ตอนที่3 ลองของ
“เขียนวันเดือนปีเกิดลงไปแค่นั้นใช่ไหมคะ”
“ใช่ เร็วเข้าสิฉันจะได้เอาขึ้นไปให้พ่อหมอ”
“ค่ะ”
น้ำหวานเขียนวันเดือนปีเกิดลงไปในกระดาษแผ่นนั้นแล้วยื่นคืนไปให้เดือนแรม จากนั้นหญิงสาวในชุดขาวก็เดินหายขึ้นไปบนเรือน
“คุณน้ำหวานครับผมว่าที่นี่มันดูแปลกๆ นะครับ”
สีหน้าของลุงสันต์ยามที่เอ่ยขึ้นบ่งบอกว่าไม่ค่อยแน่ใจว่าสำนักแห่งนี้จะเป็นของจริง หลายต่อหลายที่แล้วที่เขาพาเจ้านายสาวไปพบเพื่อหวังจะช่วยแก้ปัญหาชีวิต แต่กลายเป็นว่าเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเสียเงินเสียงทองโดยเปล่าประโยชน์
“ฉันรู้ รับรองว่าฉันจะไม่เป็นไก่อ่อนให้พวกสิบแปดมงกฏหลอกเอาเงินเหมือนที่ผ่านมาได้อีก ถ้าที่นี่ไม่ใช่ของจริงเราจะรีบกลับกันในทันที” ด้วยประสบการณ์ที่เคยผ่านการเข้าไปในสำนักทรงเจ้าเข้าผีมาหลายที่ทำให้น้ำหวานมีภูมิคุ้มกันมากขึ้น
“ครับ”
เสียงเดินบนลงบันไดไม้ด้วยส้นเท้าหนักๆ ดังมาก่อนร่างของเดือนแรมจะปรากฏตัว ใบหน้าของหล่อนบูดบึ้งเหมือนเด็กถูกพ่อแม่ขัดใจ
“พ่อหมอบอกให้เธอขึ้นไปพบได้”
“ไปกันเถอะครับคุณน้ำหวาน”
“เดี๋ยวก่อน! พ่อหมอให้แค่ผู้หญิงคนนี้ขึ้นไปได้เพียงคนเดียวส่วนลุงรออยู่ข้างล่างกับฉัน”
สองเจ้านายกับลูกน้องต่างวัยหันมองหน้ากัน
“ว่าไงจะขึ้นไปไหมถ้าไม่ขึ้นก็รีบๆ กลับไปเหอะฉันจะได้ปิดบ้านนอนเสียที” เดือนแรมเท้าเอวมองแขกทั้งสองคน
“ขึ้นค่ะขึ้น ลุงสันต์รออยู่นี่แหละฉันขึ้นไปคนเดียวได้”
“ครับ”
“เดินตรงไปเลี้ยวซ้ายตรงมุมห้องนั้นแล้วขึ้นบันไดไปพ่อหมอนั่งรออยู่ในห้องทำพิธี”
เจ้าถิ่นบอกทางก่อนจะทิ้งก้นลงนั่งกอดอก
“ขอบคุณค่ะ”
น้ำหวานเดินขึ้นบันไดไปชั้นบนก็พบกับห้องโถงโล่งๆ ด้านบนแบ่งซอยเป็นอีกสองสามห้องขนาดใหญ่ ห้องหนึ่งเปิดประตูเอาแง้มเอาไว้ บรรยากาศด้านบนเงียบวังเวง รอบตัวเสมือนมีสายตาที่มองไม่เห็นหลายคู่จับจ้องเธออยู่ตลอดเวลา เพียงก้าวพ้นบันไดขั้นสุดท้ายขึ้นมาเธอก็ขนลุกซู่ไปทั้งตัวไล่มาตั้งแต่ปลายเท้าจรดหัว ยืนนิ่งมองสำรวจไปรอบๆ ความกล้าที่เคยมีหดหายไปจนหมดสิ้น
กระทั่งเสียงหนึ่งดังขึ้น
