สามเดือนต่อมา
เนื่องจากวันนี้เป็นวันเกิดของธาดา ทุกคนจึงคิดว่าจะไปกินข้าวเย็นด้วยกันก่อนกลับบ้าน
“เย็นนี้กินเนื้อย่างกันใช่ไหม” เขมกรถามเพื่อนทั้งสองคน ขณะที่กำลังเดินออกจากโรงเรียน
“อื้อ เพิ่มหมูสามชั้น” มังกรเอ่ยปากพลางมองหน้าเจ้าของวันเกิดที่บอกว่าจะเลี้ยง
“งั้นรีบไปจองที่ดีกว่า ร้านนี้คนเยอะ” เขมกรยักคิ้วให้ก่อนจะวิ่งนำออกไป
ทว่า นักเรียนม.ปลายโรงเรียนเดียวกันกับเขาเข้ามาขวางทางเอาไว้ เลิกคิ้วมองหน้าเขมกรเพื่อหาเรื่อง
“ใครวะ” มังกรกระซิบถามเขมกร
“รู้จักเหรอ” ธาดามองหน้าทั้งสองคน เพราะตนเองไม่รู้จัก อีกทั้งยังเป็นรุ่นพี่ม.หกที่หน้าตาดูน่ากลัวอีกต่างหาก
“ไม่อ่ะ” เขมกรส่ายหน้าแล้วทำทีไม่สนใจเดินลากแขนเพื่อนทั้งสองเลี่ยงมาอีกทาง ใจลอยมองไปทางร้านเนื้อย่างที่อยู่ไม่ไกลมากนัก
“เฮ้ย! ใครบอกให้ไป” อีกฝ่ายออกมาดักรอข้างหน้าพวกเขาอีกสามสี่คน แต่ละคนใส่ชุดโรงเรียนช่างเทคนิคและทั้งสองกลุ่มนี้รู้จักกันเป็นอย่างดี
“ไอ้คนนี้นี่แหละที่มาขวางพวกเราตอนนั้น” หนึ่งในคนที่ใส่ชุดโรงเรียนเดียวกันชี้ไปทางเขมกร
“ตัวก็ใหญ่กว่า คนก็เยอะกว่า ทำไมสู้ไม่ได้วะ” เสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลังของพวกเขา ดูท่าทางจะเป็นหัวโจกของทั้งสองกลุ่ม สีหน้ากำลังท้าทายฝ่ายเขมกรและเพื่อน
“นี่ ฉันไม่เคยมีเรื่องกับพวกนายสักหน่อย ถอยไปได้แล้ว ฉันหิวข้าว” เขมกรขมวดคิ้ว ท้องร้องอย่างรุนแรง
“ดูมันทำดิพี่” ใครบางคนกำลังฟ้องคนที่โตกว่า “วันนั้นมันเล่นพวกเราซะยับแถมดูถูกพวกเราอีก”
เขมกรนึกในใจว่าตนเองเคยมีเรื่องกับใครที่ไหนมาก่อนไม่ค่อยออก เพราะนาน ๆ ทีจะได้มีเรื่องที่ต้องใช้กำลังสักที และทุกครั้งก็เป็นเพราะทนเห็นพวกเด็กเกเรรังแกคนอื่นไม่ได้
ครั้นนึกไปนึกมาก็สะดุดใบหน้าคนสองสามคนที่ใส่ชุดนักเรียนโรงเรียนเดียวกัน
“อ่า ฉันจำพวกนายได้แล้ว” เขมกรมองหน้าคนที่แอบอยู่ข้างหลังรุ่นพี่ต่างโรงเรียน
“ใครวะ!” มังกรกับธาดาร้องถามเขาพร้อมกัน
“คนนั้น คนนั้น แล้วก็คนนั้น” เขมกรชี้ให้เพื่อนดู “เป็นพวกที่ชอบรังแกรุ่นน้องในโรงเรียนเราไง”
“อ่อ พวกขี้แพ้นี่เอง” มังกรเบ้ปาก “อย่าไปสนใจเลย หาไรกินดีกว่า”
“นั่นดิ เสียเวลาชะมัด” ธาดาพูดเสริมพลางดึงทั้งสองคนไปอีกทางที่ไม่มีคนอยู่
แต่แล้ว การทำเมินเฉยของพวกเขาทั้งสามยิ่งเป็นตัวจุดชนวนให้อีกฝ่ายคิ้วกระตุกนิด ๆ หัวโจกจึงสั่งให้คนที่เหลือพาตัวทั้งหมดเข้าไปสั่งสอนในซอยเล็ก ๆ เปลี่ยวคน
แม้ฝ่ายที่เข้ามาหาเรื่องจะมีจำนวนคนมากกว่าแต่กระนั้นฝีมือยังไม่เท่าไหร่ ทำให้ฝ่ายเขมกรพอยันไว้ได้อย่างสูสี
