เหยียนหยงเล่อแยกตัวออกจากครอบครัวตอนภรรยาตั้งท้องลูกชายคนแรก ซึ่งไม่ไกลจากจวนใหญ่มากนัก พื้นที่ไม่กว้างเท่าจวนเก่าแต่ก็นับว่าสงบดี ดังนั้นที่จวนแห่งนี้จึงมีเจ้านายแค่สามคน
ตอนนี้หนิงเซียนนั่งอยู่ตรงข้ามเหยียนหยงเล่อ เจ้าลูกหมูนั่งคั้นกลางระหว่างท่านพ่อท่านแม่ เด็กน้อยดูมีความสุขมาก นานแล้วที่ท่านแม่ไม่ยอมร่วมโต๊ะกินข้าวด้วยกัน
หนิงเซียนแอบคิดในใจ แค่ชายผู้นั้นนั่งเฉยๆ เหตุใดนางรู้สึกถึงไอสังหารแผ่กระจายอยู่รอบตัวเขา มือที่จับตะเกียบสั่นอย่างไม่อาจควบคุม
“ท่านแม่เป็นอะไรไป” เหยียนอันน้อยเงยหน้าถาม เขาได้เสียงตะเกียบกระทบกันดังกึกๆ มาจากท่านแม่
“แม่...ไม่เป็นอะไร” หนิงเซียนตอบเสียงอ่อย ส่งยิ้มเจื่อนให้ลูกชาย จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตากินอย่างเดียว
แย่จัง...ขานางสั่นจนโต๊ะสะเทือนเลยทีเดียว
ท่าทีแปลกประหลาดของผู้หญิงคนนั้นทำให้เหยียนหยงเล่อสงสัยยิ่งกว่าเดิม หรือนางกลัวเพราะเห็นเขาเชือดคอคน หึ! สตรีเช่นนางกลัวอะไรเช่นนี้ด้วยหรือ
บรรยากาศอึดอัดดำเนินไปอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งเหยียนหยงเล่อวางตะเกียบในมือลง หนิงเซียนเองกินอิ่มนานแล้ว จึงวางตะเกียบลงเช่นกัน
ใช่ที่ไหน...นางกินไม่ลงเลยต่างหาก
หญิงสาวทำใจกล้า เพราะมีบางอย่างที่นางอยากพูดกับเขา หากแต่นางต้องแปลกใจตนเอง ที่จู่ๆ ก็เรียกเขาว่า “อาเล่อ…”
“หุบปาก! ใครใช้ให้เจ้าเรียกข้าเช่นนั้น!” เหยียนหยงเล่อตวาดเสียงกร้าว สีหน้าราวอยากจะฆ่าคน
หนิงเซียนตกใจเผลอปัดตะเกียบบนโต๊ะทิ้ง นางเองก็ไม่รู้ตัวว่าทำไมถึงไปเรียกเขาอย่างนั้น เห็นสีหน้าและแววตาเขา บอกเลยว่ากลัวฉี่แทบราด ภาพจำในคืนนั้นยังติดตา หรือเพราะเขาเป็นอย่างนี้ เมียเลยหนีไปมีชู้!
“ท่านพ่อ…” เหยียนอันเองก็ตกใจ ไม่เคยได้ยินท่านพ่อตวาดท่านแม่เช่นนี้มาก่อน เด็กน้อยรู้สึกเสียใจ จึงก้มหน้าลง ตัวสั่นสะท้าน
“ลูกผู้ชายห้ามร้องไห้!” เหยียนหยงเล่อเห็นลูกชายตัวสั่นก็อดไม่ได้ที่จะพูดกับเขาอย่างนั้น
เพราะเหยียนหยงเล่อเป็นคนเข้มงวด เหยียนอันเลยค่อนข้างกลัวบิดา เด็กน้อยกลั้นเสียงสะอื้นจนตัวแดง มือเล็กกำตะเกียบไว้แน่น
หนิงเซียนเองก็กลัวเหลือเกิน กลัวว่าเขาจะพุ่งเข้ามาเชือดคอนาง!
