครอบครัวของเรา"
"กำลังพลพร้อม รอเพียงคำสั่งจากท่านเท่านั้นครับ"
"ตอนนี้ยังไม่เหมาะ รอดึกอีกสักประเดี๋ยว"
"ครับ"
การปรึกษาเจรจาพูดคุย แต่สายตาเพ่งพิศจับจ้องไปยังเรือนเป้าหมาย เหล่าคนที่อาศัยเริ่มเข้านอนพักผ่อน เนื่องจากเวลาดึกมากแล้ว แต่ก็ยังมีใครคนหนึ่งที่เดินเวียนวนอยู่ระเบียง ดวงไฟส่งแสงสลัวให้เห็นเพียงเงาที่ไม่ค่อยชัดเจน
"ไอ้นั่นมันกำลังจะไปไหน?" ความสงสัยก่อเกิดแก่จาห์มาล์ เมื่อเห็นความเคลื่อนไหวของชายคนหนึ่ง
"นั่นน่าจะเป็นบุตรชายของหุ้นส่วนท่านเชคฮ ที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศช่วยงานได้ไม่นาน...ว่าแต่จะออกไปไหนในเวลาวิกาลเช่นนี้" ริฎวานที่สืบเสาะข้อมูลอย่างถี่ถ้วน ออกความเห็นแก่นายเหนือหัว สายตาก็จ้องมองอย่างจับสังเกต
"เราจะตามมันไป....คนที่อยู่ที่นี่จงฟังเรา หากเมื่อใดที่ไฟในเรือนมืดสนิท ให้รออีกสามสิบนาที จากนั้นก็ทำการปล้นทันที เอามาเพียงที่มันคดโกงคนอื่นมาโดยประมาณก็เพียงพอราว 2,369,743 เดอร์แฮม(AED) แล้วไม่ต้องรีรอให้นานเกินไป รีบจัดการกระจายให้ชาวบ้านแถบยากไร้ทางชายแดนทันที และการณ์นี้จงเงียบที่สุด ห้ามปลิดชีวิตผู้ใด เอาเพียงเงินเท่านั้น เราให้เวลาพวกเจ้าเพียงสิบนาที เรียบร้อยแล้วก็เจอกันยังที่พัก...แยกย้ายได้!" เสียงอันน่าเกรงขามออกคำสั่งอย่างหนักแน่น เหล่าพลฝีมือดีที่ได้รับการฝึกฝนจนเก่งกาจ ทำภารกิจสำเร็จทุกครา จึงมั่นใจว่าอย่างไรก็สำเร็จเป็นแน่แท้ "ไปกับเราริฎวาน"
"ครับ"
เมื่อสั่งการเสร็จสิ้นจาห์มาล์และริฎวาน สืบเท้าเดินสะกดรอยตามชายผู้นั้นอย่างเงียบ ๆ ทางเดินที่มืดรำไรมีแสงไฟสลัวสาดส่องแสงสีนวล ไม่ได้ยากมากนักกับการมองเห็น
“มีบ้านอีกหลังอย่างนั้นรึ?” ความฉงนใจทำให้เปล่งวาจาออกไปลอย ๆ
“คงเป็นบ้านของบุตรชายนายหุ้นส่วนท่านเชคฮนั่นแหละครับ จากที่สืบมาเห็นว่าแต่งงานมีครอบครัวแล้วระหว่างอยู่ต่างประเทศ” ริฎวานให้คำตอบ เพื่อคลายความสงสัยแก่นายเหนือหัว
“คดโกงจนมั่งมีสินะ” จาห์มาล์ยกยิ้มมุมปากดั่งสมเพช เม็ดเงินที่ได้มาสร้างความมั่งคั่ง แต่ช่างน่าเวทนานัก เพราะมันมาจากความเลวทรามฉ้อโกง แต่ยังคงหน้าหนาภาคภูมิใจในสิ่งที่มี “เราไม่ปล่อยมันไว้แน่”
“เอาอย่างไรต่อดีครับ” ริฎวานถามความเห็น
“นายเข้าไปตัดไฟบ้านนี้ทั้งหลัง รอจังหวะพร้อมกับบ้านใหญ่ แล้วเราจะเข้าไปจัดการทันที”
“ครับ”
“แยกย้ายได้”
จาห์มาล์ออกคำสั่งตามประสบการณ์ที่เคยทำ จากนั้นก็เริ่มปฏิบัติการตามหน้าที่ของแต่ละคน รอจังหวะของการชิงปล้นของเหล่าบริวาร
แสงสว่างจากดวงไฟของบ้านหลังใหญ่เริ่มดับลงเกือบทุกดวง ทิ้งจังหวะเวลาให้พอเหมาะกับการพักผ่อนสนิทในยามวิกาลของเหล่าผู้คน
เงาตะคุ่มของกลุ่มคนย่องเบาดุจแมวทราย ไร้เสียงสืบเท้าดังเล็ดลอดให้ได้ยิน เหล่าบริวารฝีมือดีเตรียมพร้อมสำหรับการชิงทรัพย์ได้เริ่มขึ้น รวมไปถึงฝั่งของจาห์มาล์และริฎวานเช่นกัน อาศัยแสงจันทร์สาดทอแสงรำไรช่วยในการมอง
ปั่ก! อึก! ด้ามปืนกระแทกเข้ากับท้ายทอยของเป้าหมายจนสลบ ร่างกายสูงฟุบลงกับพื้นแข็งทันที ด้วยฝีมือของจาห์มาล์ที่เก่งกาจด้านการต่อสู้