ผ่านไปครู่หนึ่ง การต่อสู้ยังไม่มีผลแพ้ชนะ ฝ่ายหนึ่งถือเรื่องศักดิ์ศรีที่หยามไม่ได้ อีกทั้งต้องการคุมถิ่นนี้ อีกฝ่ายอยากรีบไปกินเนื้อย่างก่อนร้านปิดแต่หนีไปทางไหนก็โดนปิดทางหมด วิธีเดียวที่จะหลุดรอดไปได้คือจัดการให้ศัตรูยอมแพ้ยกธงขาว
เขมกรกำลังเผชิญหน้ากับคนที่ตัวใหญ่กว่าตัวเอง คอเสื้อของเขาถูกดึงกระชากเข้าไปหา หมัดซ้ายประทับเข้าใบหน้าอย่างจัง
ก่อนที่จะได้ลงมืออีกครั้ง กระเป๋าเป้ใบหนึ่งลอยลิ่วมาตกกระแทกหัวของคนตัวใหญ่พอดิบพอดีจนเป็นเหตุทำให้โมโหเลือดขึ้นหน้า
ทว่า สายตาของเจ้าของกระเป๋าเป้ใบนั้นก็น่ากลัวไม่แพ้กัน เขามองใบหน้าของเขมกรแล้วหันไปจ้องคนที่ตัวใหญ่กว่า
หมอกกระโดดถีบเข้าที่หน้าอกของอีกฝ่ายแล้วรัวหมัดไม่ยั้ง ไม่เหลือโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามได้โต้ตอบเขาจนกระทั่งคนตัวใหญ่ทรุดตัวลงกับพื้นเอามือป้องใบหน้าของตัวเองไว้
ถึงอย่างนั้น หมอกยังคงซัดหมัดซ้ายขวาราวกับโกรธแค้นมาตั้งแต่ชาติปางก่อนจนคนอื่นที่กำลังแลกฝีมือกันอยู่ต้องหยุดชะงักไปด้วย
“หมอก!” เขมกรตะโกนเรียกเขาแต่ไร้เสียงตอบกลับจนต้องเข้ามาประชิดตัวแล้วใช้สองมือล็อกตัวคนที่กำลังสติหลุดเอาไว้
“หมอก! พอแล้ว!” เขาตะโกนสุดเสียงเพื่อเรียกสติของอีกฝ่าย พลันได้เห็นสายตาที่เต็มไปด้วยไฟลุกโชน “พอได้แล้ว”
ช่วงที่ทั้งคู่กำลังห้ามไม่ให้ลงมือ ใครบางคนฉวยโอกาสจะล้างแค้นที่โดนอัดในวันนั้น ถือไม้ยาวที่ซ่อนเอาไว้ง้างจนสุดแขน
หางตาของหมอกจ้องกลับในทันใดจนคนผู้นั้นตกใจเผลอปล่อยไม้ทิ้ง
ไม่ทันที่สองฝ่ายจะได้สู้กันต่อ โชคดีที่สายตรวจโผล่มาแถวนั้นจึงทำให้กลุ่มนักเลงรีบวิ่งหนีไปคนละทาง ไม่เว้นแม้แต่พวกของเขมกรที่ไม่อยากติดแหง็กอยู่ที่โรงพัก
เขมกรจับมือหมอกวิ่งหนีจนถึงบ้านของตัวเองโดยไม่รู้ตัว ครั้นหยุดพักหายใจอยู่หน้าบ้านจึงได้เห็นว่ามังกรและธาดาก็ตามมาติด ๆ
“วิ่งเร็วชะมัด” มังกรพูดเสียงแหบแห้ง แล้วเช็ดเลือดที่ไหลหยดจากจมูกสองข้าง
“พี่เขม เจ็บมากไหม” หมอกเอ่ยปากถามเขมกรแล้วจ้องมองแผลบนใบหน้าของเขา
“ได้สติแล้วเหรอ ฉันคิดว่านายจะเล่นมันถึงตายแล้วนะ” เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วหันมามองหน้าเพื่อนทั้งสองของตัวเอง “พวกนายดูไม่ได้เลยว่ะ แยกย้ายกลับบ้านได้แล้ว พรุ่งนี้เจอกันที่โรงเรียน”
เขมกรพูดจบแล้วเปิดประตูบ้าน ก่อนที่หมอกจะเดินเข้ามาในบ้าน ตามด้วยธาดาและมังกร
“เข้ามาทำไมเล่า” เขมกรมองหน้าทั้งสามคน
“ไอ้เขม ขืนฉันกลับบ้านสภาพนี้ได้โดนพ่อตีเพิ่มอ่ะดิ วันนี้ขอค้างบ้านด้วย” มังกรทำสีหน้าเชิงขอร้อง ตาโตเหมือนลูกแมวขอข้าวกิน
“เอ่อ นายก็รู้ว่าถ้าแม่เห็นฉันแบบนี้ต้องเป็นลมเข้าโรงพยาบาลแน่ ๆ” ธาดาจับมือเพื่อนขอความเห็นใจ
จากนั้นเขมกรจึงหันมามองหมอก รอดูว่าเขาจะพูดว่าอะไร
หมอกมองหน้าเขากลับ “ปกติผมก็นอนที่บ้านพี่นี่”
