สองวันต่อมา
หน่วยองครักษ์เสื้อแพร
ในยามนี้ทั่วทั้งเมืองหลวงเป่าจิงมีอากาศหนาวเหน็บเป็นยิ่งนัก ผู้คนทั่วทั้งเมืองหลวงต่างสวมอาภรณ์หลายชั้นเพื่อป้องกันความเย็นยะเยือก
ลมกรรโชกแรงพาดผ่านอยู่เป็นระยะ ตามถนนหนทางที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายเดินสัญจรไปมา บัดนี้บางตาลงอย่างเห็นได้ชัดด้วยเพราะต่างเก็บตัวอยู่ภายในจวนและเรือนของตัวเอง ผิงไฟเพื่อให้ร่างกายอบอุ่นขับไล่ความหนาวเย็นที่เกิดขึ้นอยู่ในเวลานี้
ถนนที่ทอดยาวปรากฏม้าสีนิลตัวใหญ่วิ่งฝ่ากระแสลมหนาวมาหยุดอยู่ตรงหน้าบริเวณที่ทำการใหญ่ของหน่วยองครักษ์เสื้อแพร ติดตามด้วยร่างสันทัดสวมอาภรณ์บ่าวของจวนอิ๋งชวนโหว ซึ่งมีหน้าที่รับและส่งข่าวสารระหว่างจวนและหน่วยองครักษ์เสื้อแพรกำลังกระโดดลงจากหลังม้ามาอย่างรวดเร็ว ราวกับว่ามีข่าวด่วนมารายงานผู้ที่ทำหน้าที่บัญชาการหน่วยองครักษ์เสื้อแพรอยู่ในเวลานี้ ซึ่งนั่นก็คือจางหยุนฟ่านจอมอำมหิตแห่งกู้กง ซึ่งกำลังนั่งรักษาการณ์แทนผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรที่กำลังป่วยหนักอยู่ในเวลานี้
“มีข่าวด่วนมารายงานขอรับใต้เท้า!!!“เสียงจากภายนอกเป็นสัญญาณขออนุญาต พร้อมร่างสันทัดก้าวเข้ามาภายในห้องรองผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรที่กำลั่งนั่งอ่านรายงานการสืบคดีอยู่ในเวลานี้ ทันทีที่ร่างของบ่าวคนดังกล่าวมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า
“มีอะไรว่ามา!”เสียงทุ้มใหญ่เอ่ยขึ้นโดยไม่เงยหน้าขึ้นมามองแม้แต่น้อย พร้อมเสียงของบ่าวผู้นั้นรีบรายงานข่าวออกมาอย่างรวดเร็ว
“ใต้เท้าขอรับ มีพระราชโองการจากไทฮองไทเฮาทรงมีพระบัญชาให้หวางเย่หลิงเข้าวังเพื่อเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์และให้พำนักอยู่ภายในตำหนักไทฮองไทเฮา อีกทั้งได้ส่งรถม้ามารับหวางเย่หลิงเข้าวังไปแล้วเมื่อหนึ่งชั่วยามที่ผ่านมาขอรับ”สิ้นเสียงรายงาน
คิ้วหนาคมเข้มขมวดเข้าหากันด้วยความแปลกใจเมื่อได้ยินรายงานเช่นนั้น
“พระราชโองการของไทฮองไทเฮา อัญเชิญมาที่จวนของข้าอย่างนั้นเหรอ”อิ๋งชวนโหวถามด้วยความแปลกใจ
“ขอรับใต้เท้า ฟ่านกงกงขันทีคนสนิทของไทฮองไทเฮาเป็นผู้อัญเชิญพระราชโองการมาที่จวน พร้อมกับรถม้าเพื่อนำหวางเย่หลิงออกจากจวนเข้าวังไปเข้าเฝ้าตามพระราชโองการแล้วขอรับ”
“อย่างนั้นเหรอ”โหวหนุ่มพึมพำพร้อมยื่นมือรับพระราชโองการจากบ่าวตรงหน้า พลางคลี่ออกอ่านข้อความที่อยู่ภายในนั้นทั้งหมดในเวลาอันรวดเร็วก่อนจะเอ่ยขึ้นเมื่ออ่านข้อความในพระราชโองการจบ