“เข้ามาสิ”
เสียงนั้นเหมือนมีมนต์ดลใจให้เท้าของเธอเดินก้าวเข้าไปในห้องนั้น ทั้งที่หัวใจเต้นระรัวอยู่ในอก ในห้องพิธีมีโต๊ะหมู่บูชา ทว่าไร้ซึ่งเทวรูป หรือเศียร์เคารพใดๆ มีเพียงศิวลึงค์ขนาดใหญ่ประมาณเสาเรือน ยากจะมองด้วยตาเปล่าออกว่าแกะสลักหรือทำขึ้นมาจากวัสดุชนิดใด ปิดทองคำเปลวเหลืองอร่ามตั่งเด่นเป็นสง่าท่ามกลางเครื่องสักการะบูชา ด้านล่างสุดมีกระถางธูปตั้งอยู่ควันลอยกรุ่น
“สวัสดีค่ะพ่อหมอ”
น้ำหวานนั่งพับเพียบยกมือขึ้นไหว้ทักทายผู้ชายตรงหน้า เขาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีแดงสดทั้งชุด แตกต่างจากพ่อหมอหรือร่างทรงที่เคยผ่านตามาก่อน ใบหน้ายังดูอ่อนเยาว์ แววตาสดใสดูมีอำนาจแฝงเร้นอยู่จนหญิงสาวไม่กล้ามองสบตากับเขาตรงๆ
“คุณมาที่นี่ต้องการอะไร”
ใบหน้านั้นสงบนิ่งราวกับรูปสลัก
“ฉัน… เอ่อ… คือว่าฉันอยากให้พ่อหมอช่วยค่ะ”
“ต้องการให้ช่วยหรือแค่อยากจะมาลองของ”
ชายในชุดแดงโยนกระดาษที่น้ำหวานเพิ่งเขียนวันเดือนปีเกิดลงไปมาตรงหน้าของหญิงสาว
“เอ๊ะ” หญิงสาวมองกระดาษแผ่นนั้นจู่ๆ เธอก็ขนหัวลุกซู่
“วันเดือนปีเกิดในกระดาษแผ่นนี้เป็นของผู้ชายไม่ใช่ของคุณ เดาว่าคงเป็นสามีของคุณสินะ ผู้ชายคนนี้เกิดในตระกูลที่มั่งคั่งร่ำรวย เป็นลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูล ชีวิตสุขสบายตั้งแต่เด็ก เคยประสบอุบัติเหตุจนเกือบตายมาสองครั้งแต่รอดมาได้เพราะดวงยังไม่ถึงฆาต นิสัยใจคอเป็นคนมุทะลุ ใจร้อน เจ้าชู้ มักมาก ชะตาชีวิตจะตกต่ำจนถึงชะตาขาดเพราะผู้หญิง”
สิ่งที่ผู้ชายตรงหน้าบอกเล่ามาทำให้น้ำหวานขนลุกซู่เพราะมันตรงกับความเป็นจริงทุกอย่าง เธออยากจะลองดูว่าพ่อหมอที่มาหาจะเก่งขนาดไหนเลยแกล้งเขียนวันเดือนปีเกิดของสามีเธอลงไป แทนที่จะเขียนวันเดือนปีเกิดของตัวเธอเอง
“คราวนี้ก็กลับไปได้แล้ว”
“พ่อหมอคะ ฉันขอโทษฉันไม่ได้มีเจตนาจะลบหลู่พ่อหมอเลยนะคะ เพียงแต่ที่ผ่านมาฉันเจอแต่พวกหลอกลวงต้มตุ๋นมาตลอด พ่อหมอยกโทษให้ฉันด้วยนะคะฉันมันโง่เอง” น้ำหวานยกมือไหว้หวังได้รับการให้อภัยจากพ่อหมอ