“เรียบร้อยครับ” ริฎวานที่ตามมาสมทบ ลากคนที่ถูกทำร้ายหลบซ่อนในมุมลับตา
“อืม...ค้นให้ทั่ว”
(“ฮาดี้คะ”)
เสียงเรียกที่มาพร้อมกับเเสงเทียน ทำให้จาห์มาล์และริฎวานรีบหาที่หลบซ่อนในมุมมืด
(“ที่รัก...คุณอยู่ไหนคะ ไฟดับฉันกลัวค่ะ ฮาดี้”) เสียงสืบเท้าลงบันได เริ่มดังมาใกล้นั่นทำให้คนที่ลักลอบเข้ามาต้องลีบตัวให้เล็กที่สุด พลางคอยมองตามเงาเสียงนั้นที่บ่งบอกว่าเป็นหญิง
“เสียงนี่?” จาห์มาล์ที่แสนจะคุ้นหูกับน้ำเสียงนี้ ฉงนใจเพียงลำพัง แต่ยังไม่ได้มั่นใจว่าจะใช่คนในความคิดหรือไม่
สองเท้าเปลือยเปล่าค่อย ๆ เดินลงบันไดมา จากนั้นก็เริ่มเดินมุ่งหน้าไปยังตู้ไฟ พร้อมสอดส่องสายตาหาคนรักในความมืดสลัว ที่หล่อนพร่ำเพรียกหาแต่ว่าไร้การโต้ตอบ หล่อนไม่แม้แต่จะสังเกตว่ามีใครด่อมมองไม่ละสายตา เพราะว่ามีความหวาดกลัวครอบงำ
“จัสซีเนีย!”
“ท่านครับ”
เมื่อแสงเทียนสาดส่องกระทบใบหน้าของเจ้าของเสียง ทำเอาจาห์มาล์ที่ลอบมองต้องตกใจ ใบหน้าที่คุ้นเคยและละม้ายคล้ายอีกคนในอดีต ที่แทบเป็นคนเดียวกันกับคนที่ถูกขังอยู่ตอนนี้ ทำให้เขาเผลอสบถออกมาอย่างแปลกใจ ทำให้ริฎวานต้องรีบจับแขนรั้งไว้เพื่อย้ำเตือนสติ อีกนัยนึกเกรี้ยวโกรธจนแทบอยากกระโจนใส่ แล้วปาดคอหล่อนให้ตายลงตรงหน้าดั่งความแค้นที่มันสุมในอกมานานแสนนาน
(“ฮาดี้....ที่รักคะ”) หล่อนยังคงเพรียกหากคนรักดังเดิม โดยไม่รู้เลยว่ามีคนมองตลอดเวลา
“เราต้องออกจากที่นี่ครับ”
“ดูนายไม่สะทกสะท้ายเอาเสียเลย...รู้อะไรแล้วไม่บอกเราใช่ไหมริฎวาน”
เสียงพูดกระซิบกระซาบ ความใคร่รู้ของอีกคนก็มีมาก แทบอยากจะออกไปประจันหน้าให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ถูกริฎวานทัดทานไว้ แววตาที่เผลอไผลทำให้จาห์มาล์ต้องออกปากถามทันที มันมีอะไรที่เจ้าตัวไม่รู้อีกหรือไม่
(“นั่นใคร? ฮาดี้เหรอคะ?”)
เงาดำวิ่งฝ่าความมืดจากด้านหลังของหญิงสาว ทำเอาหล่อนรีบหันหน้ามาทันที แต่ก็ไม่พบเจอผู้ใด เลือกเปล่งเสียงเรียกคนรักตามความคิด เพราะไม่ได้คิดไกลว่าจะมีใครอื่นกล้าย่างกรายเข้ามา
“มันยังไงกันแน่ริฎวาน!” เมื่อหลุดออกมาไกลจากบ้านเรือน จาห์มาล์รีบกระโจนกระชากคอเสื้อของริฎวานทันทีด้วยความอารมณ์ร้อน แววตาดุเปล่งรัศมีอันน่ากลัว จ้องมองริฎวานด้วยความโมโห
“ที่นี่ไม่เหมาะสมที่จะเล่า” ไม่แม้จะปัดป้องมือของผู้เป็นนายออกจากตัว ใจเย็นค่อยเจรจาเพราะรู้นิสัยนายเหนือหัวดี
“เห็นเราเขลามากนักหรือไง ทำไมไม่ยอมปริปากบอกอะไรสักอย่าง” คนโมโหยังคงไม่ยอมปรน กำหมัดแน่นจนมือสั่นเทา ง้างออกสุดแขนดั่งพร้อมปะทะใส่ใบหน้าของริฎวาน
“เราต้องกลับที่พักเสียก่อน” ยังคงพูดดีเฉกเช่นดังเดิม แต่กับอีกคนนั้นแทบลุกเป็นไฟ
ผั๊วะ ตุบ! เมื่อไม่ได้ดั่งใจ ถูกปฏิเสธในความใคร่รู้ หมัดหนักสาดปะทะใส่ใบหน้าของริฎวานเต็มแรง จนหน้าหันร่างกายเซถลาแทบล้มลง แต่ยังคงทรงตัวให้ยืนมั่นต่อหน้าผู้เป็นนาย ไร้เสียงโอดครวญในความเจ็บปวด แม้จะเจ็บชาตรงใบหน้าและมุมปากก็ตาม
“เราอยากรู้เรื่องราวนังแพศยาตอนนี้! และเดี๋ยวนี้!”
*****16