บรรยากาศมาคุจนสาวใช้ที่อยู่ตรงนั้นไม่กล้าหายใจแรง สองแม่ลูกเองก็เช่นกัน ได้แต่ก้มหน้าก้มตา ตัวสั่นระริกไม่แพ้กันเลย
เหยียนหยงเล่อเห็นท่าทางนั้นแล้วก็พยายามทำใจให้เย็นลง จนสุดท้ายเขาก็พูดขึ้นว่า “จะพูดอะไรก็พูดมา”
หนิงเซียนได้รับอนุญาตให้พูดแล้ว หญิงสาวเงยหน้าขึ้น อ้าปากเตรียมจะพูด แต่พอเห็นสีหน้าและแววตาของคนตรงหน้าก็ต้องรีบหลบตา คำพูดมากมายที่เตรียมจะเอ่ยถูกกลืนลงท้องไปจนหมดสิ้น
ชายหนุ่มรออยู่นานจนเห็นว่าไม่มีอะไร เขาจึงลุกขึ้นแล้วพูดกับลูกชายว่า “อย่าลืมเอาการบ้านไปให้ข้าตรวจ”
“ขอรับ” เด็กน้อยก้มหน้ารับคำ
สองแม่ลูกยังคงก้มหน้านิ่ง จนกระทั่งเสียงฝีเท้าดังห่างออกไป จึงค่อยๆ พากันเงยหน้าขึ้น หนิงเซียนถอนหายใจโล่งอก หันไปมองเจ้าลูกหมูที่นั่งคอตกแล้วก็สงสาร เด็กตัวเท่านี้เองเหตุใดต้องเข้มงวดขนานนั้น แล้วเป็นอะไรเล่า! จู่ๆ ก็มาตะคอกใส่กัน!
เจ้าลูกหมูของข้า พ่อเจ้าไปกินดีหมีมาหรืออย่างไร! หนิงเซียนคิดอย่างฉุนเฉียว
“กินต่อเถอะ” หญิงสาวพยายามปลอบใจลูกชายด้วยการตักอาหารให้เขาจนล้นถ้วย “กินเยอะๆ ลูกหมูของแม่” เด็กน้อยพยักหน้า พุ้ยข้าวใส่ปากคำแล้วคำเล่า
เวลาส่วนใหญ่เหยียนหยงเล่อจะอยู่ที่เรือนว่านโตว ขณะที่กำลังนั่งอ่านรายงานร้องเรียนจากชาวบ้านอยู่นั้น โยว่เหนียนก็เดินเข้ามา “นายท่าน ฮูหยินมาขอพบ”
ตั้งแต่บนโต๊ะอาหารแล้ว เหยียนหยงเล่อเองก็อยากจะรู้เหลือเกินว่านางจะพูดอะไรกับเขา “ให้นางเข้ามา”
หนิงเซียนที่รวบรวมความกล้ามาแล้ว พอเห็นแววตาดุร้ายของชายคนนั้น ความกล้าที่รวบรวมมาก็ค่อยๆ หายไป
“มีอะไรก็พูดมา” คราวนี้เหยียนหยงเล่อมองหนิงเซียน มองลึกเข้าไปในดวงตาอย่างสงสัย
“เรื่องลูก...”
เหยียนหยงเล่อกำมือแน่น “เจ้าท้อง?” สายตาที่มองเปลี่ยนเป็นดูแคลน หากนางท้องจริง ก็คงท้องกับใครสักคนในตลาด
หนิงเซียนหน้าแดงหูแดง ทั้งโมโห ทั้งเขินอาย นางเดินขึ้นหน้าแล้วหยุดอยู่หน้าโต๊ะทำงานของเขา “ท่านให้เจ้าลูกหมูเรียนหนักไปแล้ว อีกอย่างก็เข้มงวดกับเขามากจนเกินไป แม้แต่ร้องไห้ยังห้ามไม่ให้ร้อง ลูกชายพึ่งสี่ขวบเองนะ เด็กวัยนี้ควรมีเวลาวิ่งเล่นบ้างสิ”
จู่ๆ เหยียนหยงเล่อมองผู้หญิงตรงหน้าด้วยสายตาที่แปลกไป หนิงเซียนเองก็มองเขาอย่างงุนงง ชายผู้นี้หลายอารมณ์เกินไปแล้ว!