“พระราชโองการให้ส่งตัวหวางเย่หลิงไปเข้าเฝ้าเพื่อติดตามเสด็จไทฮองไทเฮาแปรพระราชฐานไปยังพระราชวังเหมันต์ที่เมืองลั่วหยางและให้พำนักอยู่ด้วยตลอดช่วงฤดูหนาว หรือจนกว่าจะเสด็จกลับวังหลวงทั้งนี้เพื่อทำหน้าที่สอนเหล่านางกำนัลทำเครื่องหอมและเครื่องประทินโฉมที่ทำจากหมู่มวลดอกไม้เอาไว้ใช้ภายในวังหลวงเพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายของทางราชสำนักอย่างนั้นเหรอ”โหวหนุ่มอ่านออกเสียงเบาๆ มือยังคงถือพระราชโองการเอาไว้พลางครุ่นคิดตาม
“เมื่อสองวันก่อนท่านหญิงอี้ฉางมาเยือนจวนของข้า เสียเวลาอยู่ภายในจวนไปมากน้อยเพียงใด และทำอะไรบ้าง”โหวหนุ่มยิงคำถามแรกทันทีเพื่อคาดการณ์อะไรบางอย่าง
“ประมาณหนึ่งชั่วยามขอรับใต้เท้า และจะนั่งสนทนากับนายหญิงมีบ้างที่เดินชมสวนดอกไม้ภายในสวนหย่อมด้วยกัน”บ่าวตรงหน้าตอบกลับมาอย่างไม่ต้องเสียเวลาคิดเล่าเหตุการณ์อย่างละเอียด
ใบหน้าหล่อเหลาปานเทพสวรรค์ไร้รอยยิ้มแย้มเยือนแลดูช่างเย็นชาจนน่าขนลุกเสียนี่กระไร ทว่าเพียงครู่ใบหน้ากลับยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก หากแต่เป็นรอยยิ้มที่แฝงเร้นความเจ้าเล่ห์อย่างล้นเหลือ ในยามนี้จอมอำมหิตแห่งกู้กงเริ่มกลายร่างเป็นจอมบงการเข้าให้เสียแล้ว
“เจ้ากล้ามากนะเย่หลิง...ที่คิดจะหนีจากข้าไปโดยใช้วิธีนี้คิดว่าข้าไม่รู้เท่าทันเจ้าอย่างนั้นเหรอ ในเมื่อถึงขนาดคิดแผนนี้ออกมาแล้ว ดูท่าข้าก็ควรที่จะต้องส่งเสริมเจ้าเสียหน่อยแล้ว”จอมอำมหิตแห่งกู้กงพูดพึมพำ
รอยแสยะยิ้มเหยียดปรากฏขึ้นบนใบหน้าด้วยรู้เท่าทันแผนการของหวางเย่หลิง สตรีที่ท่านโหวจอมโหดต้องการให้นางมาใช้ชีวิตอยู่ภายในจวนร่วมกันกับเขาอย่างไม่มีกำหนดว่าจะมีอิสระวันไหน หรือไม่มีวันเลยเสียด้วยซ้ำ
“ฮั่นเหลียงเข้ามาหาข้า!”เสียงตะโกนสั่งการดังกระหึ่มขึ้นมาทันที
เพียงครู่ร่างสูงโปร่งขององครักษ์เสื้อแพรเครื่องแบบสีฟ้า นามว่าเกาฮั่นเหลียงก้าวเข้ามาภายในห้องอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของจอมอำมหิต
“ใต้เท้าเรียกหาข้าน้อยมีสิ่งใดหรือขอรับ”เกาฮั่นเหลียงถามกลับไป
“เจ้าจงนำเจ้าหน้าที่สิบนายเดินทางไปยังพระราชวังกู้กง เข้าสกัดรถม้าที่ส่งมารับหวางเย่หลิง ตามพระราชโองการของไทฮองไทเฮา อย่าให้เข้าไปภายในวังหลวงได้อย่างเด็ดขาด หลังจากได้ตัวมาแล้วนำนางไปที่จวนของข้าแล้วเฝ้าเอาไว้ไม่มีคำสั่งจากข้าห้ามไม่ให้ผู้ใดจากภายนอกเข้ามาพบเป็นอันขาด หากผู้ใดไม่ฟังสังหารได้ทันที”จอมอำมหิตแห่งกู้กงสั่งการคนสนิทของเขา