เขมกรกุมขมับรู้สึกหนักใจอยู่ลึก ๆ บ้านหลังเล็ก ๆ มันจะนอนได้อย่างไร
เขาบอกให้ทุกคนออกไปข้างนอกบ้านก่อนเพื่อไปหาอะไรกินกันแล้วค่อยกลับเข้ามาในบ้านใหม่ตอนดึก ๆ หลบสายตาของยายมุกดา เพราะไม่อยากให้ยายต้องเป็นกังวลถึงจะตามัวตามประสาคนแก่มองไม่ค่อยเห็นบาดแผลก็ตาม
เลือดที่ไหลตรงสันจมูกของเขมกรทำให้หมอกหน้านิ่ว เขาหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับห้ามเลือดเอาไว้ แล้วพูดว่า “ไปซื้อยามาทาก่อนแล้วค่อยไปกินข้าว”
สายตาของหมอกแทบไม่มองสองคนที่เหลือ เขาพาเขมกรเดินนำไปที่ร้านขายยาซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านแล้วจัดแจงทำแผลให้อย่างเบามือ สีหน้ากังวลทุกครั้งที่เห็นเขมกรเบ้หน้าเพราะแสบแผล
หลังจากนั้นจึงทายาแล้วปิดพลาสเตอร์ให้ราวกับเป็นผู้เชี่ยวชาญ
อีกฝั่งหนึ่งของม้านั่ง
“ไอ้มังกร นายจะฆ่าฉันหรือไง ทาเบา ๆ หน่อยดิ” ธาดาร้องลั่นเมื่อมังกรจิ้มแผลด้วยความอยากแกล้ง
“คิกคิก” เสียงหัวเราะของเขาทำให้ธาดาอยากจะทุบหัวอีกสักทีแต่ต้องห้ามใจเอาไว้เพราะพื้นที่บนใบหน้าของมังกรแทบไม่เหลือที่ว่างให้ฝากรอยเอาไว้แล้ว
“ทีนี้ตาฉันทำแผลให้นาย” ธาดาได้ทีจะเอาคืน สายตาจ้องมองอีกฝ่ายอย่างมีแผน แต่ต้องฝันสลายไปเมื่อมังกรวิ่งถือถุงยามาหาเขมกร
“ทำแผลให้หน่อย” มังกรอ้อนวอนหลบสายตาธาดา
“หยุดเลย!” ธาดาร้องห้ามไม่ให้เขมกรเข้ามายุ่ง
ครั้นมังกรจะให้หมอกช่วย แต่พอเห็นสายตาของเขาแล้วแทบต้องเลี้ยวตัวกลับมาหาเขมกรตามเดิม
“ช่วยไม่ได้ ไปแกล้งมันก่อนทำไมเล่า” เขมกรส่ายหน้า ไม่ยุ่งเรื่องของทั้งสองคน ก่อนจะหันมาพูดคุยกับหมอก ปล่อยให้มังกรร้องแหกปากเพราะเจ็บแผลอยู่คนเดียว
หมอกนั่งเงียบไม่พูดไม่จากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ เขาจำหน้าของคนที่มีเรื่องได้และรู้ว่าเขาอาจจะมีส่วนที่ทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนจึงรู้สึกผิด
“ทำไมทำหน้าแบบนั้น นายไม่ได้เป็นคนโดนสักหน่อย หรือว่าเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” เขมกรเอียงคอมอง เดาความคิดของเขาไม่ถูก
“นายโกรธเรื่องอะไรถึงได้ขาดสติแบบนั้น”
“...”
“ฉันไม่ว่าอะไรหรอกน่า อธิบายมาสิ” เขมกรรอฟังเขาอย่างเงียบ ๆ เพราะรู้ว่าหมอกมีเรื่องมากมายที่อยากจะเล่าให้ฟังแต่กำลังเก็บมันเอาไว้
“ไม่รู้” คำตอบสั้น ๆ ทำให้เขาส่ายหน้า ถ้าเจ้าตัวไม่รู้เขาจะรู้ไหมเนี่ยว่าคนตรงหน้ากำลังคิดอะไรอยู่
“เฮ้อ ช่างมันเถอะ คราวหลังต้องควบคุมอารมณ์ของตัวเองบ้าง ถ้าฉันไม่ห้ามนายไว้ต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่ ๆ” เวลานั้นเขารู้ทันทีว่าถ้าหมอกยังคงอัดฝ่ายตรงข้ามต่อ คนตัวใหญ่คนนั้นต้องได้เข้าโรงพยาบาลแน่นอน