นางพูดต่อ “คือ...ให้เขาเรียนแค่ครึ่งวันได้ไหม”
เหยียนหยงเล่อขมวดคิ้ว “เข้มงวดกับเขาตั้งแต่เด็กก็ดีแล้วนี่” ตอนเด็กท่านพ่อก็เข้มงวดกับเขาเช่นนี้ เขาถึงสอบจอหงวนได้ตั้งแต่ครั้งแรก
หนิงเซียนได้แต่เม้มปาก การอบรมสั่งสอนของคนยุคนี้กับยุคปัจจุบันคงต่างกัน นางไม่ยอมแพ้ กล่าวเพิ่มเติมเสียงเบา “ไม่ก็...วันเว้นวันได้หรือไม่” นางอยากสอนลูกชายวาดภาพ สอนเขาประดิษฐ์ของเล่น สอนอะไรต่างๆ ให้กับเขา เพราะการเรียนไม่ได้มีแค่ในตำราเท่านั้น
“เจ้าสนใจลูกตั้งแต่เมื่อไรกัน” เหยียนหยงเล่อหรี่ตามอง แสยะยิ้มหยัน
“เขาก็ลูกข้า จะสนใจไม่ได้เลยหรือ” ใช่! เหยียนอันเป็นลูกนาง ถึงแม้จะแค่ตอนนี้ก็ตาม...
“หุบปาก!” เหยียนหยงเล่อผีเข้าตบโต๊ะเสียงดังสนั่น ก้าวยาวๆ เข้ามาประชิดตัวร่างบาง มือข้างหนึ่งกำคอนางแน่น
เหยียนอันไม่ใช่ลูกของผู้หญิงโสมมเช่นนาง!
หนิงเซียนตกใจกับการกระทำของเขา สองมือเล็กได้แต่ปัดป่ายไปมา หน้านางเริ่มม่วงคล้ำเพราะขาดอากาศหายใจ
ไม่เชือดคอข้า แต่จะบีบคอข้าให้ตายเลยหรือ!
เหยียนหยงเล่อเหมือนได้สติขึ้นมา เขารีบปล่อยมือจากนางทันที
“แค่กๆ” หญิงสาวทรุดลงกับพื้นทันที นางอยากตะคอกใส่หน้าเขาเหลือเกิน เพราะเขาเป็นเช่นนี้อย่างไรเล่า! เมียถึงหนีไปมีชู้! แต่ก็ไม่กล้า...แม้แต่หน้าเขานางยังไม่กล้ามองตรงๆ เลย
ไม่ต้องรอให้เขาไล่ เมื่อลุกขึ้นได้หนิงเซียนก็วิ่งลนลานจากไปราวกำลังหนีตายจากปีศาจร้าย!
คอของหนิงเซียนเป็นรอยแดงน่ากลัว นางกุมคอตนเองและไอค่อกแค่กมาตลอดทาง พลางคิดว่า ชายคนนั้นน่ากลัวเกินไปแล้ว!
เมื่อกลับเข้าห้อง หญิงสาวก็เห็นว่าเจ้าลูกหมูนั่งก้มหน้านิ่งอยู่บนเตียง เด็กน้อยมีสีหน้าเศร้าสร้อย หนิงเซียนจึงอดไม่ได้ที่จะถามเขา “ลูกแม่เป็นอะไรไป ทำไมถึงทำหน้าเศร้าเช่นนี้”
เด็กน้อยยังจำที่บิดาสอนได้ ลูกผู้ชายห้ามร้องไห้ เขาจึงทำปากจู๋แก้มพองลม กลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล หนิงเซียนเห็นว่าเขาพยายามที่จะไม่ร้องจึงนั่งลงข้างเขา มือบอบบางลูบศีรษะน้อยอย่างรักใคร่ ปลอบเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ลูกแม่ หากเจ้าอยากร้องก็ร้องออกมาเสียเถอะ ลูกผู้ชายก็ร้องไห้ได้เหมือนกัน ขนาดพ่อเจ้ายังร้องเลย” นางคิดว่าที่เจ้าลูกหมูร้องไห้คงเพราะคิดว่าพ่อแม่มีปากเสียงกัน ไม่ถูก! ต้องบอกว่าพ่อของเจ้าลูกหมูคนเดียวต่างหาก นางแค่อยากจะคุยดีๆ กับเขาด้วยเหตุผล เหตุใดต้องทำตัวราวสตรีใกล้หมดระดูด้วย!