เกาฮั่นเหลียงยืนนิ่งไปชั่วขณะเมื่อได้ยินเช่นนั้นก่อนจะถามกลับไปด้วยความเป็นห่วง
“ใต้เท้าขอรับขัดพระราชโองการ ไม่ทำตามมีโทษตายประหารถึงเจ็ดชั่วโคตรเลยนะขอรับ ท่านจะทำเช่นนั้นจริงเหรอ สตรีนางนั่นมีความสำคัญมากถึงขนาดที่ท่านยอมขัดพระราชโองการของไทฮองไทเฮาเลยอย่างนั้นเหรอ”คนสนิทถามกลับไปด้วยความเป็นห่วงผู้บังคับบัญชา
ดวงตาสีสนิมเหล็กเหลือบขึ้นมองใบหน้าของคนสนิทพร้อมจับจ้องเขม็งครั้นได้ยินเช่นนั้น
“เจ้าติดตามข้ามานานหลายปีเหตุใดจึงกล่าวถ้อยคำเช่นนี้ออกมา หากข้าไม่ส่งพวกเจ้าขัดขวางเอาไว้เกรงว่าหน่วยองครักษ์เสื้อแพรอาจจะต้องได้รับโทษประหารเพราะปล่อยนางไปต่างหากเล่า ตอนนี้นางยังเป็นผู้ถูกกล่าวหาในคดีสำคัญที่เกี่ยวข้องกับทางราชสำนัก หวางเย่หลิงอาจจะเป็นทั้งพยาน และเป็นคนร้ายตัวจริงในคราวเดียวกัน หรือแม้กระทั่งเป็นผู้สมคบคิด ดังนั้นเพื่อไม่ให้การสืบคดีของหน่วยองครักษ์เสื้อแพรเกิดการผิดพลาด ต่อให้ต้องขัดพระราชโองการของฝ่าบาทข้าก็จะทำ”ประโยคสุดท้ายจอมอำมหิตกล่าวน้ำเสียงเย็นยะเยียบก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“เจ้าไม่ต้องกังวล ในขณะที่ข้าส่งพวกเจ้าไปตามจับนางกลับคืนมา ตัวข้าเองก็จะรีบเร่งเข้าวังหลวงเพื่อกราบทูลอธิบายให้ไทฮองไทเฮาได้เข้าพระทัยถึงสาเหตุที่ต้องขัดพระราชโองการในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน”สิ้นเสียงของจอมอำมหิต
ใบหน้าของคนสนิทที่เต็มไปด้วยความกังวลเมื่อครู่ที่ผ่านมามลายหายไปโดยพลันครั้นได้ยินเช่นนั้น สองมือยกประสานเข้าหากันพร้อมเอ่ยขึ้น
“เข้าใจแล้วขอรับ ใต้เท้าวางใจหวางเย่หลิงจะต้องถูกนำส่งกลับไปที่จวนอิ๋งชวนโหวอย่างแน่นอน ถ้าเช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อน”กล่าวพร้อมรีบก้าวถอยหลังไปอย่างรวดเร็วก่อนจะหันกายกลับก้าวเดินออกไปจากห้องดังกล่าวอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางสายตาของจอมอำมหิตแห่งกู้กง
“ดูท่าข้าจะต้องลงมือสั่งสอนท่านหญิงอี้ฉางเสียหน่อยบ้างแล้ว ที่กล้านำสตรีของข้าออกจากจวนอิ๋งชวนโหว”กล่าวพร้อมลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้เต็มความสูงพร้อมคว้าดาบซิ่วชุนคู่กาย ก้าวออกไปจากห้องทำงานมุ่งหน้าไปยังพระราชวังกู้กงเช่นเดียวกัน จุดหมายปลายทางนั่นก็คือตำหนักไทฮองไทเฮา