ครั้งหนึ่งเหยียนอันเคยได้รับความรักจากทั้งท่านพ่อและท่านแม่ ครอบครัวนี้เคยอบอุ่น แต่แล้วจู่ๆ ท่านพ่อกับท่านแม่ก็มีท่าทีห่างเหินต่อกัน รวมทั้งห่างเหินต่อเขาด้วยเช่นกัน เหยียนอันคิดว่าคงเป็นเพราะท่านแม่ชอบปีนกำแพงหนีเที่ยวเลยทำให้ท่านพ่อไม่พอใจ เขาเองก็ไม่ชอบให้ท่านแม่แอบหนีไปเที่ยว เด็กน้อยเห็นทุกครั้งยามที่ท่านแม่จะหนีเที่ยว เขาขอร้องท่านแม่ไม่ไปได้หรือไม่ ท่านแม่ก็มักตะคอกเสียงดังใส่ ทั้งยังผลักเขา ตีเขา...
แต่เหยียนอันก็ไม่เคยโกรธท่านแม่ของเขาเลย ซ้ำตอนนี้ยังรักมากกว่าเดิม ท่านแม่กลับมาอ่อนโยนกับเขาแล้ว เขาจึงชอบท่านแม่คนนี้มาก
ร้องไห้ได้สักพัก เด็กน้อยก็ค่อยๆ สงบลง เขาเงยหน้าขึ้นแล้วถามว่า “ท่านพ่อก็ร้องไห้หรือ”
หนิงเซียนบีบจมูกเล็กๆ อย่างมันเขี้ยว “ไม่มีใครไม่เคยร้อง” ตอนพ่อเจ้าแบเบาะ เขาจะไม่ร้องหานมมารดาหรืออย่างไร หญิงสาวแอบพูดต่อในใจ
หนิงเซียนมองใบหน้ากลมๆ ที่ยังเปื้อนคราบน้ำตา นางจึงหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาให้ลูกชาย “หากเจ้าเสียใจเจ้าก็จงร้องออกมา หากเจ้ามีความสุขเจ้าก็จงยิ้มให้กว้าง แต่หากเจ้าโกรธเจ้าก็จงยิ้มเข้าไว้ แล้วค่อยมาระบายอารมณ์ตอนอยู่คนเดียว” หญิงสาวเอ่ยยิ้มๆ
เจ้าลูกหมูพยักหน้า เขายิ้มกว้างจนเห็นฟันซี่น้อยๆ เด็กน้อยกำลังสื่อให้ท่านแม่รู้ว่าตอนนี้เขามีความสุขมาก
หนิงเซียนเห็นว่าวันนี้ลูกอารมณ์ไม่ดี เขาร้องไห้เสียใจเยอะ จึงอยากเอาใจเขาเยอะๆ เช่นกัน “ให้แม่เล่านิทานให้ฟังดีไหม”
เหยียนอันดีใจ “ดีขอรับ! แต่ว่าตอนนี้ข้าต้องเอาการบ้านไปให้ท่านพ่อตรวจก่อน”
“ไม่เป็นไร เจ้ากลับมาแม่ค่อยเล่าให้ฟังก็ได้”
“เย้!” ดวงตาของเจ้าลูกหมูเปล่งประกายทันที เด็กน้อยรีบกระโดดลงจากเตียงอย่างไวว่อง โค้งคำนับให้มารดาก่อนจะวิ่งออกจากห้องไป
หนิงเซียนมองตามหลังเจ้าลูกหมู ส่ายหน้าอย่างนึกเอ็นดู ขาเขาทั้งอวบทั้งสั้น เหตุใดถึงวิ่งเร็วนักเล่า
เหยียนอันมักทำตัวสงบนิ่งยามอยู่ต่อหน้าท่านพ่อของเขา เด็กน้อยยืนตัวตรงราวไม้บรรทัด ดวงตาแน่วแน่ราวผู้ใหญ่
เหยียนหยงเล่อให้การบ้านลูกชายทุกวัน ชายหนุ่มเป็นคนเคร่งครัดเรื่องเรียนของลูกชายมาก ด้วยความที่เหยียนอันเป็นลูกชายคนเดียวของเขา โตขึ้นเด็กคนนี้จึงต้องแบกรับอะไรหลายๆ อย่างต่อจากเขา
“ตัวนี้เจ้าคัดผิดอีกแล้ว คัดมาใหม่สิบรอบจบ” พูดจบเหยียนหยงเล่อก็ยื่นกระดาษคืนให้ลูกชาย เด็กน้อยเม้มปากก่อนยื่นมือออกไปรับ รอบหนึ่งก็มีร้อยตัว...แล้วคืนนี้เขาคงจะได้ฟังนิทานจากท่านแม่หรือไม่ เหยียนอันยืนครุ่นคิด
เหยียนหยงเล่อมองดูลูกชาย สักพักก็ถามขึ้นว่า “เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่”
เหยียนอันไม่ได้ตอบว่าเขากลัวไม่ได้ฟังนิทานสนุกๆ จากท่านแม่ หากแต่เด็กน้อยพูดว่า “ท่านพ่อ ข้าชอบท่านแม่คนนี้”
เมื่อได้ฟังคำตอบของลูกชาย เหยียนหยงเล่อก็เหมือนจะนิ่งงันไปทันที “ไปได้แล้ว เสร็จแล้วก็เอามาให้ข้าตรวจใหม่”
“ขอรับ” เหยียนอันน้อยโค้งตัวคาราวะบิดาก่อนเดินจากไป
สองสามวันมานี้ เหยียนหยงเล่อรู้สึกว่าผู้หญิงคนนั้นแปลกไป
...แปลกไปเสียจนเขาอดคิดไม่ได้ว่านางยังอยู่
ผ่านไปครู่ใหญ่ เหยียนหยงเล่อก็ให้คนไปตามโย่วเหนียนมา
“นายท่าน เรียกข้ามามีอะไรหรือ”
“เจ้าแน่ใจจริงหรือ ว่าหนิงเซียนนางตายไปแล้วจริงๆ” เหยียนหยงเล่อไม่อ้อมค้อมเข้าประเด็นทันที
โยว่เหนียนมองหน้าเจ้านายอย่างแปลกใจ เหตุใดจู่ๆ ถึงถามเรื่องฮูหยินที่ล่วงลับไปแล้วเล่า “ข้าเป็นคนขุดหลุมฝั่งศพเหยียนฮูหยินเองกับมือ แม้สภาพนางจะเหลือเพียงกระดูกไปแล้ว แต่เสื้อผ้าและเครื่องประดับก็สามารถยืนยันได้ว่าเป็นนาง” เครื่องประดับแต่ละชิ้นที่เหยียนฮูหยินใส่ล้วนสลักชื่อนางไว้ เพราะนางเห็นว่าเป็นของล้ำค่าเกรงว่าจะหาย
แน่นอนว่าเหยียนหยงเล่อเชื่อโยว่เหนียน คนผู้นี้ซื่อสัตย์และจงรักภักดีติดตามเขามาตั้งแต่หกขวบแล้ว แต่ที่เรียกมา แค่ต้องการถามให้แน่ชัดอีกครั้งก็เท่านั้น
ปกติแล้ว นายท่านจะเลี่ยงไม่พูดถึงฮูหยินคนก่อน โยว่เหนียนจึงถามอย่างสงสัย “มีอะไรหรือไม่ขอรับ”
เหยียนหยงเล่อส่ายหน้า “ไม่มีอะไร เจ้าไปเถอะ”
ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า เขาหลับตาลงแล้วแค่นหัวเราะ แค่ผู้หญิงแพศยาคนนั้นมีท่าทีคล้ายภรรยาที่ล่วงลับในบางมุมเท่านั้น นางไม่ใช่หนิงเซียนตัวจริงเสียหน่อย!
ลึกแล้วในหัวใจ เหยียนหยงเล่อย่อมรู้ตนเองดีว่าเขากำลังหวังอะไร แม้จะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม เพราะคนตายแล้ว จะฟื้นได้อย่างไร